ชัยชนะและความพ่ายแพ้ของ "บุรุษเหล็กแห่งเอเชีย" (ตอนที่ 47)
โดย พ.ต.อ. พุฒ บูรณสมภพ
ตอนที่ 47
หนังสือพิมพ์ 2 ค่าย ตำแหน่งอธิบดีกรมตำรวจนั้น ไม่น่าที่จะต้องลงไปเล่นการเมือง แต่โดยมากนักการเมืองมักจะเข้ามาให้เล่นเอง เพราะหน้าที่ในการควบคุมนักการเมืองนั่นเอง ที่ทำให้นักการเมืองเข้ามาพัวพันโดยไม่รู้ตัว กว่าจะรู้ก็เข้าไปลึกเสียแล้ว หน้าที่ในการคุมนักการเมืองก็เป็นหน้าที่โดยตรงของตำรวจสันติบาล ผมเองซึ่งต้องรับหน้าที่เต็มประตูทั้งฝ่ายต่างประเทศและฝ่ายภายในประเทศ ก็หลีกเรื่องนี้ไม่พ้น ต้องเข้าไปคลุกคลีกับนักการเมือง ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายตรงกันข้าม
การวางเส้นสายไว้ในพรรคการเมืองทุก ๆ พรรคนั้น เป็นเรืองที่ต้องกระทำ มิฉะนั้น จะไม่มีทางรู้ตื้นลึกหนาบางของพรรคการเมืองแต่ละพรรค อันเป็นเรื่องสำคัญสำหรับวิธีการควบคุม สิ่งสำคัญอีกสิ่งหนึ่งในการเคลื่อนไหวในทางการเมืองก็คือ การกระจายความคิดเห็นและการเรียกร้องค่านิยมจากประชาชน การประกาศอุดมคติของพรรค และการเผยแพร่อุดมคติให้ประชาชนได้ทราบ สิ่งที่จะเป็นเครื่องมือในการเคลื่อนไหวนี้ก็คือ หนังสือพิมพ์ หนังสือพิมพ์เป็นเครื่องมือในการโฆษณาอันดีเยี่ยมที่จะเข้าไปถึงก้นครัวของแต่ละบ้าน เพราะมันเข้าไปในทุกสถานที่ และมันคงอยู่ได้นานกว่าเครื่องมือในการโฆษณาอย่างอื่น วิทยุ โทรทัศน์นั้น เมื่อหมดเวลาออกอากาศแล้ว ก็หายไปจากความรับรู้ของคนดูคนฟัง แต่หนังสือพิมพ์นั้นแม้จะอ่านแล้ว ก็ยังคงอยู่ในที่เก็บ เอาออกมาอ่านอีกเมื่อไหร่ก็ได้ ความสำคัญของหนังสือพิมพ์อยู่ที่ตรงนี้ ท่านแม่ทัพรองผู้บัญชาการทหารบก เมื่อถอยไปตั้งหลักใหม่ หลังจากที่ถูกเชิญตัวในวันนั้นแล้ว ท่านก็ตั้งสำนักหนังสือพิมพ์ของท่านขึ้นมาในอีกไม่กี่วันจากนั้น ความคิดนี้คงจะมาจากบุคคลใกล้ชิดให้คำแนะนำ และผู้ที่ให้การแนะนำนั้นก็ต้องเป็นคนที่อยู่ในวงการหนังสือพิมพ์ด้วย
จุดมุ่งหมายของหนังสือพิมพ์คณะนี้ ก็ต้องอยู่ที่การโฆษณาหาชื่อเสียงให้ กับท่านเจ้าของสำนัก และโจมตีบุคคลที่อยู่คนละฝ่าย และนั่นก็คือฝ่ายท่าน อ.ตร. เผ่า ฯ หนังสือพิมพ์จึงเกิดขึ้นมาใหม่อีกสองฉบับ สารเสรี กับ ไทยรายวัน บรรณาธิการหนังสือพิมพ์สองฉบับนี้คือ ทะนง ศรัทธาทิพย์ ของสารเสรี และ ลมูล อติพยัคฆ์ ของไทยรายวัน หนังสือพิมพ์ทั้งสองฉบับ เมื่อออกวางตลาดในยุคเริ่มต้น ก็ฟาดหางเอากับกรมตำรวจทันทีในฉบับเบิกโรง นัยว่าเป็นการติเพื่อก่อ แต่เนื้อข่าวนั้นมักจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับตำรวจ
นอกจากข่าวประจำหน้าซึ่งเป็นเรื่องหลักของหนังสือพิมพ์ มือที่เอามาบริหารหนังสือพิมพ์สองฉบับนั้น เป็นมืออาชีพชั้นแนวหน้าในวงการหนังสือพิมพ์ เพราะอยู่กับงานวงการนี้มาอย่างชนิดที่เรียกว่า ตัวหมึกจับแน่น เมื่อหนังสือพิมพ์สองฉบับนี้ออกมาได้ร่วมเดือน ผมก็ถูกเรียกตัวเข้าพบเป็นการด่วนในวันที่ผมควรจะได้พักผ่อน เฮ้ย นั่นเป็นคำทักทายก่อนถึงเรื่อง กูจะตั้งหนังสือพิมพ์ซักฉบับ พวกกองบรรณาธิการและพวกเดินงานมีพร้อมแล้ว เขาจะเริ่มออกฉบับแรกในวันสองวันนี้ มึงไปดูแลและควบคุมให้ดี อย่าให้มันเล่นอะไรพลิกแพลงกับกู เดี๋ยวมึงไปกับคุณสายเขา เขาจะพามึงไปที่สำนักงาน อยู่ที่ไหนครับ ผมต้องถาม แถว ๆ วัดตรี ฯ มั๊ง ท่านว่า กูตั้งชื่อหนังสือพิมพ์ว่า ชาวไทยรายวัน มึงรอเดี๋ยว เดี๋ยวคุณสายเขาก็จะพามึงไป กูเรียกตัวเขามาแล้ว ผมก็ได้หน้าที่ใหม่อีกหน้าที่หนึ่ง ไปทำหนังสือพิมพ์รายวัน
มุ่งหมายก็คงจะเอาไว้สู้ตอบโต้กับหนังสือพิมพ์ ไทยรายวัน และสารเสรี นั้น หนังสือพิมพ์ ชาวไทย กับหนังสือพิมพ์ สารเสรี และ ไทยรายวัน จึงวาดลวดลายใส่กันทุกวัน เป็นที่ฮือฮาในวงการหนังสือพิมพ์สมัยนั้น เพราะต่างก็รู้ว่า หนังสือพิมพ์ฉบับไหนเป็นของใคร รอยแยกระหว่างตำรวจและกองทัพก็เริ่มปริออกกว้างไปอีก
ผมไม่กล้าที่จะยืนยันว่า นี่เป็นการวางหมากของท่านจอมพล ป. อีกหรือเปล่า
โดยปกติแล้ว ท่านอธิบดีเผ่า ฯ นั้นเป็นคนไม่ค่อยจะตอแยกับใคร และไม่ใช่เป็นคนสนใจกับการอ่านหนังสือพิมพ์นัก เรื่องโจมตีกันทางหนังสือพิมพ์ ท่านไม่น่าจะสนใจ เขียนได้เขียนไป กูทำงานของกูก็แล้วกัน ผมจึงสงสัยว่าเป็นความคิดของใครที่ให้ออกหนังสือพิมพ์ชาวไทยรายวันออกมา และการตั้งผม ก็ไม่น่าจะเชื่อว่าท่าน อ.ตร. เผ่า ฯ จะเป็นคนตั้งเอง ผมไปดูแลหนังสือพิมพ์ชาวไทยรายวัน ซึ่งตั้งอยู่แถว ๆ วัดตรีทศเทพ ย่านบางลำพู ไปมีที่นั่งทำงานที่นั่นอีกแห่งหนึ่ง อยู่นาน ๆ เข้าก็อดที่จะเขียนอะไร ๆ ออกมาไม่ได้
หนังสือพิมพ์ฉบับนั้นก็เลยมีข้อเขียนในทางการเมืองชนิดถึงลูกถึงคนขึ้นมาในบางวัน ผมใช้นามปากกาในการเขียนบทความนั้น ไม่ขอเปิดเผยในที่นี้ แต่ข้อเขียนของผมไม่ได้มุ่งไปที่ท่านแม่ทัพ ซึ่งเป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์ฝ่ายตรงข้ามที่แท้จริง ผมมุ่งไปที่ท่านจอมพล ป. เป็นเป้าหมายใหญ่ จนถูกเรียกเข้าพบอีก เจ้านายถามว่า ใครเป็นคนเขียนบทความที่โจมตีท่านจอมพล ป. ผมบอกว่าผมไม่ทราบ ก็ได้รับคำสั่งให้ไประงับบทความนั้นเสีย ผมก็เลิกเขียน หนังสือพิมพ์ชาวไทย ขายดี ในสมัยนั้น มือที่ทำงานหนังสือพิมพ์ชาวไทยเป็นนักหนังสือพิมพ์ชั้นดีเหมือนกัน มือชั้นดีพวกนั้นเดี๋ยวนี้ยังทำหนังสือพิมพ์อยู่ในสำนักงานหนังสือพิมพ์ใหญ่ ๆ ต่อมา ผมก็จะไม่เอ่ยชื่อเขาในที่นี่อีก มันผิดจรรยาบรรณ และเขาก็ยังคงให้ความเคารพนับถือผมอยู่ทุกครั้งที่พบกัน หนังสือพิมพ์ชาวไทย มีคณะหนังสือพิมพ์ใหม่มารับไปทำ เมื่อผมต้องออกไปนอกประเทศ (กันยายน พ.ศ. 2500) ผมกลับมา (พ.ศ. 2512) เขาก็ยังทำกันอยู่ และเขาก็ชวนผมไปแวะเวียนอยู่ที่นั่นบ่อย ๆ ก่อนที่จะเลิกราไปเอง เพราะอะไรก็ไม่ทราบ สมัยที่ผมไปเยี่ยมเยียนสำนักหนังสือพิมพ์ชาวไทยยุคใหม่นี้ ในตรอกเดียวกัน แต่อยู่ทางแยกตรงข้ามกับชาวไทย มีสำนักงานหนังสือพิมพ์อีกฉบับหนึ่งมาตั้งหลังจาก ชาวไทย เปิดตัวได้ไม่กี่วัน สำนักหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นชื่อว่า ตะวันสยาม เจ้าของสำนักหนังสือพิมพ์นั้นชื่อ โส ธนะวิสุทธิ์ เจ้าของหนังสือพิมพ์สองฉบับนี้ ผลัดเปลี่ยนกันไปเยี่ยมเยียนซึ่งกันและกันแทบทุกวัน ผมก็ได้รู้จักกับเจ้าของ ตะวันสยาม ในสมัยนั้น เดี๋ยวนี้ก็เลิกไปเหมือนกัน เจ้าของหันมาเล่นการเมืองเสียแล้ว เรื่องของหนังสือพิมพ์ยังไม่หมด ต่อมาอีกไม่นาน กรมตำรวจก็มีการดำริที่จะออกหนังสือแมกกาซีนรายเดือนขึ้นมาบ้าง ก็ไม่ทราบว่าเป็นความคิดของใคร คงจะไม่ใช่ของท่านอธิบดีแน่ แต่ผู้มีอำนาจสั่งการก็เป็นตัวท่านอธิบดีเองอีก ขั้นต้น ให้ทางกองวิทยาการเป็นผู้ควบคุมและดำเนินการ จุดมุ่งหมายก็คงจะให้เป็นการขยายงานให้ตำรวจได้รับรู้เรื่องวิทยาการสมัยใหม่ และให้ประชาชนได้รู้ถึงกิจการของตำรวจไปด้วย เป็นการโฆษณากิจการของตำรวจ และให้เข้าถึงประชาชน หนังสือพิมพ์ ชาวไทย นั้น ยังไม่เป็นสัญลักษณ์ของตำรวจที่แท้จริง ตอนนั้น หัวหน้ากองวิทยาการกรมตำรวจ คือ พันตำรวจเอก เยื้อน ประภาวัตร ซึ่งเคยเป็นผู้กำกับการกองตรวจ สมัยต้น ๆ และเป็นนายผมโดยตรง ตอนที่ผมเป็นสารวัตรกองตำรวจใต้อยู่ที่นั่น ผู้กำกับ ฯ เยื้อน ฯ รับงานมาโดยไม่กล้าโต้แย้ง ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยทำงานด้านนี้มาก่อน เมื่อรับมาแล้วก็ต้องทำให้ได้ ท่านก็เรียกผมไปพบ กองวิทยาการอยู่ตึกตรงข้ามกับตึกสันติบาล ในบริเวณเดียวกัน เดินข้ามฟากก็ไปถึง ผู้กำกับ ฯ เยื้อน ฯ พูดกับผมถึงเรื่องที่โดนเรียกไปไห้รับงานหนังสือแมกกาซีนรายเดือนของกรมตำรวจ ยังไม่รู้ว่าจะตั้งชื่อว่าอะไรดี และจะทำหนังสือนี้ยังไง ไม่เคยมีความรู้ทางนี้ ทำไมท่านอธิบดีจึงเรียกไปสั่งการเรื่องนี้ก็ไม่รู้ ที่เรียกตัวผมมาพบนี่ ก็เพื่อจะขอความเห็น และถ้าร่วมมือกันด้วยก็จะดี ผมก็ไม่เคยทำหนังสือพิมพ์มาก่อน เพียงแต่เคยไปดูเขาทำหนังสือพิมพ์ชาวไทยมา ก็ไม่ได้มีความรู้ตื้นลึกหนาบางอะไรทางนี้นัก ผมก็พูดกับนายเก่าของผมว่า ทำไมถึงไม่ปฏิเสธไป เมื่อไม่รู้งาน ผู้กำกับ ฯ เยื้อน ฯ บอกว่า ผมจะไปปฏิเสธได้ยังไง เรียกไปสั่งตูมลงมา ไม่ได้ถามความเห็นหรือถามว่าผมทำได้ไหม นี่ก็อีกคนที่ปฏิเสธไม่เป็นทั้งๆ ที่ทำไม่เป็น กลัวไปเหมือนกันเมื่ออยู่ต่อหน้า ไปรับงานมาได้ ผมก็บอกว่า ผมเองก็ไม่เคยทำหนังสือพิมพ์อย่างนี้มาก่อน ผู้กำกับ ฯ เยื้อน ฯ ก็บอกว่า ได้ทราบว่าผมเคยไปนั่งที่หนังสือพิมพ์ชาวไทยมา ก็คิดว่าจะทำหนังสืออย่างนี้ได้ ช่วยกันหน่อย โดนเข้าไม้นี้ ผมก็ต้องรับ เรื่องจะไปพบเจ้านายแล้วขอโยนเรื่องกลับนั้น ไม่ได้เสียแล้ว ไปรับมาเต็มตักอย่างนี้
ผมรับงานนี้ทั้ง ๆ ที่ตัวเองยังไม่แน่ใจว่าจะทำได้แค่ไหน และผู้กำกับ ฯ เยื้อน ฯ ท่านไม่ได้คิดจะส่งใครมาช่วยผม ท่านโยนเร่องนี้มาลงตักผมเลยทีเดียว ไม่มายุ่งด้วย ยังกับผมเป็นคนไปรับมาทำเอง งานของผมก็เต็มหน้าตักอยู่แล้ว ยังจะต้องไปรับงานที่ไม่ใช่งานโดยตรงมาอีก แล้วไอ้งานหนังสือรายเดือนแบบแมกกาซีน มันเหมือนงานหนังสือพิมพ์รายวันเสียเมื่อไหร่ ผมก็ต้องคิดหนัก
Create Date : 20 มีนาคม 2553 |
|
4 comments |
Last Update : 20 มีนาคม 2553 21:47:30 น. |
Counter : 1451 Pageviews. |
|
|
|
The Truth
and The Life
when your life need miracal
Ask form him.. Then you will be
impress by its result as I do~!
what is the truth
if u ask me then
I will tell u that
it is GOD