ชัยชนะและความพ่ายแพ้ของ "บุรุษเหล็กแห่งเอเชีย" (ตอนที่ 67)
โดย พ.ต.อ. พุฒ บูรณสมภพ
ตอนที่ 67
รถสินค้าขบวนนั้นเข้าสถานีตรงเวลา ผมปล่อยตำรวจไว้บนรถคันละหนึ่งนาย ให้คุมทหารอยู่บนรถ อาวุธบนรถนั้นไม่มีพิษสงแล้ว เพราะถูกถอดสายกระสุนออกแล้ว และในตัวทหารประจำรถก็ไม่มีอาวุธอื่นติดตัวอีก
ขบวนรถสินค้าเที่ยวสำคัญนั้นค่อย ๆ แล่นเข้าเทียบชานชาลา ทิ้งท้ายรถตู้ข้างท้ายไว้นอกตัวชานชาลา ผมเดินตรงไปที่รถตู้ที่จอดทิ้งท้ายอยู่นั้น ประตูรถนั้นเปิดออก บุรุษนายหนึ่งโผล่หน้าออกมาจากรถตู้คัน นั้น ผมรู้จักเขาดี และเขาก็รู้จักผมดี เขาเบิกตาอย่างแปลกใจ
อ้าว พี่พุฒ มาทำไม
พนักงานสถานีกำลังปลดรถตู้สองคันนั้นอกจากขบวน แล้วให้สัญญาณรถจักรเคลื่อนขบวนไป
ขบวนรถสินค้ายาวยืดขบวนนั้นก็เคลื่อนตัวออกไปจากสถานีนั้น เข้ากรุงเทพ ฯ เขาหยุดขบวนที่ช่องแคเพื่อจะปลดรถตู้สองคันนั้นไว้ที่นี่เท่านั้น ซึ่งธรรมดา รถขบวนนั้นจะไม่หยุดที่สถานีนี้
บุรุษผู้มากับรถคู้โดดลงมาหาผม
มาทำไม พี่ เขาถามย้ำ
ก็มารับคุณไง ผมตอบเขา ยิ้ม ๆ
เขายืนงง มองผมอยู่ครู่หนึ่ง แล้วว่า
ใครสั่งให้มา
ท่านอธิบดี ผมตอบ
ฮะ เขาอุทานออกมา แล้วจะเอาของไปไหน
ก็เข้าวังปารุสกวัน ผมตอบ แล้วสั่งให้ตำรวจของผมขึ้นไปขนสินค้าที่อยู่ในตู้นั้นลงมา เอาขึ้นรุบรรทุกที่เตรียมมา เขายืนมองดูคนของผมทำงานอย่างสงสัยในใจ แต่ไม่รู้จะพูดยังไง แล้วหันไปมองรอบ ๆ คงจะมองห่รถของเขาที่จะมาขนของ ไอ้รถบรรทุกสองคันก็บึ่งไปก่อนหน้านั่น เห็นจะใช่
คนของผมขนกระป๋องฝิ่นลงมาจนหมดสองตู้ รถสามคันที่เตรียมมาแน่นเอี๊ยด ต้องเอาเชือกมาผูกมัดไม่ให้ตก คะเนน้ำหนักคงไม่น้อยกว่า ยี่สิบตัน
บุรุษผู้มากับรถเดินผละไปจากผม ที่บริเวณนั้นยังมีรถเก๋งจอดอยู่เงียบ ๆ คันหนึ่ง เขาเดินไปขึ้นรถคันนั้น แล้วรถคันนั้นก็ออกไปจากที่นั่น
ขนของเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมก็ให้ตำรวจของผมแยกกันขึ้นประจำรถ ตัวผมขึ้นคันหน้า ให้รถอีกสองคันตามผมมา ผมสั่งให้รถเคลื่อนออกจากที่นั่น บ่ายหน้าเข้ากรุงเทพ ฯ
ขบวนรถของผมแล่นตามกันมาตามสบาย เข้าถนนพหลโยธินมาเรื่อย ๆ ไม่แวะที่ไหน จนผ่านดอนเมืองเข้าพหลโยธินสายใน สายมาแล้ว ใกล้เที่ยง ราว ๆ สิบเอ็ดโมงกว่าได้ มาถึงที่สี่แยกสะพานควาย ก็มีคนมายืนขวางถนน
สมัยนั้น ถนนพหลโยธินยังไม่กว้างใหญ่เหมือนเดี๋ยวนี้ กว้างพอรถสวนกันได้สองคัน
ชายคนนั้นออกมายืนโบกมือ ให้รถผมหยุด
ผมรู้จักบุรุษท่านนั้นดีอีก เป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่ ชั้นผู้บังคับหน่วยกองทัพ เขากวักมือเรียกผมลงจากรถ ผมลงไปตะเบ๊ะให้ ฐานะที่เขาเป็นผู้ใหญ่กว่าผม
จะไปไหนล่ะ พุฒ เขาถาม
เอาเข้าวังปารุสกวันครับ
เฮ่ย ท่านผู้นั้นส่งเสียงออกมา เอาไปไว้ที่อั๊วเถอะวะ
ไม่ได้หรอกครับ ผมตอบ ท่านอธิบดีสั่งให้ผมมาจัดการ ต้องเอาเข้าวังปารุสกวันครับ
เฮ่ย ท่านอุทานออกมาอีก ผู้ใหญ่เขาพูดกันรู้เรื่องแล้ว เอาไปไว้ที่อั๊วเถอะ
ผมยังไม่เห็นคำสั่งนี่ครับ ท่านให้ใครไปเอาคำสั่งท่านอธิบดีมาให้ผมได้ไหมล่ะครับ
ท่านผู้นั้นยืนนั่งอยู่ครู่หนึ่งก็พูด
เออ ก็ได้ อั๊วจะให้ใครไปพูดกับเผ่าเขา รออยู่ที่นี่ก่อน
ผมก็หยุดขบวนรถอยู่ที่นั่นในขณะที่ท่านผู้นั้นหันไปสั่งการกับทหารในเครื่องแบบที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ คนหนึ่ง ทหารคนนั้นผละออกไปขึ้นรถจี๊ปที่จอดอยู่ใกล้ ๆ บึ่งเข้าไปในเมือง ผมรออยู่ที่ตรงนั้นกว่าครึ่งชั่วโมงด้วยความเหนื่อยหน่าย ก็ยังไม่มีข่าวอะไรจากทหารคนนั้น ผมดูนาฬิกาที่ข้อมือ แล้วพูดกับท่านผู้นั้น ที่ยังเดินไปมาอย่างหงุดหงิดเหมือนกัน ครึ่งชั่วโมงกว่าแล้วนะครับ ผมเห็นจะรอไม่ไหว เดี๋ยวก่อนน่า ท่านหยุดเดิน พูดกับผม ทำไมมันถึงช้านักวะ ถ้ายังงั้น ผมให้เวลาอีกสิบห้านาที ผมพูด ถ้าถึงเวลานั้น ยังไม่มา ผมก็เห็นจะต้องไปละครับ เดี๋ยวทางข้างในจะห่วง ท่านไม่ตอบ เดินผละออกไป พูดอะไรกับทหารสอง-สามคนที่จับกลุ่มห่างออกไป ผมเดินไปที่รถบรรทุกของที่ผมนั่งมา ขึ้นไปนั่งรออยู่บนนั้น หันไปดูทางขบวนรถของผมที่จอดอยู่เป็นแถวข้างหลัง ทุกคนในรถอยู่ในอาการสงบ เขากำลังรอคำสั่งของผม เวลาสิบห้านาทีก็หมดลง คนของท่านผู้นั้นก็ยังไม่มาส่งข่าวอะไร ผมสั่งรถเคลื่อนทันที พอเสียงเครื่องติด ท่านผู้นั้นก็เดินรีบ ๆ เข้ามาหาผม ยกมือห้าม เดี๋ยวก่อนน่า พุฒ เดี๋ยวก็คงมา ไม่ได้แล้วครับ ถึงเวลาแล้ว ผมรออีกไม่ได้ ผมยกมือตะเบ๊ะ สั่งคนขับเดินหน้ารถไป โดยไม่ฟังท่าทีของท่านผู้ใหญ่ท่านนั้น ขบวนรถของผมเคลื่อนที่ออกไปโดยไม่มีเหตุการณ์อะไร ซึ่งผมคิดว่าน่าจะเกิดอะไรขึ้นที่เดาไม่ออก แต่ผมก็พร้อมที่จะเผชิญอยู่แล้ว แปลกใจอยู่เงียบ ๆ เหมือนกันที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ในที่สุด ขบวนรถบรรทุกของกลางของผมก็ถึงวังปารุสก์ ผมเงยหน้ามองเห็นเจ้านายออกมายืนที่หน้ามุขระเบียงชั้นบน มองดูขบวนรถของผมเลี้ยวเข้าประตูวัง ฯ มาอย่างผิดสังเกต ท่านไม่เคยออกมายืนอย่างนั้น ผมจอดรถทั้งขบวนเรียบร้อยแล้ว ก็ขึ้นไปรายงานเหตุการณ์กับท่าน เล่าให้ฟังถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ทั้งที่ได้พบคนทีคุมรถตู้ที่บรรทุกฝิ่นรายนี้ว่าเป็นใครด้วย เออ เรียบร้อยไปได้ก็ดี ท่านว่า มึงกลับไปบ้าน อาบน้ำอาบท่า กินข้าวแล้วค่อยมาหากูก็ได้ บอกเด็ก ๆ มันด้วย ให้แยกย้ายกันกลับได้ ทิ้งของไว้ที่นี่ ผมลงมาสั่งการกับตำรวจของผม แล้วก็ขึ้นรถที่ทางหน่วยรถเกราะจัดให้ กลับบ้าน ถึงบ้านแล้ว ผมก็อาบน้ำอาบท่า กินข้าวเรียบร้อยแล้ว ก็บึ่งรถกลับมาที่วังปารุสก์ ผมมาถึงวังปารุสก์ ก็มองหารถที่บรรทุกฝิ่นของผมไม่เห็น ไม่รู้ว่าใครเอาไปไหน หายไปหมดทั้งสามคัน สอบถามตำรวจที่อยู่แถวนั้น ก็ได้ความว่า ผมออกไปได้สักเดี๋ยวเดียว ก็มีทหารกลุ่มหนึ่งเข้ามาในวัง ฯ ขึ้นไปหาท่านอธิบดี แล้วก็ลงมาขับรถทั้งสามคันนั้นไป มีพันเอกคนหนึ่งคุมมา ผมขึ้นไปพบเจ้านาย ถามว่า ใครเป็นพวกที่มาขับรถบรรทุกของกลางไป อย่ารู้เลยวะ ท่านพูดหน้าเครียด ๆ เขาตกลงกับกู เขาจะให้รางวัลมึงสองแสน พวกตำรวจเขาจะให้อีกคนละสองหมื่น พรุ่งนี้มึงมาพบกูตอนบ่าย ๆ ก็แล้วกัน ผมกลับลงมาอย่างไม่เข้าใจเรื่องราวว่ามันเป็นไปได้ยังไง
สมัยนั้น รัฐบาลตั้งรางวัลการจับฝิ่นเถื่อนไว้สูง เพื่อเป็นการปราบปรามการขนฝิ่นแข่งกับรัฐบาล รางวัลที่ตั้งไว้สูงขนาดตันละล้านบาทขาดตัว ยี่สิบตันก็ตกยี่สิบล้าน แบ่งกันกับคนเป็นสายส่งข่าว ก็ควรจะได้เป็นล้าน ๆ นั่งคิดรางวัลมาตั้งแต่ออกจากช่องแคมาแล้ว มาถึงที่นี่ทำไมมันเหลือสองแสนไปได้ แต่เมื่อมันเป็นคำสั่งของนายก็ต้องยอมรับ สองแสนก็สองแสน ของตำรวจของผมยังมีอีกต่างหากคนละสองหมื่น ก็ยังดี คิดไปเสียได้ยังงั้นก็สบายใจดี
Create Date : 12 เมษายน 2553 |
Last Update : 12 เมษายน 2553 3:57:24 น. |
|
3 comments
|
Counter : 1152 Pageviews. |
|
|
|
ขอบคุณมาก..