จงให้ความสำคัญต่อสิ่งที่ถูกต้อง มากกว่าสิ่งที่ถูกใจ
Group Blog
 
<<
เมษายน 2553
 
15 เมษายน 2553
 
All Blogs
 
ชัยชนะและความพ่ายแพ้ของ "บุรุษเหล็กแห่งเอเชีย" (ตอนที่ 71)

โดย พ.ต.อ. พุฒ บูรณสมภพ

ตอนที่ 71

วีรบุรุษมัฆวาน

หมากในทางการเมืองนี้ ทางพรรคการเมืองที่เป็นคู่แข่งเขาก็วางไว้เหมือนกัน พรรคที่เป็นคู่แข่งที่สำคัญของพรรคเสรีมนังคศิลา สมัยนั้นก็คือ พรรคประชาธิปัตถ์ ซึ่งถึงจะสิ้นนายควง อภัยวงศ์ ไปแล้ว ก็ยังท่านหม่อมราชวงศ์ เสนีย์ ปราโมช รับหน้าที่หัวหน้าพรรคคุมอยู่ ท่านผู้นี้เป็นปรมาจารย์ในทางการเมืองที่หาตัวจับยาก เป็นคู่แข่งทางการเมืองคนสำคัญของของท่านจอมพล ป.

ในที่สุด การเมืองก็มาถึงขั้นสุดท้าย เมื่อเวลาของการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรทั่วประเทศมาถึง เมื่ออายุของผู้แทนชุดเก่ากำหนดสิ้นสุดลง รัฐบาลกำหนดการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่เท่าไหร่ ผมก็จำไม่ได้ จำได้แต่ว่า เป็นตอนต้นเดือนของเดือนกุมภาพันธ์ ปี พ.ศ. 2500

การเลือกตั้งครั้งนั้นเป็นไปอย่างสุดเหวี่ยง การต่อสู้ระหว่างพรรค เสรีมนังคศิลา กับพรรค ประชาธิปัตถ์ คู่รักคู่แค้นดั้งเดิม เป็นไปอย่างคึกคัก ต่างฝ่ายต่างมีพรรคที่มีฝีมือทัดเทียมกัน อยู่ที่เล่ห์เหลี่ยมกลวิธีในการหาเสียงเท่านั้นที่จะนำออกมาใช้สู้กันอย่างไร ฝ่าย เสรีมนังคศิลา จะได้เปรียบหน่อย ตรงที่เป็นฝ่ายรัฐบาลปกครองประเทศอยู่ มีโอกาสใช้คนและเครื่องมือในการหาเสียงสูงกว่า แต่พรรค ประชาธิปัตถ์ คู่แข่งก็มีฝีมือและความเจนจัดในสนามการเมืองมากกว่า การต่อสู้ระหว่างสองพรรคนี้ จึงเป็นไปอย่างน่าดู

เป็นธรรมดาของการเมือง ประชาชนส่วนใหญ่มักจะเอาใจช่วยฝ่ายที่เสียเปรียบมากกว่า มันเป็นนิสัยของคนไทยโดยทั่ว ๆ ไป ฉะนั้น ในฐานะที่ พรรคประชาธิปัตถ์ เป็นฝ่ายที่อยู่ในฐานะที่เสียเปรียบมากกว่า พรรค เสรีมนังคศิลา ซึ่งเป็นพรรครัฐบาล ประชาชนส่วนใหญ่จึงหันไปเอาใจช่วย พรรค ประชาธิปัตถ์ คู่แข่งของพรรครัฐบาลโดยทั่วไป ทั้งสองฝ่ายมีพลพรรคและเครื่องมือในการหาเสียงทัดเทียมกัน แต่ ประชาธิปัตถ์ มีความชำนาญในสนามการเมืองในระยะนั้น พรรคประชาธิปัตถ์ จึงอยู่ในฐานะที่ได้เปรียบกว่าในสนามของการต่อสู้ทางการเมืองนี้

ในที่สุด กำหนดวันเลือกตั้งก็มาถึง ประชาชนต่างออกไปใช้สิทธิออกเสียงกันทั่วไปอย่างหนาแน่น ในหน่วยต่าง ๆ ทั่วประเทศ ผลที่ออกมา ทั้งสองพรรคคู่แข่ง ต่างก็ทำคะแนนคู่คี่กัน

ในต่างจังหวัดนั้น ฝ่ายรัฐบาลย่อมมีภาษีกว่าอยู่แล้วในทุกสมัย ได้เจ้าหน้าที่ของรัฐช่วยเหลืออยู่ แต่กระนั้นประชาธิปัตถ์ ก็ยังทำคะแนนไล่เข้ามาอย่างใกล้ชิด ผมได้ข่าวนี้มาจากหน่วยข่าวกรองของผมที่ให้ทำงานนี้ตลอดเวลา ข่าวที่เข้ามาเป็นข่าวที่ได้เปรียบของพรรครัฐบาลในทุกพื้นที่ มีบางพื้นที่เสียงฝ่ายประชาธิปัตถ์นำมาบ้าง แต่ก็ไม่น่ากลัว

ผมนั่งคุมการข่าวนี้อยู่ที่สันติบาล รอฟังผลอยู่ทุกระยะ ตกบ่าย หลังอาหารกลางวันที่สั่งเข้ามากินในห้องทำงานพร้อมกับเจ้าหน้าที่ของผมพักใหญ่ พอเสร็จอาหารก็คิดว่าจะพักผ่อนงีบสักชั่วโมงตามเคย ก็พอดีได้รับโทรศัพท์สายตรงจากวังปารุสก์
“ เฮ้ย มึงมาพบกูเดี๋ยวนี้ ” เสียงจากสายดังสนั่นเสียบรูหูมา เมื่อยกหูรับ ยังไม่ทันได้บอกว่าใครเป็นคนรับสาย แต่ก็ไม่แปลก เพราะหมายเลขนี้เป็นหมายเลขเฉพาะสายตรง คนที่ยกหูรับก็ต้องเป็นผม และคนที่ต่อสายมาก็ต้องเป็นตัวท่านเจ้าของเอง

เรื่องนี้ไม่ต้องถามกันว่า ให้ไปพบทำไม เพราะพูดเสร็จก็วางหูทันที
ผมเข้าวังปารุสก์ทันใจเหมือนกัน ระหว่างทางก็คิดเหมือนกันว่า เรื่องอะไรอีกล่ะ

“ เฮ้ย เขาว่าทางบางยี่เรือ มันเวียนเทียนกันว่ะ ” ท่านพูดทันทีที่เห็นหน้าผม “ มึงไปดูทีวะ มันอะไรกัน คนของเราที่หน่วยนั้น รายงานมาถึงกูเดี๋ยวนี้เอง พรรคคู่แข่งเขาใช้ทหารเรือเวียนเทียนกันสนุกอยู่ที่หน่วยนั้น ”

ผมบึ่งรถไปที่หน่วยบางยี่เรือ ไปแอบดูวิธีการลงคะแนนเสียงที่นั่นอยู่เงียบ ๆ ผมไม่รู้จักคนของพรรค เสรีมนังคศิลา ที่วางเอาไว้ ไม่ได้ไต่ถาม และไม่จำเป็นที่จะต้องไต่ถาม ผมยืนดูอยู่ก็เห็นการเวียนเทียนจริง ๆ จำหน้าทหารเรือในเครื่องแบบได้ว่า หมอนี่เวียนมาลงคะแนนนับได้สามครั้งเข้าไปแล้ว อีกหลาย ๆ คนก็ทำอย่างเดียวกัน ก่อนหน้าที่ผมจะมาถึง เขาเวียนเทียนกันไปกี่รอบแล้วก็ไม่รู้ ผมออกมาจากที่นั่น กลับมารายงานเจ้านายตามที่เห็น

“ ทำยังไงดีวะ ” ท่านปรารภ “ ที่นั่นเราคงจะแพ้หลุดลุ่ย แล้วคะแนนที่นั่น มันจะพาเอาที่อื่นพลอยตกไปด้วย กูไม่ค่อยจะแน่ใจว่ามันจะกระเทือนถึงคะแนนรวมเอา มึงไปจัดการอย่าให้แพ้ ”

“เห็นจะยากครับ ” ผมว่า “ ที่นั่นมันดงทหารเรือเขา จะเอาชนะเขาได้ยังไง ”

“ ก็อย่าเล่นเวียนเทียนกันซิวะ ยังงี้ก็แย่ ” ท่านรำพึงดัง ๆ ออกมา “ ทำยังไงดี ”

ผมคิดอยู่ครู่เดียวก็มองเห็นทาง
“ ไม่เป็นไรครับ ปล่อยเขาเวียนเทียนไปตามสบายเถอะครับ ”

“ อ้าว ไอ้ห่า ” ทีนี้หันมามองผมตาโต “ มึงพูดยังไง ที่นั่นแพ้ มันจะโยงไปถึงหน่วยอื่นด้วยนะโว้ย เสียท่าเขา กูเป็นโดนท่านจอมพลด่าเอาแน่ ๆ ”

เป็นห่วงคนที่เคารพนับถืออยู่คนเดียว

“ ไม่แพ้หรอกครับ ” ผมพูด มองตาถลนคู่นั้นอย่างไม่กลัว ชินเสียแล้ว

“ ไอ้นี่พูดง่าย ๆ ” นัยน์ตาคู่นั้น จ้องดูผมนิ่ง “ เอาเหอะ มึงไปจัดการของมึง ถ้าที่นั่นแพ้ กูเอามึงตาย มึงโดนหนักแน่ ”

ผมโค้ง ลาออกมา

ออกจากที่นั่น ผมก็ตรงไปกระทรวงมหาดไทย ขึ้นไปบนกระทรวง ผมไปหาท่านปลัดกระทรวงที่ผมรู้จักท่านดี ผมขออนุญาตท่านไปดูห้องที่เก็บหีบเลือกตั้ง ท่านก็สั่งคนของท่านให้พาผมไป

ไปถึงห้องเก็บหีบเปล่าหลายใบที่ผู้มีสิทธิ์ใช่หย่อนบัตรกัน ในห้องนั้นมีอะไร ๆ ครบถ้วนที่ใช้เกี่ยวกับการเลือกตั้ง บางครั้งก็มีเจ้าหน้าที่จากหน่วยอื่น ๆ รีบมาเบิกเอาหีบลงคะแนนไปเพิ่มที่หน่วยของตน เพราะหีบที่หน่วยไม่พอ

ผมสำรวจดูสิ่งต่าง ๆ ในห้องนั้น แล้วก็มองเห็นหนทาง ในห้องนั้นแบ่งเป็นสัดส่วน ตามท้องที่ทุกเขต และหน่วยเลือกตั้งทั่วพระนครและธนบุรี ผมเดินดูจนพบหีบสำหรับใช้ของหน่วยบางยี่เรือ และกองบัตรที่ใช้ลงคะแนนของหน่วยนั้น ผมจำได้ว่าที่หน่วยบางยี่เรือนั้น มีหีบคะแนนอยู่สี่หีบ ผมก็แยกเอาหีบลงคะแนนของหน่วยนั้นออกมาสี่หีบ คัดเอาบัตรลงคะแนนของหน่วยนั้นออกมาปึกใหญ่หลายปึก

ผมลงคะแนนของผู้สมัครของพรรค เสรีมนังคศิลา เอาตามใจชอบ หย่อนลงในหีบคะแนนตามใจชอบ นั่งปิดบัตรยัดลงหีบทั้งสี่หีบจนเต็ม แล้วก็ปิดหีบเชือกตาดเอาตราครั่งมาประทับ เหมือนกับที่เจ้าหน้าที่เขาทำกับในหน่วยเลือกตั้ง ผมทำงานลงคะแนนของผมเรียบร้อยสี่หีบแล้ว ก็ยกเอาหีบทั้งสี่ไปวางกองไว้ที่มุมลับตาคน แล้วปิดประตูห้องออกมารอข้างนอกห้อง

ถึงเวลาหมดเวลาลงคะแนน ก็มีกรรมการนับคะแนนทยอยกันมาที่กระทรวง สมัยนั้น วิธีนับคะแนน เขาใช้ยกหีบลงคะแนนมาเปิดนับที่กระทรวง เมื่อหมดเวลาลงคะแนนแล้ว เจ้าหน้าที่หน่วยเลือกตั้งก็จะปิดหีบ เอาเชือกคาดรอบหีบ แล้วประทับตราครั่งทุกหีบ แล้วก็จะขนหีบคะแนนนั้นมาที่กระทรวง มาคอยคณะกรรมการคณะหนึ่งที่กระทรวงมหาดไทยแต่งตั้ง มาทำพิธีเปิดหีบนับคะแนน ต่อหน้าคณะกรรมการและเจ้าหน้าที่แต่ละหน่วย

หีบลงคะแนนของหน่วยต่าง ๆ ก็ทยอยกันมาถึง เจ้าหน้าที่เอาหีบคะแนนเหล่านั้นเข้าเก็บในห้องทุกหีบ ก่อนที่จะเอาออกมา เมื่อถึงเวลาที่คณะกรรมการนับคะแนนจะให้เปิดออกมานับต่อหน้าเจ้าหน้าที่ ผมก็เข้าไปช่วยเขายกหีบเข้าเก็บในห้องด้วยอัธยาศัยไมตรีต่อเจ้าหน้าที่ของกระทรวง ซึ่งส่วนมากรู้จักกัน

หีบของบางยี่เรือมาถึงเอาเกือบสุดท้าย ผมก็ช่วยเขายกหีบคะแนนเข้าห้อง จัดวางหีบคะแนนบางยี่เรือไว้ใกล้ ๆ กับหีบที่ผมลงคะแนนเอง ให้เจ้าหน้าที่ ที่ผมช่วยยกนั้น เอาเข้าห้องข้างใน

พวกเจ้าหน้าที่ที่ขนหีบคะแนนนั้น ไม่รู้ว่าห้องอะไรเป็นห้องอะไร เขาก็ทำตามที่ผมสั่ง หีบคะแนนของหน่วยบางยี่เรือที่มาจากหน่วยนั้นจริง ๆ ก็เข้าไปอยู่ในห้องเก็บของ ผมเลื่อนเอาหีบที่ผมลงคะแนนเองนั้น เข้าแทนที่หีบของหน่วยบางยี่เรือที่เขาขนกันมานั้น

คณะกรรมการนับคะแนนทยอยกันมาที่ห้องนับคะแนน เมื่อหีบคะแนนจากหน่วยต่าง ๆ ทั่วกรุงเทพ ฯ และธนบุรี มาถึงกระทรวงครบถ้วนหมดแล้ว คณะกรรมการก็เข้าประจำที่ เริ่มขนหีบคะแนนออกมาเปิดต่อหน้าคณะกรรมการ ผมเดินดูเขาทำงานอยู่ครู่หนึ่งก็ออกมาเตร่อยู่หน้าห้อง นาน ๆ ก็เข้าไปดูเขาเสียที ก็มีเจ้าหน้าที่ผู้ใหญ่ของกระทรวงมหาดไทยมาตรวจตรากัน ผมเวียนเข้าเวียนออก ดูเขาจนถึงหีบคะแนนของบางยี่เรือถูกขนออกมาเปิดหีบ คณะกรรมการตรวจตราครั่งเรียบร้อยทุกหีบแล้ว ก็สั่งเปิดหีบออก เทเอาบัตรลงคะแนนออกมากองนับกัน เสียงขานชื่อพรรคและคะแนนที่อยู่ในหีบนั้นได้ยินทั่วห้อง ผมแน่ใจว่าเป็นหีบคะแนนของผม ผมก็กลับออกจากที่นั่น กว่าจะนับคะแนนเสร็จก็ร่วมทุ่มของวันนั้น

ตอนเย็นก็มีการประกาศคะแนน ผลออกมาว่า คะแนนของพรรค เสรี มนังคศิลา ที่หน่วยบางยี่เรือ ชนะพรรคคู่แข่งท่วมท้น พรรคเสรีมนังค ศิลา ชนะขาดลอยที่หน่วยนั้น

รุ่งขึ้นก็มีการเคลื่อนไหวของพรรคคู่แข่ง โวยออกมาว่า การเลือกตั้งครั้งนั้นเป็นการเลือกตั้งสกปรก มีการโกงคะแนนกัน เขามั่นใจได้ยังไงว่า การเลือกตั้งครั้งนั้น ไม่ชอบมาพากล

เขามั่นใจเพราะผลจากหน่วยบางยี่เรือนั่นเอง เพราะที่นั่นเขาต้องชนะ เขามั่นใจว่าเขาแพ้ไม่ได้ ขนาดมีการเวียนเทียนกันอย่างนั้น เขาจะแพ้ได้อย่างไร มันต้องมีอะไรที่ไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นที่นั่นแน่ ๆ ที่เขามั่นใจอยู่ตรงนั้น หน่วยอื่นนั้นเขาไม่ว่า เพราะมีการแพ้-ชนะกันสูสี และที่บางยี่เรือเป็นแดนของทหารเรือ ผู้สมัครในนามของพรรคนี้ เป็นนายทหารเรือ นาวิกโยธินเก่า กว้างขวางอยู่ในถิ่นนั้น จะมาแพ้ผู้สมัครของพรรคอื่นได้ยังไง ยิ่งได้เวียนเทียนลงคะแนนกันคนละสาม-สี่รอบยังงั้น มันจะแพ้ไม่ได้

ต่อมาก็มีการยุขบวนการนักศึกษาให้ออกมาคัดค้านการเลือกตั้งครั้งนั้น ผมมีหน่วยข่าวของผมอยู่ในวงการนักศึกษา ได้ข่าวนี้มาอย่างใกล้ชิดว่า จะมีการเดินขบวนกันในอีกไม่กี่วัน

ผมรายงานข่าวนี้ขึ้นไป ให้เตรียมการป้องกันระงับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วัน เหตุการณ์กำลังเข้าสู่วิกฤต เจ้านายเองก็ไม่ค่อยจะเชื่อข่าวนั้น กลับมาถามผมว่า

“ มึงทำยังไงวะ คะแนนของเราถึงนำลิ่วที่นั่น ”

“ ท่านให้ผมดูแลให้ชนะ ก็ชนะแล้ว ” ผมตอบ “ ท่านจะรับรู้ทำไมล่ะครับว่าชนะได้ยังไง ผมรู้คนเดียวก็พอ ท่านจะมารับผิดชอบเรื่องนี้ทำไม ”

เจ้านายนิ่งไป มองผมแล้วไม่ว่าอะไร

พอมาถึงข่าวเดินขบวนที่นักศึกษาจะก่อหวอดขึ้นมา โดยการยุแยงของนักการเมืองฝ่ายที่แพ้ ก็ชักจะไม่เชื่อ เพียงแต่ให้แจ้งข่าวไปยังฝ่ายทหารเท่านั้น ถึงกระนั้นก็ยังไม่มีใครเชื่อข่าวนั้น มั่นใจกันว่า กำลังทางป้องกันของรัฐบาลมีแน่นหนา

แล้วเหตุการณ์ที่รอคอยก็มาถึง

เหตุเกิดขึ้นตอนเช้าของวันหลังจากวันที่ประกาศผลการเลือกตั้งได้เพียงสองวัน ดูเหมือนจะเป็นวันที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500 ขบวนนักศึกษาเป็นหมื่น ออกมาเดินขบวนจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ไปถนนราชดำเนิน มุ่งหน้าไปทำเนียบรัฐบาล บีบบังคับให้รัฐบาลลาออก

ขบวนนักศึกษานี้ เมื่อออกจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีแต่นักศึกษาจำนวนเป็นพัน ๆ เต็มถนน ตั้งแต่เริ่มต้นจากท่าพระจันทร์ เลี้ยวออกมาเข้าถนนราชดำเนิน ก็มีประชาชนเข้าร่วมขบวนสมทบอีกแน่นหนานับเป็นหมื่น ทำเอาถนนราชดำเนินแคบลงไปถนัด

ฝูงชนและนักศึกษาก่อตัวขึ้นเป็นขบวนหนาแน่น ยาวเหยียดเต็มถนนไปหมด ทั่วความกว้างของถนนราชดำเนิน ต่างร้องหาให้มีการเลิกล้มการเลือกตั้ง และให้รัฐบาลลาออกในทันที ประณามการเลือกตั้งสกปรกครั้งนี้

ฝ่ายรักษาความสงบ ทั้งตำรวจและทหาร ไม่สามารถที่จะยับยั้งคลื่นมหาชนนี้ได้ เข้าไปขัดขวางก็โดนเหยียบย่ำกลืนหายไปในขบวน มีตำรวจเจ็บไปหลายคน ขบวนต่างไชโยโห่ร้อง คึกคะนองไปข้างหน้ายังจุดที่หมาย คือทำเนียบรัฐบาล ขณะนั้น รัฐมนตรีที่อยู่ในทำเนียบต่างก็แยกย้ายกันหลบออกจากทำเนียบ เมื่อเห็นเหตุการณ์เข้าขั้นระงับไม่ได้ แพ้ฝูงชน

ขบวนยิ่งหนาขึ้นเมื่อเคลื่อนตัวไปใกล้ทำเนียบรัฐบาล มาถึงสะพานสุดท้ายคือ สะพานมัฆวานรังสรรค์ ผ่านสะพานนี้ไปได้ก็ถึงถนนที่จะเลี้ยวเข้าทำเนียบรัฐบาลได้ทันที

ที่จุดตรงนั้นอันเป็นจุดที่มั่นสุดท้าย มีแนวทหารกั้นขวางอยู่ในสภาพอาวุธพร้อมที่จะขัดขวาง

ณ จุดสุดท้ายนี้ ผู้บังคับแถวทหาร ณ จุดสำคัญนี้ เป็นนายทหารหนุ่ม ในยศร้อยเอก เขาออกมายืนหน้าแถวทหารที่ขยายออกกั้นแนวสะพาน

ขบวนนักศึกษาและประชนชนที่กำลังคึกคะนองและฮึกเหิมในชัยชนะ โห่ร้องกันมาจนถึงจุดนี้ ซึ่งเป็นจุดแคบของสะพาน

ขบวนอันยาวเหยียดนั้นมาหยุดอยู่ตรงหน้านายทหารหนุ่มยศร้อยเอกคนนั้น ตัวหัวหน้าขบวนที่นำหน้ามา ก็มาหยุดนิ่งอยู่ตรงหน้านายทหารหนุ่มยศร้อยเอกคนนั้น เสียงไชโยโห่ร้องของคนในขบวนที่อยู่ข้างหลัง ดังกึกก้อง มาหยุดลงที่ตรงนั้น

นายทหารหนุ่มก้าวออกมาเผชิญหน้ากับผู้นำขบวนด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส เขาหันไปสั่งทหารในบังคับบัญชาให้ปลดอาวุธลงจากบ่าที่อยู่ในท่าเตรียมยิง มาอยู่ในท่าปกติ เขาทักทายผู้ที่นำขบวนมานั้นเหมือนไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรงอะไร

นักข่าวหนังสือพิมพ์ที่ตามขบวนมา แหวกฝูงคนเข้าไปเพื่อสัมภาษณ์หาข่าว ก็เข้าไปได้ยาก ไม่มีใครได้ยินการพูดจาระหว่างนายทหารหนุ่มกับหัวหน้าขบวนชัดเจนว่าพูดกันยังไง แต่ใบหน้าของทหารหนุ่มนั้นยิ้มแย้มแจ่มใสตลอดเวลา

การเจรจาเป็นไปครู่ใหญ่ ขบวนฝูงชนนั้นไม่ได้มีการส่งเสียงดุเดือดอย่างไร เสียงที่กึกก้องมาตามถนนแต่แรกนั้น กลับค่อย ๆ สงบเงียบลง จนกลายเป็นสงบเงียบอย่างเรียบร้อย

ขบวนทั้งขบวนนั้นอยู่ในความสงบ แล้วต่อมาก็ถอยออกมาจากที่นั่น ค่อย ๆ แตกแยกขบวนออกไปเป็นกลุ่ม ๆ สลายตัวไปในที่สุด ณ ที่ตรงนั้น

เหตุการณ์อันน่าสะพรึงกลัว กลับกลายเป็นสลายตัวไปอย่างไม่น่าเป็นไปได้ ด้วยการเจรจากันฉันเพื่อนที่ตรงนั้น

ฝ่ายรัฐบาลที่ระวังป้องกันทำเนียบกันอย่างแข็งแรง ก็ไม่ได้มีงานทำ การป้องกันขั้นสุดท้ายของรัฐบาลที่จุดหน้าทำเนียบนั้น เป็นการป้องกันของปราการสุดท้ายขั้นแตกหัก จะต้องรุนแรงอย่างคาดไม่ได้ ข่าวการแตกสลายตัวของขบวนทำให้ทุกคนสบายใจ โล่งอกอย่างไม่น่าเชื่อ

เราได้วีรบุรุษสะพานมัฆวานคนหนึ่ง วีรบุรุษในเครื่องแบบ ผู้มีชื่อว่า

อาทิตย์ กำลังเอก

วีรบุรุษท่านนี้ปรากฏออกมาอย่างไม่มีใครนึกฝัน ด้วยการที่ดับเพลิงแห่งความยุ่งยากที่เกิดขึ้นจากการยุแยงของกระบวนการทางการเมือง ที่กำลังคุกรุ่น และแผ่ขยายออกอย่างรวดเร็วรุนแรง ชนิดที่ไม่มีใครคาดเหมือนกันว่า มันจะรุนแรงถึงขนาดสับสนกันไปทั้งเมือง ขยายตัวออกจากชนกลุ่มน้อยในหมู่นักศึกษา จนบานปลายไปสู่ฝูงชนมหาศาลนับหมื่นนับแสน จนฝ่ายรักษาความสงบไม่สามารถที่จะยับยั้งได้ ต้องพ่ายแพ้ต่อกำลังมหาชน จนถึงขั้นที่ไม่อาจจะประเมินความเสียหายอันจะเกิดตามมาได้

ภัยพิบัติและความวุ่นวายอันมหาศาลนี้ ถูกยับยั้งได้อย่างง่าย ๆ ด้วยวิธีการอันนุ่มนวล และวาทะอันเยือกเย็นของนายทหารหนุ่มท่านนั้นลงได้อย่างไม่มีใครคาดคิดเหมือนกัน

ผมไม่ทราบว่า ขณะนั้นท่านผู้นี้ มีตำแหน่งบังคับบัญชาหน่วยทหารหน่วยไหน ตำแหน่งก็คงขนาดผู้บังคับกองร้อยในยศร้อยเอก เป็นคราวเคราะห์ดีของสถานการณ์ในวันนั้น ที่ได้ถูกยับยั้งให้สลายตัวลงอย่างง่ายดาย ชนิดที่นักการทูตก็คงจะทำไม่ได้

เหตุการณ์สงบลง ไม่มีอะไรวุ่นวายมากกว่านี้ การเลือกตั้งที่เรียกว่าสกปรกในครั้งก่อน ก็ถูกยอมรับไปโดนปริยาย

เมื่อไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรทางการเมืองอีก นอกจากในรัฐสภา

ลิ่มที่ท่านจอมพล ป. ตอกเอาไว้ในรอยร้าวระหว่างเสือสองตัว ที่ฝ่ายหนึ่งกุมกำลังทางกองทัพ อีกฝ่ายหนึ่งคุมกำลังตำรวจที่มีหน่วยกำลังไม่แพ้กัน แต่เสือทางกองทัพนั้น ยังมีตำแหน่งที่ไม่อาจควบคุมกองทัพได้เต็มมือ เพราะยังมีตัวผู้บังคับบัญชาทหารบก

ท่านจอมพล ผิน ชุณหวัณ กุมอำนาจอยู่

เหตุการณ์วุ่นวายพลิกไปเกิดขึ้นในรัฐสภา เมื่อล่วงมาถึงเดือน กันยายน พ.ศ. 2500 ความคุกรุ่นของการแตกแยกระหว่างสองผู้นำฝ่ายคุมกำลัง ค่อย ๆ เป็นไปตามกาลเวลา เมื่อท่านทั้งสองไม่มีโอกาสพบปะทำความเข้าใจกัน และการยุแหย่ก็เป็นไปอย่างสม่ำเสมอ ความระแวงต่อกันก็ขยายตัวออกไปทุกกาลเวลาที่เดินไปอย่างไม่หยุดนิ่ง




Create Date : 15 เมษายน 2553
Last Update : 15 เมษายน 2553 2:01:07 น. 5 comments
Counter : 1364 Pageviews.

 
......แหม...กำลังสนุกเลย.....

ขอบคุณมาก...


โดย: ก้นกะลา วันที่: 15 เมษายน 2553 เวลา:3:00:56 น.  

 


โดย: นนนี่มาแล้ว วันที่: 15 เมษายน 2553 เวลา:4:47:34 น.  

 
มาเยือนครับจาก //www.thai-school.net/wanarat


โดย: พริกดิบ (พริกดิบ ) วันที่: 15 เมษายน 2553 เวลา:9:50:38 น.  

 


โดย: หาแฟนตัวเป็นเกลียว วันที่: 15 เมษายน 2553 เวลา:12:08:27 น.  

 
มันมากกกกก


โดย: บักบุญเถิง IP: 124.157.253.15 วันที่: 15 เมษายน 2553 เวลา:15:34:13 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ธารน้อย
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 26 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add ธารน้อย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.