ชัยชนะและความพ่ายแพ้ของ "บุรุษเหล็กแห่งเอเชีย" (ตอนที่ 84)
โดย พ.ต.อ. พุฒ บูรณสมภพ
ตอนที่ 84
ผมก็เลยต้องเช่าสถานที่เก็บศพที่สุสานนั้นเป็นระยะยาว ยังมารู้ว่าจะต้องเช่านานเท่าไร เหมือนต้องเช่าโรงแรมให้ศพนอน
ศพของท่านนั้น ทางหมอเขาฉีดยากันเน่าไว้ให้ จะเก็บไว้นานเท่าไรก็ไม่มีปัญหาเรื่องเน่าเหม็นหรือเปื่อยสลาย วิธีฉีดยาเข้าศพเขาทำอย่างละเมียดละไม คือฉีดเข้าทางเส้นเลือดในทันทีที่เสียชีวิตไม่เกิน 24 ชั่วโมง ทางเราให้เขาทำให้ เพราะคิดจะส่งศพเข้าเมืองไทย ก็ต้องรักษาสภาพศพไว้ให้สดอยู่ตลอดเวลา เมื่อไม่ได้รับอนุญาตให้นำศพเข้า ก็ไม่เสียหายอะไร เก็บศพไว้ในห้องสุสานนั้นในสภาพไม่เน่าตลอดเวลาก็ยิ่งดี
ที่ฝาโรง ผมให้เขาเจาะผ่านกระดานข้างบนไว้เป็นช่องขนาดกว้างยาว พอเห็นใบหน้าศพได้ชัดเจน แล้วติดกระจกไว้ ดูสวยงามดี เวลาไปเคารพศพก็ได้เห็นใบหน้าที่สดชื่นของผู้เป็นศพ ยาฉีดที่เขาฉีดไว้นั้น ทำให้ใบหน้าศพไม่ซีดเซียว เหมือนคนนอนหลับอยู่ในโลงอย่างสงบ
ทุกวันตอนกลางวัน ผมกับพันศักดิ์ และพี่ดม จะเอาอาหารกลางวันไปเยี่ยมศพ ในห้องมีโต๊ะตั้งอยู่ตัวหนึ่ง มีเก้าอี้อยู่สองข้างโต๊ะ ข้างละตัว มีกระถางธูปวางไว้ ถึงเวลาอาหารก็จุดธูป ไหว้เชิญวิญญาณให้มารับประทานข้าว ทำยังงี้ทุกวันเป็นประจำ
ปาฏิหาริย์ ! มีเรื่องแปลกเกิดขึ้นจนได้ เมื่อทางกรุงเทพ ฯ เกิดส่งนายทหารชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่งมาเจนีวา นัยว่าเดินทางมาเอง
นายทหารท่านนั้นคือ พลโท วัลลภ โรจนวิสุทธิ์ เจ้ากรมข่าวทหารบก
ผมเรียกท่านว่า พี่เอี๋ยน สนิทสนมกันมากสมัยที่ผมยังอยู่เมืองไทย ทำงานเรื่องการข่าวมาด้วยกัน และผมส่งข่าวที่เกี่ยวข้องกับงานของพี่เอี๋ยนให้ท่านอยู่เสมอ แลกเปลี่ยนข่าวกันเป็นประจำ แต่ส่วนมากจะเป็นทางผมที่ส่งให้ทางพี่เอี๋ยนเสียมากกว่า เพราะทางผมมีเครื่องมือพร้อมกว่า (ที่ทางอเมริกันเอามาไว้ให้) พี่เอี๋ยนเดินทางมาเจนีวาโดยไม่มีวี่แววมาก่อน มาถึงก็มาเยี่ยมที่บ้านทันที พี่เอี๋ยนมาคนเดียว นัยว่าเดินทางจากไหนมาก็ไม่รู้ แวะผ่านมาเยี่ยมผมในฐานะคุ้นเคยชอบพอกันมาก่อน ถึงตอนกลางวันที่จะเอาอาหารไปไหว้ศพ พี่เอี๋ยนก็ขอตามไปด้วย เพราะที่ผ่านมานี่ก็อยากจะไปไหว้ศพพี่เผ่าด้วย ผมเย้าพี่เอี๋ยนว่า มาไหว้ศพ หรือมาดูให้เห็นว่าตายจริง ๆ กันแน่ พี่เอี๋ยน พี่เอี๋ยนร้อง เฮ้ย ออกมาคำเดียว หาคำตอบไม่ทัน ผมพาพี่เอี๋ยนไปที่สุสานตอนที่เอาอาหารกลางวันไปไหว้ พอไปถึงห้อง เอาอาหารวางเรียบร้อย ผมก็พาพี่เอี๋ยนไปที่โลง ให้ดูทางช่องกระจกที่เจาะเอาไว้บนฝาโลง พี่เอี๋ยนก้มมองทางช่องกระจก เห็นใบหน้าในโลงก็ยิ้ม ยกมือขึ้นพนมไหว้ แน่ใจหรือยังล่ะ พี่เอี๋ยน ผมเย้า ทีนี้หายสงสัยกันเสียที พี่เอี๋ยนหัวเราะชอบใจ ไม่พูดอะไร ลงนั่งที่เก้าอี้ข้างโต๊ะอาหาร ผมก็จุดธูปเชิญให้มากินข้าว เอาช้อนส้อมวาไว้ในจาน แบบพร้อมให้กินข้าวอย่างเคย พี่เอี๋ยนลุกขึ้นไปที่โลง เคาะข้าง ๆ โลง พี่เผ่าครับ ผมมาเยี่ยม เชิญทานอาหารครับ พี่เอี๋ยนกลับมานั่งที่เก้าอี้ ช้อนที่วางอยู่ในจานดี ๆ หล่นเผลงลงมาข้างจาน โดยไม่มีใครไปแตะต้อง พี่เอี๋ยนสะดุงโหยง เอากูแล้วไง พี่เอี๋ยนร้องออกมา เสียงสั่น ๆ มารับคำเชิญของพี่เอี๋ยนมั้ง ผมเย้าต่อ เอาช้อนขึ้นวางบนจานอย่างเก่าซิครับ พี่เอี๋ยนสั่นหน้า กอดอก ไม่เอาละโว้ย ลื้อเอาขึ้นเองซิวะ ไม่ลองไปดูที่ช่องกระจกอีกทีหรือครับ อาจยิ้มรับพี่เอี๋ยนอยู่ก็ได้ ผมแนะต่อ พี่เอี๋ยนสั่นหน้าดิก กูไม่เล่นด้วยละโว้ย พี่เผ่าครับ ผมกราบครับ พี่เอี๋ยนยกมือไหว้ประหลก ๆ ก็ไม่รู้ว่า ไอ้ช้อนข้างนั้นมันหลุดลงมาจากจานได้ยังไง ทั้ง ๆ ที่วางอยู่ลึกในจาน คู่กับส้อมซึ่งวางอยู่อีกข้าง ดีที่ไม่หล่นลงมาทั้งช้อนส้อมพร้อม ๆ กัน พี่เอี๋ยนเดินทางกลับในวันรุ่งขึ้น ไม่ยอมอยู่เมื่อผมชวนไปไหว้ศพอีกวันหนึ่ง ก็คงจะรีบกลับไปรายงานว่า ไม่ต้องสงสัยอีกแล้ว ตายจริง ๆ
ปิดฉากบุรุษเหล็ก ฯ เมื่อไม่มีทางเอาศพเข้ามาบำเพ็ญกุศลในเมืองไทยได้แล้ว ก็คิดตกลงกันว่าจะทำพิธีเผาเสียที่เจนีวานี่เลย แล้วเอาอัฐิและอังคารกลับเมืองไทย ทางเมืองไทยคงไม่รู้อะไร พี่ดมตกลงด้วย ก็เริ่มวางพิธีการ ทีนี้จะนิมนต์พระที่ไหน ถ้าจะให้ครบตามพิธี ตอนนั้นพอดีมีพระภิกษุองค์หนึ่งเดินทางมาอังกฤษ ไปทำอะไรก็ไม่รู้ที่นั่น เราได้ข่าวจากทางสถานทูตที่เราติดต่อหารือไป ก็คิดจะนิมนต์พระรูปนั้นมาทำพิธี การติดต่อได้เรื่อง พระภิกษุรูปนั้นตกลงยินยอมเดินทางมา โดยทางเราออกค่าเดินทางและค่าใช้จ่ายให้ ส่งคนของเราไปนิมนต์ถึงอังกฤษ พิธีเผาศพจึงเริ่มขึ้นได้ มีพระรูปเดียวสวดอภิธรรม สุสานเขามีเตาเผาศพอยู่พร้อม เพราะที่นี่เขามีการเผาศพเหมือนกัน พวกคาทอลิกนั้นใช้พิธีฝัง แต่พวกโปรเตสแตนต์บางพวกใช้วิธีเผาแบบพุทธศาสนาเหมือนกัน เราก็ตกลงให้ทางสุสารจัดการให้ จะได้พ้นภาระการเช่าห้องซึ่งแพงหูลีบเสียที การเผาศพที่นี่เขารวดเร็วดี สถานที่ใช้เผา เป็นห้องกว้าง มีแท่นวางศพอยู่บนแท่นหินสูง ภายใต้แท่นหินนั้น เป็นเตาเผาขนาดใหญ่ แรงไปหลายกิโลโวลด์ และเผาได้รวดเร็ว ในวันเผา เมื่อพระสวด ตามพิธีเสร็จแล้ว เราก็บอกทางเจ้าหน้าที่สุสานเขาว่า เราพร้อมที่จะเผาแล้ว เจ้าหน้าที่เขาก็มาจัดการกับศพในโลงที่วางอยู่บนแท่นสูงนั้น เห็นเขามาเปิดโลงทำอะไรอยู่กับศพในโลงนั้นอยู่ง่วน เราก็ไม่รู้ว่าเขาทำอะไร คิดว่าเขาคงจะยกศพออกจากโลง ก็ไม่เห็นยกออกมา เขาทำอะไรง่วนอยู่สักครู่ ก็ผละออกมาจากที่แท่นนั้น เดินออกไปจากห้องโดยไม่บอกอะไรเรา สักครู่ก็ได้ยินเสียงดังหึ่ง ๆ อยู่ใต้แท่นที่วางศพ เสียงนั้นดังอยู่นาน ประมาณสิบกว่านาที พวกเราก็มองหน้ากัน ไม่รู้ว่าเสียงนั้นมันเสียงอะไร พอเสียงนั้นหยุด เจ้าหน้าที่คนนั้นก็เข้ามาในห้องมาบอกว่า ให้เราตามเขาไป เขาเดินออกจากห้อง เลี้ยวไปตามทางเดินข้าง ๆ ตึก ซึ่งมีบันไดทอดลงไปข้างล่าง เราก็เดินตามเขาลงไป เขาเปิดประตูห้องอีกห้องหนึ่งเข้าไป ในห้องนั้นมีแท่นหินอีกแท่นหนึ่งตั้งอยู่กลางห้อง ข้าง ๆ ฝาผนังทึบ ๆ ที่สูงขึ้นไปจดเพดาน มีลักษณะคล้ายเตาอันใหญ่ มีปล่องอยู่ข้าง ๆ ทอดขึ้นไปชั้นบนเพดาน เขาพาเราไปที่โต๊ะตัวเล็ก ๆ ตัวหนึ่งอยู่ข้าง ๆ เตานั้น บนโต๊ะมีกองขี้เถ้าอยู่กองหนึ่ง มีเศษกระดูกปนอยู่ด้วย เขาชี้บอกว่า นั่นเป็นกองขี้เถ้าของศพที่เขาเผาไปเมื่อครู่นี้ ไอ้เสียงหึ่ง ๆ ที่เราได้ยินเมื่อกี้นี้ เป็นเสียงไฟที่ใช้เผา เตานั้นเป็นเตาไฟฟ้าขนาดใหญ่ คงจะหลายโวลต์ ในทำงานได้รวดเร็ว หลายคนในกลุ่มพวกเรา ส่งเสียงสะอื้นออกมา พี่ดมนั้นไม่ได้มาด้วย เพราะพวกผมห้ามไว้ ไม่ให้มา เกรงว่าจะรับการกระเทือนหัวใจมากกว่าเก่าที่นี่ เราก็ขอถุงขนาดพอดีจากเจ้าหน้าที่คนนั้น เอามาบรรจุอัฐิและอังคารของผู้ตาย แล้วเอากลับไปให้พี่ดมที่ เมซอง รัวยาล พิธีก็เสร็จลงเรียบร้อยเท่าที่จะทำได้ เป็นอันหมดห่วงไปได้อีกเปลาะหนึ่ง ส่งวิญญาณขึ้นบนสรวงสวรรค์แล้ว ไม่มีอะไรเหลือในโลกนี้อีก นอกจากเถ้าถ่าน
จุดจบของคนเราก็แค่นั้น
Create Date : 20 เมษายน 2553 |
Last Update : 20 เมษายน 2553 22:30:05 น. |
|
1 comments
|
Counter : 1285 Pageviews. |
|
|
|