เงื่อนไขการปฎิวัติ (ตอนที่ 21)
โดย พ.ต.อ. พุฒ บูรณสมภพ
ตอนที่ 21
บทที่ ๙ - คลื่นใต้น้ำปะทุ
ในบทที่ ๗ ตอนปฏิบัติการที่ผิดจังหวะ ผมได้เขียนทิ้งท้ายไว้ถึง การปฏิวัติ ๒๙ มิถุนายน ๒๔๙๔ หรือที่เรียกกันว่า กบฏ แมนฮัตตัน ทิ้งไว้เพียงนั้น แล้วมาต่อบทที่ ๙ ด้วยการสรุปเหตุการณ์และวิจัยออกมาถึงสาเหตุและเงื่อนไขของเหตุปฏิวัติในแต่ละครั้งคราวของความวุ่นวายว่ามีอะไร และเกิดจากอะไรในแต่ละครั้งคราวนั้น ๆ ไว้แล้ว เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้วินิจฉัยเอาเองแต่ละเหตุการณ์ให้ได้อ่านบทต่อ ๆ ไปด้วยวิจารณญาณของตัวเอง ท่านผู้อ่านบางท่านอาจมีอายุไม่ทันพบเหตุการณ์ที่แล้ว ๆ มา เรียกง่าย ๆ ว่า ยังเกิดไม่ทัน ก็จะได้ใช้ความรู้ซึ่งสรุปไว้ในบทที่แล้วมานั้น มาพิจารณาเหตุการณ์ที่จะเกิดต่อไปได้ถูกต้อง หลังจากเหตุการณ์วังหลวง หรือที่เรียกกันว่า กบฏวังหลวง เมื่อ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๒ ได้สงบราบคาบไปแล้ว ด้วยความกระจอกของทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายกบฏ ดังที่เขียนมาให้อ่านกันแล้วนั้น ความสงบเงียบก็เกิดขึ้นอีกทั่ว ๆ ไป แต่ภายใต้ความสงบเงียบนั้น คลื่นใต้น้ำได้ก่อตัวขึ้นเงียบ ๆ เหมือนกัน รอเวลาและจังหวะที่จะปะทุ ยิ่งก่อตัวอยู่นาน ๆ ความหนาแน่นของคลื่นลูกนั้นก็ย่อมหนาแน่นมากขึ้นตามกาลเวลา และจะปะทุขึ้นเองด้วยความกดดันของความแน่นหนาอัดดันของคลื่นลูกนั้น หลังจากเรื่องกบฏวังหลวงเรียบร้อยลงแล้ว ฝ่ายรัฐบาลก็เพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น และเร่งรัดปรับปรุงกำลังและความพร้อมเพรียงของหน่วยระวังป้องกันทุกหน่วย ฝ่ายตำรวจโดยการนำของท่านอธิบดีเผ่า ศรียานนท์ ก็เพิ่มงบการบำรุงกำลังตำรวจให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
ตำรวจสมัยนั้นมีกำลังตำรวจตระเวนชายแดนเกิดขึ้นหลายกอง กองตำรวจตระเวนชายแดนนี้มีวัตถุประสงค์อันเป็นหลักใหญ่อยู่ที่เพื่อให้มีกำลังรบของประเทศอยู่ตามแนวชายแดนแทนกำลังทหาร ซึ่งตามข้อตกลงระหว่างประเทศว่าจะมีกำลังทหารอยู่ใกล้ชิดกับชายแดนของประเทศเพื่อนบ้านในระยะรัศมีไม่กี่กิโลเมตรไม่ได้ ระยะรัศมีที่ว่านี้มีระยะเท่าไร ผมจำไม่ได้ เอาเป็นว่าประมาณไม่เกินยี่สิบกิโลเมตรก็แล้วกัน ถ้าอยากได้ตัวเลขที่แน่นอน โปรดไปถามเอาที่กระทรวงการต่างประเทศ ที่นั่นเขารู้ดี ตำรวจตระเวนชายแดนนี้ก็ได้ก่อตั้งขึ้นด้วยเหตุผลอันนี้ เพราะชายแดนของไทยนั้นมีระยะยาวมากจากเหนือจรดใต้ และตะวันออกจรดตะวันตก ถ้าเราจะปล่อยทิ้งไว้ให้เป็นเขตปลอดทหารก็ย่อมไม่เป็นที่ไว้วางใจได้เป็นแน่ รัฐบาลให้งบป้องกันประเทศงบนี้มาอย่างเต็มใจในความคิดที่ถูกต้องของกรมตำรวจ
ตำรวจตระเวนชายแดนจึงเกิดขึ้นและเติบโตจนเป็นกองบัญชาการถึงบัดนี้ เมื่อมีหน่วยกำลังก็ต้องมีอาวุธใส่มือให้ อาวุธของหน่วยตำรวจตระเวนชายแดนนี้เป็นอาวุธที่ทันสมัยและมีอำนาจร้ายแรงกว่าอาวุธของหน่วยอื่น เพราะจะต้องใช้อย่างมีประสิทธิภาพ
อเมริกันสมัยนั้นกำลังหวั่นไหวต่อเหตุการณ์ทางภาคพื้นนี้อยู่ ก็ยินดีที่จะทุ่มเทอาวุธยุทธภัณฑ์ให้อย่างไม่หวง ฉะนั้น กำลังคนและอาวุธของตำรวจหน่วยนี้จึงมีมาก ทั้งในด้านคุณภาพและปริมาณ ไม่เฉพาะแต่อาวุธ กำลังพลก็มีประสิทธิภาพเหนือหน่วยอื่น ๆ แม้แต่หน่วยทหารบางหน่วยเสียอีก กำลังในสังกัดของกรมตำรวจสมัยนั้น มีกำลังหน่วยพลร่มที่ได้รับการฝึกหัดจากหน่วยช่วยเหลือของอเมริกันหลายหน่วย
อเมริกันเข้ามาตั้งหน่วยให้ความช่วยเหลืออยู่ใจกลางกรุงเทพ ฯ แต่เข้ามาในรูปบริษัทการค้า ทั้งยุทธปัจจัยและบำรุงกำลัง บริษัทนั้นตั้งชื่อว่า บริษัท ซีสัปพลาย เขียนเป็นภาษาฝรั่งว่า SEA Supply คำว่า SEA นั้นย่อมาจาก South East Asia หรือ เอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ
วัตถุประสงค์หลักขององค์การนี้ก็เพื่อช่วยเหลือพันธมิตรด้านเอเชียอาคเนย์ แต่วัตถุประสงค์พลอยได้นอกระบบนั้นย่อมต้องมี เพื่อที่จะรักษาผลประโยชน์ของอเมริกันในภูมิภาคนี้ อเมริกันให้ความช่วยเหลือทั้งทางทหารและตำรวจ ทางด้านทหารนั้นมีชื่ออีกต่างหากว่า หน่วยจัสแมค (JUSMAG) ย่อมาจากคำเต็มว่า Joint U.S. Military Adviser Group เป็นที่ปรึกษาทางการทหารไป ประเทศไทยได้มีหน่วยพลร่มทางทหารในสมัยนั้น
หน่วยทหารพลร่มนี้เป็นหน่วยพลรบพิเศษ ทำการรบได้ในทุกสภาพและพื้นที่ซึ่งเป็นหน่วยรบที่ทันสมัย
ในสมัยสงคราม โลกครั้งที่สอง อเมริกันได้ใช้ทหารหน่วยนี้เข้าจู่โจมกรุงเบอร์ลินที่เยอรมันยึดเอาเป็นที่มั่นสุดท้ายอย่างเหนียวแน่นไว้ได้ เป็นการเผด็จศึกขั้นสุดท้ายจนเยอรมันต้องยอมแพ้ กำลังทหารหน่วยนี้มีความสำคัญมากกว่ากำลังทหารหน่วยอื่น เพราะนอกจากจะใช้ในการจู่โจมได้ผลแล้ว ยังมีอำนาจในการยึดพื้นที่ได้อีกด้วย แต่จะมีความสำคัญมากมายอย่างไรก็ตาม ก็ยังต้องพึ่งกำลังทหารราบอยู่ดี เพราะถ้าไม่ได้กำลังทหารราบบนพื้นดินช่วยเครียร์พื้นที่ภาคพื้นดินให้ขณะที่ลอยตัวลงมาจากอากาศแล้ว ก็จะยุ่งเหมือนกัน เพราะกว่าจะร่อนลงมาเหยียบพื้นดินได้นั้น ถ้าถูกสอยลงมาเสียก่อนก็ไม่ได้ใช้เท้าแตะพื้นดินแน่ ยังไง ยังไง ความสำคัญของทหารราบย่อมต้องเป็นหนึ่งอยู่เสมอในการรบ ตำรวจสมัยอธิบดีเผ่า ฯ มีทั้งกำลังหน่วยตำรวจร่มและหน่วยตำรวจรถเกราะ อเมริกันส่งกำลังบำรุงด้านนี้มาให้อย่างไม่อั้น นอกเหนือจากงบประมาณที่ได้รับจากรัฐบาล ตำรวจตระเวนชายแดนนั้นก็มีรถเกราะทั้งเล็กและใหญ่ ไปประจำอยู่ด้วยทั่วทุกภาค เรียกกันว่าเป็นกองทัพตำรวจได้ทีเดียว นอกจากจะต้องมีหน้าที่ปราบปรามอาชญากรรม ทั้งในกรุงเทพ ฯ และต่างจังหวัดเป็นหน้าที่หลักแล้ว กรมตำรวจสมัยนั้นยังต้องมีหน้าที่ระวังป้องกันศัตรูทางชายแดนที่กำลังฝ่ายทหารเข้าไปไม่ได้อีกด้วย มีกำลังพลเป็นหมื่นเป็นแสนทั่วประเทศ เรียกว่ากองทัพตำรวจได้เต็มปาก ผมเขียนถึงความเป็นมาของกำลังฝ่ายตำรวจให้ทราบก็เพื่อจะให้ท่านผู้อ่านได้มีความเข้าใจก่อนที่จะอ่านต่อไป เพราะผมจะต้องใช้อาวุธและหน่วยรถเกราะออกทำงานในการปราบปรามกบฏแมนฮัตตันครั้งนั้น เดี๋ยวจะไม่เข้าใจว่า อยู่ ๆ ไปเอารถเกราะมาจากไหน ตอนกบฏวังหลวงยังไม่เห็นมี เอาละ เริ่มเข้าเหตุการณ์กันได้เสียทีครับ วันเกิดเรื่อง ผมกำลังเล่นกอล์ฟอยู่ที่สโมสรกอล์ฟดุสิตกับพรรคพวกหลายคน ผมไปเล่นกอล์ฟที่นั่นเป็นประจำยามว่างงาน ห่างเหินสโมสรสหมิตรไปเลย
ไอ้เกมกอล์ฟนี่ใครเล่นเป็นแล้วมักจะติดมัน ถึงเวลาแล้วไม่ได้เล่นมันจะลงแดงเอาจริง ๆ ครับ ไม่เชื่อลองไปถามบรรดานักกอล์ฟดู จะได้คำตอบตรงกัน ยิ่งสมัยนี้เขาเล่นกันเป็นการพนันได้เสียกันรอบละเป็นหมื่น ๆ บาทด้วยแล้ว ลูกติดพันมันยิ่งมีมากขึ้น สมัยผมเล่นนั้น รอบละร้อยสองร้อยก็แพงแล้ว ผมกำลังอยู่ในลูกติดพัน และวันนั้นผมก็ตีดีเป็นพิเศษ หลุมที่ ๑ ตีเข้ามาได้พาร์ หลุมที่ ๒ สมัยนั้นเป็นหลุมสั้นข้ามน้ำ หลุมที่ ๓ ผมทำเบอร์ดี้ ขึ้นทีออฟหลุมที่ ๓ ผมไดรฟ์มาไกล ขึ้นกรีนด้วยไม้เหล็กอย่างสวยงาม ขึ้นมายิงเบอร์ดี้ระยะไม่ถึงคันธง เป็นวันที่ผมเองก็แปลกใจตัวเองว่า ทำไมวันนี้มันถึงได้ฟิตนัก ผมกำลังเดินขึ้นบนกรีน ดึงไม้พัดออกจากถุง ไอ้ช่วย คนรถของผม วิ่งหน้าตาตื่นข้ามสะพานข้ามคูมาที่กรีน ผมกำลังตั้งท่าจะพัดลูกอยู่พอดี ผมไม่ได้เงยหน้าดูมัน รอว่าพัดเสร็จถึงจะฟังมันพูด สารวัตรครับ มันขึ้นมาอยู่ข้าง ๆ ผมแล้ว พูดเสียงตื่นเต้น จอมพล ป. ถูกจับแล้วครับ ผมเงยหน้าขึ้นมองดูมัน ท่านจอมพล ป. ถูกทหารเรือจับไปแล้วครับ มันย้ำเสียงตื่น ๆ อีก ผมก้มลงพัดลูกต่อ มันลงเบอร์ดี้ไปอย่างสวยงาม ผมส่งพัตเตอร์ให้เด็กแคดดี้ หันไปพูดกับพรรคพวกร่วมก๊วน ฝากไว้ก่อนนะ วันหลังค่อยมาต่อ ต่อเต่ออะไร เสียงดังออกมาพร้อม ๆ กันหลายปาก เล่นไม่จบ จะมาคิดได้ยังไง ผมไม่หยุดเถียงกับพวกนั้น เวรจริง ๆ พอจะตีดี รับทรัพย์สักวันก็มามีเรื่องจนได้ ผมออกจากสโมสรด่วนจี๋ กลับไปบ้านก่อน เพราะจะต้องไปแต่งเครื่องแบบ วันนั้นผมก็ไม่ได้เอาเครื่องแบบใส่รถมาด้วยเสียอีก บ้านพักของผมตอนนั้นอยู่ในบริเวณกองปราบสามยอด บึ่งรถไปเดี๋ยวเดียวผมก็กลับมาถึงวังปารุสกวัน อันเป็นที่ทำงานของเจ้านายได้ทันการ รถผมมาถึงหน้าวังปารุส ฯ ก็เห็นเจ้านายยืนหน้าไม่ดีอยู่ตรงหน้าประตูทางเข้าแล้ว ผมยัดแขนเข้าไปในเสื้อเครื่องแบบพลางเดินก้าวยาว ๆ เข้าไปหา ก็พอดีรถคันหนึ่งปาดหน้าผมไปจอดตรงหน้านาย อรรณพซึ่งเป็นสารวัตรอยู่โรงพักบางรัก โดดลงจากรถแต่งเครื่องแบบครบ วิ่งเข้าไปหาเจ้านาย ยกมือตะเบ๊ะจะรายงาน มือขวาของเจ้านายสลัดพั้วะ เข้าที่หน้าอรรณพ เจ้าตัวเซไป ไอ้บ้า มาทำไม กลับไปรักษาโรงพักของมึงไว้ให้ดี พ่ออรรณพเลยไม่ทันได้รายงาน ยืนเซ่ออยู่ตรงนั้น มาดี ๆ แท้ ๆ ไปซี เสียงคำรามดังลั่นมาอีก นัยน์ตาถลน ผมหยุดชะงักอยู่กับที่ ยืนแต่งตัวให้เรียบร้อยอยู่ห่าง ๆ พ่ออรรณพหันกลับขึ้นรถ เลี้ยวรถออกไปจากที่นั่น คงกลับไปโรงพัก ผมเฮงไป ถ้าเข้าไปถึงก่อนก็คงจะโดนลูกตบลูกนั้น เฮ้ย เป็นยังไงมั่งวะ ท่านตะโกนถามมาที่ผมซึ่งยังยืนอยู่ห่าง ๆ ทางกองมึงเตรียมกำลังพร้อมหรือยัง ผมก้าวเข้าไปใกล้อีกหน่อย แต่ให้พ้นระยะมือ พร้อมครับ ผมมารับคำสั่งปฏิบัติ ผมบอก ไม่เข้าใกล้ เออ ดี มึงอยู่กับกู ไม่ต้องไปไหน ไอ้อ้วน กูให้ไปยึดโรงไฟฟ้าคืนแล้ว ท่านพูด เสียงดีขึ้น ไอ้อ้วน ก็คือ ร.ต.อ. พันศักดิ์ วิเศษภักดี เพื่อนร่วมรุ่นผมคนนั้น ผมมารู้ที่นั่นว่า ทางทหารเรือได้ส่งกำลังไปยึดโรงไฟฟ้าที่วัดเลียบไว้ เป็นกำลังอีกส่วนหนึ่งที่เป็นของใครก็ยังไม่รู้ ทหารเรือที่เข้ามาทำงานครั้งนั้นคงจะเป็นกำลังนาวิกโยธินทางฝั่งธนบุรี เพราะทางฝั่งธนบุรีนั้นมีกำลังนาวิกโยธินอยู่สองกองพัน คือกองพันนาวิกโยธินที่ ๓ และที่ ๔ อยู่แถว ๆ บางยี่เรือ และที่โรงพักบางยี่เรือก็ถูกทหารเรือเข้ายึดไว้แล้ว ไม่ต้องสงสัยว่าสถานีตำรวจทางด้านฝั่งธน ฯ อีกหลายสถานีต้องถูกยึดด้วย นายทหารเรือที่เข้าจับจอมพล ป. นั้น มียศ นาวาตรี เขาชื่อ มนัส จารุภา
Create Date : 09 พฤษภาคม 2553 |
|
3 comments |
Last Update : 11 พฤษภาคม 2553 2:14:33 น. |
Counter : 1134 Pageviews. |
|
|
|
แต่ต้องขอพักก่อน..ไม่ไหวแล้ว....
จะติดตามอ่านต่อไป.....ขอบคุณมาก..