จงให้ความสำคัญต่อสิ่งที่ถูกต้อง มากกว่าสิ่งที่ถูกใจ
Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2552
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
4 สิงหาคม 2552
 
All Blogs
 
จับปูดำ ขยำปูนา (บทที่ 4 ตอนที่ 1)


ผมนอนข่มใจไม่ให้หลับอยู่นานโข จนเกือบจะหมดความอดทนอยู่แล้ว ต้องคอยถ่างตาเป็นพัก ๆ เพื่อข่มนัยน์ตาเอาไว้ ผมก็ได้ยินเสียงประตูทางเข้าเหมือนเสียงมีใครไขกุญแจประตูอยู่ข้างนอก ผมดันมือไปกุมด้ามปืนที่ใต้ขา เตรียมพร้อม นอนหงาย ลืมตากว้างดูเพดานห้อง ร่างกายทุกส่วนของผมพร้อมที่จะออกฤทธิ์ได้ทุกขณะ

เขาเข้ามากันสองคน หน้าตามันเหี้ยมเหมือนหลุดออกมาจากตะรางทั้งคู่ หนวดเคราเต็มใบหน้า คนหนึ่งก้มตัวลงมาจ้อง มีดในมือ อีกคนมีเชือกเส้นยาวพันมืออยู่สองข้าง กางขึงหมายจะรัดคอผม ผมเตะกราดไปที่ข้อมือไอ้คนถือมีดก่อน มันอยู่ใกล้ตีน มีดกระเด็นไปตามแรงเตะ แล้วผมก็สปริงตัวขึ้นยืนบนเก้าอี้ที่นอนอยู่นั้น เท้าอีกข้างก็กวาดไปที่ไอ้คนที่กำลังถือเชือกขึงอยู่นั้น มือของมันไม่ว่างที่จะปกป้อง เท้าของผมก็จับเข้าที่เป้าหมายที่กระโดงคางเหมาะเหม็ง เสียงดังพล๊อกหนักแน่นเต็มพิกัด มันหงายหลังพาเอาเชือกที่ขึงตึงอยู่ในมือนั้นฟาดตึงลงบนพื้นไปด้วย

ผมไม่ปล่อยให้จังหวะเสีย ไอ้เสือมือมีดกำลังจะตั้งหลักได้ แต่ผมก็ถึงตัวมันก่อน หมัดขวาจ้วงเข้าที่ท้อง มันสะดุ้งตัวงอ ก็พอดีกับเข่าของผมที่ยกขึ้นรับเหมาะเหม็งอีก มันเข้าที่ปลายคางที่ก้มลงมาพอดิบพอดี เสียงเข่ากระทบกับคางลุ่น ๆ ดังหนักแน่นเหมือนกัน แล้วมันก็ลงไปนอนตัวงอ หลับสนิท

ไอ้เสือมือเชือกกำลังโงเงขึ้นมา ผมก็ถึงตัว ไอ้นี่มันมือเหนียว มันกำลังสะบัดเชือกที่มันขึงของมันเองอยู่นั้นจะให้หลุดออกจากมือ แต่มันคงจะรัดเอาไว้แน่นเพื่อผลอันแน่นอนที่ปฏิบัติกับผม เชือกมันก็เลยไม่ยอมหลุดง่าย ๆ พอจะหลุด เท้าของผมก็เสยเข้าที่กระโดงคางเต็มรัก เหมือนชู๊ดลูกโทษ มันก็หลับไปอีกคน

ผมดึงเอาเชือกของมือเชือกที่ยังนอนขึงเชือกอยู่บนหัวออก จัดการมัดคนทั้งสองติดกันแน่น ขยับดูว่ามันแน่นสนิทดีแล้ว ผมก็ลากมันทั้งคู่ออกมาทางประตู เก็บเอามีดของมันติดมือมาด้วย เสียงต่อสู้ไม่ได้ปลุกให้แม่ต๊อยออกมาดู แม่คนนี้คงนอนขี้เซาเหลือหลายถ้าเป็นคนธรรมดา แต่ผมว่าไม่ใช่ยังงั้น

ผมลากไอ้สองคนออกมานอกบ้าน ถูลู่ถูกังอย่างนั้น ตัวมันหนักทั้งคู่ กว่าจะลากมันมาถึงฝั่งถนนตรงข้ามที่เป็นจุดที่ไอ้เสือมือปืนมันนอนตายเมื่อคืน ผมก็เหนื่อย ผมเขี่ยมันให้นอนเรียงกันอยู่ใต้พุ่มไม้นั้น ให้มันนอนหงายหน้ามองดูฟ้าเรียบร้อยเหมือนกันทั้งคู่แล้ว ผมก็ค่อย ๆ บรรจงเสือกปลายมีดที่ผมถืออยู่อีกมือหนึ่งเข้าที่ลำคอของมัน ดันจนมีดเข้าไปจนลึก แล้วตวัดกลับตัดหลอดลม เสียงดังอ๊อกเดียวแล้วก็เงียบ ใบหน้าของมันเอียงลงพิงพื้นดิน นี่ไม่ได้หลับ แต่ตายสนิท

แล้วผมก็ปฏิบัติกิจกรรมเช่นเดียวกันกับไอ้อีกคนหนึ่ง แบบเดียวกัน และวิธีเดียวกัน ไอ้เสียงดังอ๊อกนั่นมันเป็นเสียงอย่างเดียวกันอีกตอนที่ผมเสือกปลายมีดเข้าไปที่คอหอยของมัน

ผมดึงมีดออก เช็ดเลือดกับเสื้อของมันจนสะอาด ล้วงเอาผ้าเช็ดหน้าของผมออกมาเช็ดที่ด้ามมีดจนทั่ว ไม่ให้มีรอยนิ้วมือของผมติดอยู่

โยนมีดเข้าไปในพุ่มลึก ๆ แล้วผมก็เดินกลับเข้าบ้านแม่ต๊อย ปล่อยไอ้สองคนนั่นมันส่งวิญญาณของมันไปเองอยู่ตรงนั้น จะลงนรก ขึ้นสวรรค์ แล้วแต่มัน

แม่ต๊อยก็ยังไม่ออกมาจากห้อง

ผมเดินไปที่เครื่องรับโทรศัพท์ หมุนโทรศัพท์เข้าบ้านผม เสียงโทรศัพท์ส่งเสียงเรียกอยู่นานกว่าไอ้น้อยของผมจะลุกขึ้นมาขานรับ พอเสียงยกหูรับสาย ผมก็ได้ยินเสียงกริ๊กเบา ๆ ในเครื่องที่ผมถืออยู่ แสดงว่าข้างในห้องแม่ต๊อยยกหูฟังอยู่แล้ว ผมพูดลงไปแต่ไม่ได้ใช้เสียงของผม ผมดัดเสียงแหลม ๆ

“ บอกเสี่ยด้วยครับ เรียบร้อยแล้ว ” พูดแค่นั้น ผมก็วางหู ไอ้น้อยมันจะงง ช่างมัน !

ผมเดินมายืนอยู่หน้าประตูห้องนอน คอยแม่ต๊อยนิ่งอยู่ตรงนั้น

เสียงประตูถอดล๊อค แล้วก็เปิดออก แม่ต๊อยร้อง ‘เฮอะ’ ออกมาคำเดียวเมื่อเห็นผมยืนจังก้าอยู่ตรงหน้า ผมดันหล่อนเข้าไปในห้อง ล๊อคประตู หันกลับไปหาแม่ต๊อย หล่อนกำลังยืนเอาทั้งสองขึ้นทาบอกอยู่ มองดูผมด้วยสายตาหวาด ๆ

ผมค่อย ๆ เดินเข้าไปหาหล่อน โอบเอว พามานั่งบนที่นอนบนเตียง อากาศข้างในเย็นเฉียบด้วยเครื่องปรับอากาศชั้นดี ไม่มีเสียง มันเงียบสนิท มีแต่ไอเย็นเฉียบ

“ เกิดเรื่องอะไรเรอะพี่ ” แม่ต๊อยพูดออกมา เสียงสั่น ๆ “ ต๊อยได้ยินเสียงตึงตัง พี่นอนดิ้นเหรอ ”

แม่คนนี้เล่นละครเก่ง ไม่ใช่แต่จะร้องเพลงเก่งอย่างเดียว คนต่อสู้กันจนตายไปสองคนหล่อนยังไม่รู้ และไม่สนใจออกมาดู มันออกจะเกินไปหน่อย แล้วผมก็ยังหายใจอย่างเหนื่อย ๆ อยู่ แล้วก็ไอ้โทรศัพท์กริ๊กนั่น หล่อนหมุนไปหาใคร

ผมโอบหล่อนลงนอนราบบนเตียง ตระโบมจูบลงไป แขนของหล่อนก็ตวัดมาโอบรอบคอ ผมสนองตอบในทันที ลิ้นพัวพันกันยุ่งเหยิงอยู่ในปาก ประเดี๋ยวเดียวเสื้อนอนบาง ๆ ของหล่อนก็หลุดลุ่ย แล้วผมยังจะนุ่งกางเกงใส่เสื้ออยู่ยังไงคนเดียว ผิดมารยาท

หน้าอกแม่ต๊อยสวย และกำลังเหมาะมือผม พอผมชอนไชลงไปที่ตรงนั้น จมูกและปาก หล่อนก็ครางออกมาไม่เป็นส่ำ ผมบนหัวของผมโดนขยี้ด้วยมือทั้งสองข้างของหล่อนจนมันแทบจะร่วงลงมาเป็นปอย ๆ กว่าจะถึงบทพิศวาสบทสุดท้าย ในห้วงคิดของแม่ต๊อยคงไม่มีร้อยเอก เชิด ทรงพลัง อยู่อีกแล้ว ถ้าผมไม่เลือกเอาจังหวะนี้ก็คงจะไม่มีจังหวะอย่างนี้อีกที่ผมจะได้สอดแทรกเข้าไปในร่างของหล่อน ลึกและยาวนานจนท่วมท้นเปียกปอน

มันเต็มไปด้วยรสชาติก็จริง แต่สำหรับผม เมื่ออิ่มแล้วก็แล้วกัน ไอ้ที่อยากก็ได้มาแล้ว ทีนี้ก็ถึงบทที่ผมจะแสดงบ้าง

แม่ต๊อยยังนอนกอดผมอยู่ตอนที่ผมขยับร่างลงมาจากหล่อน หล่อนก็คงเหนื่อยเหมือนกัน แรงสนองตอบของหล่อนไม่ได้บันยะบันยังอย่างนั้น จะไม่เหนื่อยก็ผิดไป

ผมลุกขึ้นแต่งตัว ไม่ยอมเข้าห้องน้ำชำระล้างร่างกายที่ควรชำระ ผมไม่อยากปล่อยโอกาสให้ใครมาเล่นงานผมตอนเผลอได้อีก ถึงตัวแม่ต๊อยนี่เองก็เถอะ ไว้ใจได้เสียเมื่อไหร่

“ ทำไมจะรีบกลับล่ะ พี่ ไหนว่าจะนอนเป็นเพื่อนต๊อย ” หล่อนเผยอตัวขึ้นพูด

ผมหัวเราะเสียยังงั้น ไม่ตอบ แต่งตัวจนเสร็จ เสียบปืนเข้าเอว แล้วพยักหน้าไปที่หล่อน

“ ลุกขึ้นมาหาพี่หน่อยซี ต๊อย ”

หล่อนค่อย ๆ ยันตัวลุกขึ้นมา ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้นุ่งผ้า ป่ายขาลงมาจากเตียงได้ก็เข้ามากอดผมแน่น

“ นอนนี่เถอะพี่ อย่าไปเลย ต๊อยกลัวผี ”

ผมดันร่างของหล่อนออกห่าง แล้วพูดว่า

“ เวลานี้มันเกิดมีศพเพิ่มขึ้นมาอีกสองศพแล้วละ ต๊อย ”

“ ศพใครอีกล่ะ พี่ ” หล่อนถามเสียงสั่น ๆ นัยน์ตาเหลือบขึ้นมองผม

“ ก็ศพไอ้สองคนที่ต๊อยเรียกให้ใครส่งมันมาเล่นงานพี่ยังไงล่ะ ” ผมพูดยิ้ม ๆ

ร่างของหล่อนสั่นไปทั้งตัว แต่ก็พูดเสียงสั่น ๆ ออกมาได้ว่า

“ พี่พูดอะไร ต๊อยไม่เข้าใจ ”

ผมสลัดหลังมือขวาเปรี้ยงไปที่ใบหน้าของหล่อน

“ ไม่เข้าใจหรือจ๊ะ ”

หล่อนเซถลาหมุนคว้างตามแรงตบลงไปกองอยู่บนที่นอนบนเตียง ค่อย ๆ ลุกขึ้นมานั่งพับเพียบ คลำใบหน้าข้างที่ถูกตบ เลือดไหลปริ่ม ๆ ออกมาที่มุมปาก ผมก้าวเข้าไปหา หล่อนกระถดตัวหนี

“ ลุกขึ้นมาหาพี่ซีจ๊ะ ต๊อย ” ผมยืนพูดอยู่ที่ริมเตียง ยังไม่ก้าวขึ้นไป

“ พี่ทำต๊อยทำไม ” หล่อนพับเพียบคลำรอยตบ นัยน์ตามองผม กึ่งหวาดกึ่งวิงวอน “ ต๊อยไปทำอะไรพี่ ”

“ ก็ลุกขึ้นมาหาพี่ซีจ๊ะ พี่จะบอกให้ ” ผมกระดิกนิ้วเรียก

“ พี่อย่าทำอะไรต๊อยอีกนะ ” หล่อนพูดเสียงกระเส่า แต่ยังไม่ขยับตัวเข้ามา “ พี่เป็นอะไรไปนะ พี่ ”

ผมยังยืนจ้องหล่อนอยู่ริมเตียง แม่ต๊อยนั่งจ้องตาผมอยู่ที่เก่า ยังไม่หายหวาด ผมขยับเท้าจะก้าวขึ้นเตียง

“ ต๊อยกลัวแล้วจ้ะ พี่ ” หล่อนยกมือไหว้ “ อย่าทำอะไรต๊อยอีกเลย ต๊อยไม่เข้าใจอะไรเลยจริง ๆ ”

ผมยืนชะงักนิ่งมองดูหล่อน ท่าทีของหล่อนเหมือนคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยจริง ๆ หรือไม่หล่อนต้องเป็นนักแสดงที่หาตัวจับได้ยาก ผมชักไม่ค่อยจะแน่ใจ

“ มาพูดอะไรกันหน่อย ” ผมพยักหน้าเรียก “ พี่ไม่ทำอะไรหรอก ”

“ จริง ๆ นะ พี่ ” หล่อนยังไม่แน่ใจ “ พี่นั่งคุยกับต๊อยบนเตียงก็ได้นี่ พี่ ”

ผมนั่งลงบนเตียง ตบมือลงบนที่นอนข้าง ๆ ตัว

“ เข้ามาใกล้ ๆ พี่ จะถามอะไรหน่อย ”

แม่ต๊อยค่อย ๆ ขยับเข้ามานั่งพับเพียบอยู่ใกล้ ๆ ตรงที่ผมตบที่นอนให้เข้ามา ร่างของหล่อนที่ยังเปล่าเปลือยอยู่นั้นสั่นไปทั้งตัว จะเพราะความกลัวหรือความเย็นจากเครื่องปรับอากาศก็ไม่รู้ หล่อนกุมหน้าอกคู่ที่เหมาะมือผมเมื่อกี้นี้แน่น

“ พี่โยนเสื้อของต๊อยให้ต๊อยหน่อย ต๊อยหนาว ” หล่อนชี้ไปที่เสื้อนอนที่หลุดไปอยู่ปลายตีนเตียง

ผมหยิบมันโยนไปให้ แม่ต๊อยไม่ได้รับเอาไปสวม หล่อนเอามันคลุมตัวข้างหน้าไว้ มือทั้งสองข้างกอดรัดเสื้ออยู่แน่น

ผมชี้ไปที่โทรศัพท์หัวนอนด้านที่ผมนั่งอยู่

“ เมื่อกี้นี้ ต๊อยโทรศัพท์ถึงใคร ”

“ ต๊อยพูดกับเพื่อนที่ทำงาน ตอนที่ต๊อยรีบออกมากับพี่ ต๊อยลืมตั๋วชั่วโมงไว้ที่บาร์ ให้มันช่วยเก็บไว้ให้ด้วย พี่ได้ยินเสียงเรียกข้างนอกหรือจ๊ะ ”

คำตอบของหล่อนทำเอาผมเซ่อไปเหมือนกัน หล่อนตอบได้โดยไม่ต้องหยุดคิดให้มีพิรุธ

“ แล้วที่ต๊อยบอกว่า ไม่เคยรู้จักกับนายวรวิทย์ หรือเสี่ยตั้งนั่นน่ะ ตอแหลหรือเปล่า ” ผมตั้งคำถามใหม่

“ ไม่เคยรู้จักจริง ๆ พี่ พี่ไปเอาชื่อคนคนนี้มาจากไหน ” หล่อนส่ายสายตามองตาผม

“ แล้วไอ้เบอร์โทรศัพท์อันนี้เป็นชื่อของใคร ” ผมชึ้ไปที่เครื่องโทรศัพท์
หล่อนนิ่งไปชั่วครู่ แล้วเงยหน้าพูด

“ มันก็ต้องเป็นชื่อต๊อย จะเป็นชื่อของใคร ”

“ แฮะแอ้ ” ผมเงื้อมือขึ้นกาง “ ตอแหล เดี๋ยวโดนตบอีก ”

“ พี่จะรู้ไปทำไปล่ะ ต๊อยก็ไม่เคยสงสัยอะไร ใคร ๆ เขาก็โทร. มาหาต๊อยที่นี่เบอร์นี้ทั้งนั้น ไม่ใช่ชื่อของต๊อยแล้วมันจะเป็นชื่อของใคร ”

“ ไอ้นี่แหละที่พี่อยากจะให้ต๊อยตอบ ก่อนที่จะคุยอะไรกันต่อไป ไม่งั้นจะต้องมีลูกตบอีกหลายลูก ”

“ มันสำคัญอะไรนักหรือ พี่ แล้วพี่รู้แล้วหรือว่า มันเบอร์อะไร”

“ รู้แล้ว และรู้แล้วด้วยว่ามันไม่ใช่ชื่อของต๊อย ”

“ แล้วพี่มาถามต๊อยอีกทำไม ”

“ ฉันเป็นคนตั้งคำถามให้เธอตอบ ” ผมเปลี่ยนสรรพนามกับหล่อน ชักรำคาญ “ ไม่ใช่ให้เธอมาตั้งคำถามกับฉัน ”

“ พี่ถามยังกะเป็นตำรวจ ” หล่อนจ้องหน้าผม “ ไหนพี่ว่าพี่เป็นนักหนังสือพิมพ์ ”

“ หนังสือพิมพ์ หรือตำรวจ มันเหมือนกันเสียแล้วเดี๋ยวนี้ เธอตอบคำถามได้วกวนดีนัก ฉันอยากรู้ว่าเธอปฏิเสธว่ารู้จักไอ้นายวรวิทย์หรือเสี่ยตั้งคนนั้นทำไม ในเมื่อหมายเลขโทรศัพท์ของเธอนี่มันอยู่ในชื่อของมัน ”

หล่อนนิ่ง แต่ยังจ้องตาผมอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกระพริบตาถี่ ๆ หลายครั้งก่อนที่จะพูดว่า

“ ต๊อยก็เพิ่งรู้ว่า โทรศัพท์ของต๊อยเป็นชื่อเของคนอื่น เขาชื่ออะไรนะพี่ ”

“ ชื่อวรวิทย์ หรือเสี่ยตั้ง ”

หล่อนหรี่ตา ทีท่าใช้ความคิด หรือควานหาความทรงจำอะไรสักอย่าง แล้วว่า

“ เขารูปร่างยังไง พี่ ”

“ ตัวเล็ก ๆ บาง ๆ หน้าตาเป็นคนจีน แต่งตัวโก้เสมอ อายุสามสิบกว่า ๆ เห็นจะได้ ”

“ ผิวขาว ๆ หน่อย หรือเปล่า ”

“ ใช่ ค่อนข้างขาว ”

หล่อนนิ่ง หรี่นัยน์ตาอีกครู่ใหญ่ แล้วพูดช้า ๆ อย่างครุ่นคิดไปด้วยออกมาว่า

“ เพื่อนพี่เชิดคนหนึ่ง รูปร่างอายุอย่างพี่บอก แต่ต๊อยไม่รู้ว่าเขาชื่ออะไร ต๊อยก็ไม่ค่อยจะชอบหน้าเขานัก เขาชอบมาชวนพี่เชิดไปเที่ยวบ่อย ๆ พักหลัง ก่อนที่พี่เชิดจะหายไป ” หล่อนหลุดนิดหนึ่ง หรี่ตาลงอีก “ ใช่แล้ว ต๊อยได้ยินพี่เชิดเรียกเขาว่า ตั่ง หรือตั๊ง หรือตั้ง อะไรนี่แหละ ครั้งหลังนี่เขาก็มาชวนพี่เชิดออกไป ดึกมากแล้ว ต๊อยยังห้ามไม่ให้พี่เชิดไป เขาก็ไม่เชื่อ ไปแล้วก็หายไปจนป่านนี้ ” แล้วหล่อนก็ซบหน้าลงบนฝ่ามือ ร้องไห้

ผมนั่งมองดูอาการของหล่อนนิ่งอยู่ ในสมองของผมมันกำลังวุ่นวาย ไอ้ที่ว่าตามรอยถูกของผู้การเยี่ยมเห็นทีจะยุ่ง ทีท่าของแม่ต๊อยดู ๆ ก็น่าเชื่อ หล่อนยังซบหน้าสะอื่นฮัก ๆ อยู่ต่อหน้า ดูไม่ออกว่าแกล้งทำหรือยังไง และถ้าไอ้เสือนั่นเป็นคนพาคุณเชิดออกไปจริง แล้วก็หายไปจนกลายเป็นศพ มันก็ยิ่งจะยุ่งใหญ่

ผมกำลังครุ่นคิดอยู่ หล่อนก็เงยหน้าขึ้นมาพูดเสียงเครือ ๆ อีกว่า

“ พี่เชิดตายแล้วจริง ๆ หรือคะ หรือเป็นแต่เพียงลายมือของต๊อยมันบอกเท่านั้น ”

ผมไม่ตอบคำถาม แต่ถามกลับไปว่า

“ โทรศัพท์ของต๊อยนี่ ใครเป็นคนวิ่งเต้นขอให้ ”

“ มันสำคัญนักหรือคะที่พี่ต้องรู้ ” เสียงของหล่อนยังเครือ น้ำตาเอ่ออยู่ในดวงตาทั้งสองข้างที่มองจับนัยน์ตาของผม

“ มันก็ไม่สำคัญจนต๊อยต้องปิดพี่ไม่ใช่หรือ ” ผมกลับมาใช้สรรพนามเดิม ชักจะใจอ่อน

“ พี่เชิดเป็นคนจัดการให้ต๊อยค่ะ ”

“ ได้มานานแล้วหรือ ”

“ เพิ่งจะได้มาไม่ถึงเดือน พี่เชิดก็มีอันเป็นไป พี่ยอดคะ พี่เป็นตำรวจจริง ๆ หรือคะ ”

ผมยิ้ม ปล่อยให้หล่อนเดาเอาเอง

“ พี่ก็ช่วยสืบหาให้ต๊อยด้วยซีคะว่า พี่เชิดเขายังอยู่ดีหรือเป็นอะไรไปแล้ว ”

หล่อนมองผมด้วยสายตาวิงวอน ท่าทีกิริยาอาการทุกอย่างของหล่อน มันดูเหมือนออกมาจากจิตใจจริง ๆ ผมเคยพบคนมาหลายประเภทแล้ว ดูออกไม่ยาก แต่แม่ต๊อยคนนี้ดูยาก ถ้าซื่อก็ซื่ออย่างน่าเห็นใจ แต่ถ้าคดก็คดอย่างน่าบรรลัยเหมือนกัน

“ แล้วพี่จะสืบให้ แต่ถึงว่าเขายังอยู่มันก็สายไปเสียแล้ว ”

“ สายยังไงคะ พี่ ” หล่อนสงสัย

ผมมองดูหล่อน ยิ้มแล้วพูดว่า

“ พี่เป็นผัวต๊อยไปเสียแล้วนี่ ถ้าเขากลับมา ต๊อยจะทำยังไง ”

หล่อนนิ่ง ก้มหน้ามองดูที่นอน ไม่พูด นิ่งอยู่นาน ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองผม สายตาของหล่อนบอกถึงความสับสนในใจ แล้วหล่อนก็พูดออกมาเบา ๆ ว่า

“ ต๊อยไม่ดีไปแล้ว พี่ ใจมันอ่อนไหวกับสิ่งที่พอใจอย่างนี้ ไม่รู้เหมือนกันว่า ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ไปได้ ต๊อยแพ้ใจตัวเอง แพ้พี่ อยากจะขัดขืน แต่ไม่รู้ว่าเรี่ยวแรงมันหายไปไหนหมด ต๊อยยอมรับกับพี่จริง ๆ ว่าต๊อยปฏิเสธความต้องการของพี่ไม่ได้ นอกจากเขาก็มีพี่นี่แหละเป็นคนที่สอง พี่จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามใจ ”

ผมมองดูหล่อนครู่หนึ่ง ผู้หญิงคนนี้เป็นได้ทั้งกุลสตรี และหญิงแพศยา เมื่อใดก็ได้ ถ้าหล่อนอยากเป็นอะไร

“ นอนอยู่กับต๊อยเถอะ พี่ อย่ากลับไปไหนเลย ” หล่อนพูด มองดูผมด้วยสายตาวิงวอนคู่เดิม “ ต๊อยกลัว กลัวไปหมดทุกอย่างในบ้านนี้ อยู่เป็นเพื่อนต๊อยจนถึงเช้าไม่ได้หรือ พี่ ”

เสียงอย่างนี้ ให้ใจหินยังไงก็ต้องอ่อน แล้วผมก็ไม่ใช่คนใจหิน

ถึงยังไงก็ตาม ผมก็ยังมีเรื่องข้องใจอยู่อีกเรื่องหนึ่ง ตอนที่ผมแกล้งดัดเสียงโทรศัพท์ให้แม่ต๊อยแอบดักฟังอยู่ในห้องนั้น แม่ต๊อยเปิดประตูออกมาทันที เพื่ออะไร แล้วทำไมต้องตกใจเมื่อเห็นผมยืนจังก้าอยู่ที่หน้าประตู ผมยังไม่อยากถามเดี๋ยวนี้ ทั้ง ๆ ที่อยากจะฟังคำตอบของแม่ต๊อยว่ายังไง แต่ผมจะเก็บเอาไว้ก่อน เอาไว้ถามตอนเหมาะ ๆ

ผมล้มตัวลงนอนข้าง ๆ แม่ต๊อยซึ่งยังนั่งกุมอกอยู่ทั้ง ๆ เครื่องทรงเต็มที่แล้วอย่างนั้น ผมดึงหล่อนเข้ามากอด ดึงมือที่ปิดอกออก แล้วมือของผมก็เข้าไปแทนที่ หล่อนซุกหน้าเข้าซอกไหล่ของผมเหมือนลูกแมวเชื่อง ๆ ปล่อยให้ผมเล่นหน้าอกของหล่อนไม่ปกป้อง ตอนที่หล่อนควานมือลงไปจะดึงซิปกางเกงของผมออกนี่ซี ผมต้องปรามเอาไว้
หล่อนแหงนหน้าขึ้นมองผมจากซอกไหล่ ชวนเชิญด้วยสายตา ยังไม่อิ่มหรือยังไงไม่รู้

แสงสว่างเรือง ๆ จากข้างนอกมองเห็นผ่านหน้าต่างกระจกเข้ามา ผมชันกายลุกขึ้น

“ พี่ไปละต๊อย สว่างแล้ว ”

“ แ..ห..ม ” หล่อนลากเสียงยาว ค้อนเอา “ ไม่อยากง่ะ ”

“ ไม่อยากก็ดีแล้วนี่ ” ผมว่า “ แล้วจะดึงเอาไว้อีกทำไม ”

“ บ๊...า ” หล่อนลากเสียงออกมาอีก “ จะรีบไปไหนก็ไม่รู้ ”

ผมล้วงเอาเงินออกมาจากกระเป๋าทั้งข้างหลังกางเกงและในกระเป๋าเอกสาร โยนลงบนเตียงตรงหน้าหล่อน

“ เอ้า เก็บเอาไว้ด้วย ทีนี้เก็บไว้ให้ได้แล้ว เงินของพี่ก็เหมือนของต๊อยแล้วละทีนี้ ”

หล่อนก้มตาลงมองดูปึกเงินแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า

“ คืนนี้ต้องแวะไปหาต๊อยอีกนะ หายไปละก็คอยดู ”

ผู้หญิงก็เป็นอย่างนี้ทุกคน ลงเสียท่าแล้วละก็ต้องตั้งท่าเป็นเจ้าของจะผูกขาดลูกเดียว ไม่ว่ารายไหนรายนั้น แต่พอลงแม่จะผละเพราะเจอของดีรายใหม่ละก็ แม่เมินเอาเฉย ๆ เสียยังงั้นจะทำไม แถมไล่ส่งก็ยังมี นี่ถ้าพ่อเจ้าประคุณ ร้อยเอก เชิด คนนั้นยังไม่ตาย แล้วโผล่เข้ามาอีก หล่อนจะว่ายังไง ผมยังไม่ต้องการให้หล่อนรู้เรื่องนี้ให้ชัดแจ้งลงไป ให้มันก้ำกึง ไม่แน่นอนอยู่อย่างนี้ ผมมีอะไรที่จะเล่นอีกมาก งานของผมเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น และที่ผู้การเยี่ยมบอกผมว่า ผมตามถูกรอยแล้วนั้น ผมชักจะเข้าใจ

ไอ้เงินปึกนี้ของเสี่ยตั้งเป็นแต่เพียงเหยื่อชิ้นแรกที่ผมอ่อยลงไป มันจะเสียหายไปยังไง เสียตั้งเขาเป็นคนลงทุนให้ผม วันหนึ่งผมเห็นจะต้อง
ขอบคุณเขาให้ถึงขนาด

ผมไม่ตอบคำชวนของหล่อน เดินออกมาเปิดประตูห้องออกไป





Create Date : 04 สิงหาคม 2552
Last Update : 4 สิงหาคม 2552 0:20:32 น. 0 comments
Counter : 764 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ธารน้อย
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 26 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add ธารน้อย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.