13 ปีกับบุรุษเหล็กแห่งเอเชีย (ตอนที่ 31)
โดย พ.ต.อ. พุฒ บูรณสมภพ
ตอนที่ 31
ตอนหลัง ๆ ทางกรมตำรวจคิดทำหนังสือแม็กกาซีนรายเดือน ใช้ชื่อว่า อาชญากรรม เพื่อให้ตำรวจเข้าถึงประชาชน และให้ประชาชนได้เข้าถึงตำรวจ นั่นเป็นความคิดของท่านอธิบดี เผ่า ฯ
แรกเริ่มเดิมที ท่านให้หน่วยทะเบียนอาชญากรรมเป็นผู้ทำ เพราะเป็นหน้าที่เกี่ยวข้องโดยตรง หนังสือไม่มีคนเอาใจใส่ตามความคาดหมาย แม้จะบังคับให้ตำรวจทุกหน่วยรับ ก็ไม่ประสบความสำเร็จ รับไปก็ไม่มีคนสนใจอ่านเท่าที่ควร
ผู้กำกับ เยื้อน ฯ นายเก่าของผม เป็นผู้อำนวยการหนังสือพิมพ์ฉบับนั้น ผู้กำกับ เยื้อน ฯ ส่ายหน้า บอกเห็นจะไปไม่ไหว เจ้านายก็เคี่ยวเข็ญให้ไปให้ได้
ผู้กำกับ เยื้อน ฯ หันรีหันขวางอยู่ ไปมาก็โยนโครมมาที่ผม โดยพูดกับเจ้านายให้ส่งให้ผมทำ เท่านั้นก็ได้การ เจ้านายก็โยนโครมมาให้ผม ตามคำแนะนำของผู้กำกับ เยื้อน ฯ เพราะหนังสือจะเจ๊งไม่ได้ เสียหน้า
ผมก็ต้องรับไว้ เพราะถ้าไม่รับ มันก็แตกอย่างว่า
ผมไม่เคยทำหนังสือพิมพ์ เขียนหนังสือก็ยังไม่เป็น เคยแต่รายงานการสอบสวนสืบสวน แล้วผมจะทำยังไง เรื่องที่จะโยนไปให้คนอื่นนั้นไม่เคยปฏิบัติ
ผมนึกถึงคุณลมูล ฯ ขึ้นมาได้ ผมเรียกคุณลมูล ฯ มาคุยกับผม ให้ช่วยผมทำหนังสือนี้ คุณลมูล ฯ ถนัดอยู่แล้วก็รับปากรับคำหนักแน่น แต่มีข้อแม้อยู่ว่า ผมจะต้องเขียนเรื่องอะไรก็ได้ลงในหนังสือฉบับนี้ ขาดไม่ได้ เรื่องเงินทองไม่เคยพูดกัน
ผมตกลง ทั้ง ๆ ที่ยังไม่รู้จะเขียนอะไร
แล้วเรื่อง นักสืบพราน ก็ปฏิสนธิขึ้นมาในหนังสืออาชญากรรม เป็นการเริ่มแรกนั่น เป็นที่กำเนิดของนักสืบพราน เจนเชิง และกัลยา ชาญวิทยา เลขานุการสาวสวยของเขา
พูดจริง ๆ ไม่ได้แกล้งถ่อมตัว ผมไม่ได้นึกเลยว่า นักสืบพราน แกจะดังถึงขนาดนั้น
ผมหยิบเอาประสบการณ์ที่ผมมีจากการทำงาน และในชีวิตของผมในด้านอื่น ๆ ออกมาเป็นแนวนำในการเขียน แต่งเติมนิด ๆ หน่อย ๆ ก็ไม่ทราบว่ามันวิ่งปลิวลมไปได้อย่างไร
ชักจะคุย... ขอโทษ
เรียกว่า ฟรุค ก็ได้ ไม่มีใครเชื่อว่าผมเคยเขียนหนังสือมาก่อน ผมเคยต้องกลายเป็นนักเขียนไปด้วยความประมาท
นักสืบพรานของผมจบลงและปิดฉากพฤติการณ์ของเขาลงไป เมื่อผมระเห็จออกนอกประเทศ
มีผู้คนเอาไปทำภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง ตอน จำเลยไม่พูด ไม่ทราบว่าผู้ที่เอาไปทำ เสียหายหรือกำไรเท่าไหร่ คุณลมูล ฯ ที่ตั้งต้นไปกับผมถึงเชียงรายไปควานเอานางเอกเรื่องนี้มาจากที่นั่น
เรื่องนี้ ได้คุณมารุตเป็นผู้กำกับการแสดง
ผมวางบุคลิกของตัวนักสืบพรานให้เขา เพราะไม่ต้องการให้นักสืบตัวเอกของผมมีบุคลิกเลื่อนเปื้อนอย่างหนังไทยเรื่องอื่น ๆ ผมต้องการให้นักสืบพรานเป็นนักสืบพราน ไม่ใช่พระเอกยี่เก
คุณมารุต คัดเลือกตัวนักสืบพรานด้วยตัวเอง เท่าไร ๆ กี่คน ๆ ก็ไม่พอใจ หันไปหันมา เขาก็ชี้หมับมาที่ตัวผม
ท่านรอง ฯ ต้องเล่นเอง คนอื่นไม่เหมาะหรอก เขาว่า
ทีนี้คณะก็เห็นด้วย ไม่มีใครยอมให้ผมปฏิเสธ เขาช่วยกันเกลี้ยกล่อมผม จนผมใจอ่อนยอมรับ
ผมก็เลยกลายเป็นพระเอกหนังไปโดยประมาทอีก จำต้องรับเป็น เพราะกลัวเขาเสียงานกัน ไม่ใช่เพราะบ้ายอ
หนังเรื่องนี้ผมไม่ได้ค่าเรื่อง ไม่ได้ค่าตัว แถมบางวันยังต้องเสียค่าเหล้า เสียเงินค่าเลี้ยงพวกกองถ่ายและตัวแสดงเสียอีก
ในประวัติศาสตร์ของการทำภาพยนตร์ไม่เคยมีปรากฏการณ์อย่างนี้ และยังไม่เคยมีจนกระทั่งบัดนี้
เป็นธรรมดา ผมก็รวยอื้อซ่าไปแล้ว
ในชีวิตของผม แสดงหนัง ๓ เรื่อง เป็นของกรมตำรวจเสีย ๒ เรื่อง คือ เรื่อง ศาสนารักนางโจร และ เรื่อง เหยื่ออาชญากรรม
ส่วนเรื่อง นักสืบพราน นี้เป็นของคนนอกคนนั้น ก็ไม่ใช่คนนอกแท้ ๆ แต่เขาเป็นคนมนกรมตำรวจ แต่ทำหนังเรื่องนี้ด้วยทุนของตัวเอง ไม่เกี่ยวกับราชการ
ที่แน่ ๆ ก็คือ ตัวผม ซึ่งแสดงหนังทั้ง ๓ เรื่องโดยไม่ได้สตางค์ เป็นงานกุศลไป
แต่ยังไง ๆ ผมก็ได้ชื่อว่าเป็นนักแสดงภาพยนตร์คนหนึ่ง ขั้นดาราชั้นนำ
เจ้านายรู้เรื่องนี้เหมือนกัน ไม่ว่าอะไร เพียงแต่ปรารภกับคนใกล้ชิดอื่น ๆ ว่า ไอ้นี่ถ้ามันจะบ้าหนังเสียแล้ว
ในช่วงชีวิตที่ผมใกล้ชิดกับเจ้านายในเมืองไทย ยังมีเรื่องราวพิสดารอีกหลายเรื่องที่ผมประสบมา บางรายต้องเผชิญหน้ากับอิทธิพล ชนิดกระบอกปืนต่อกระบอกปืนยันกัน แต่ผมเล่าไม่ได้
บางเรื่องมันเป็นเรื่องขัดกับนโยบายของรัฐบาลสมัยนั้น เราเป็นตำรวจผู้รักษากฎหมาย เมื่อมีเรื่องผิดกฎหมายเกิดขึ้นอย่างท้าทายกฎหมาย เราก็ต้องก้าวเข้าไปสกัด แล้วก็ต้องถอยออกมาอย่างเสียศักดิ์ศรีก็มี
Create Date : 02 พฤษภาคม 2553 |
Last Update : 3 พฤษภาคม 2553 2:08:53 น. |
|
2 comments
|
Counter : 1568 Pageviews. |
|
|
|