สู่ลาว ... ตอนที่ 35 (จบภาค)
สู่ลาว ... ราชอาณาจักรแห่งความไม่แน่นอน โดย พ.ต.อ. พุฒ บูรณสมภพ
ประพันธ์ เมื่อปี พ.ศ. 2527
เหตุการณ์เกิดระหว่างปี พ.ศ. 2507 2512
ตอนที่ 35 (จบภาค)
คุณสุนั้น ผมยังให้อยู่เวียงจัน เพราะยังมีเรื่องที่จะต้องจัดการเรื่องบ้าน และขายข้าวของที่ขนเอามาด้วยไม่ได้อีกหลายรายการ
คุณสุเขามีเพื่อนเยอะ ไม่เหงา แม้จะไม่มีผมอยู่ด้วยอย่างเคย และอีกประการหนึ่ง ก็ยังมีภาระอื่น ๆ อีกหลายอย่าง เข่น เรื่องการจัดการคืนบ้านเช่าและรับเงินอะไรต่ออะไรคืน ขายข้าวของเครื่องเรือนเครื่องใช้ไม้สอยที่ยังหลงเหลือ เอากลับไปไม่ได้อีกหลายรายการ
เรื่องพวกนี้จะต้องจัดการให้เรียบร้อยก่อนที่จะจากลาวไปอย่างไม่คิดจะกลับไปอีก
ผมไม่ยอมเสียเวลาที่จะจัดการเรื่องจุกจิกนี้ ก็ต้องมอบหมายให้ผู้ที่ผมไว้วางใจที่สุดเป็นผู้ช่วยรับภาระอันนี้ไป เมื่อจัดการเรียบร้อยแล้วก็ให้รวบรวมเงินชำระสะสางอะไรให้เสร็จแล้ว ถึงค่อยตามกลับไปทีหลัง
พูดจากันเป็นที่เข้าใจแล้ว ผมก็เตรียมตัวกลับเมืองไทยด้วยความไม่มีกังวล
ผมไม่ได้ล่ำลาเพื่อนพ้องทั้งชาวลาวและไทยในเวียงจันก่อนที่จะออกเดินทาง ไม่อยากให้มันเอิกเกริก เพราะถ้าผมบอกให้พวกเขารู้ แน่นอน จะต้องมีการเลี้ยงลากันยืดเยื้อ
ผมหนีหนังสือพิมพ์ด้วย เพราะไม่ต้องการเป็นข่าว ทางเมืองไทยเขาก็ไม่อยากให้ผมเป็นข่าวหนังสือพิมพ์ ขนาดผมไม่ได้กำหนดวันกลับให้ใครรู้ นอกจากผู้ใกล้ชิดจริง ๆ และทางตำรวจสันติบาลเท่านั้น หนังสือพิมพ์ก็ยังดอดไปรู้มาจนได้ เขาติดตามข่าวได้ใกล้ชิดมาก เพียงแต่ว่า เขาเดาไม่ออกเท่านั้นว่า ผมจะเข้าเมืองไทยทางไหน
ผมขึ้นรถไฟที่อุดร ไม่พบคนรู้จักกันบนรถไฟถึงกรุงเทพ ฯ ผมไปลงที่สถานีสามเสน ที่นั่น ผมนัดทางบ้านให้เขามารับ แทนที่จะไปลงหัวลำโพง บ้านแม่ยายผมอยู่ถนนพิชัย
พอลงที่สามเสน ผมก็เข้าบ้านแม่ยายเงียบเชียบ แล้วผมก็นัดหมายกับทางตำรวจสันติบาลโดยผ่านทางร้อยตำรวจเอก ถวิล ผู้ควบคุมตัวผมมาว่า ผมจะไปรายงานตัวที่สันติบาลในคืนวันนั้น เวลาสองทุ่มตรง
ผมเตรียมนายประกันของผมไปด้วย เรื่องทั้งหมดนี้ เพื่อนของผมคนหนึ่งที่สนิทชิดชอบกับท่านอธิบดีประเสริฐ ฯ เป็นคนวิ่งเต้นโดยตลอด เขาชื่อ สุสิทธิ์ สหชัยเสรี ไอ้เพื่อนคนนี้ คบกันมาตั้งแต่ผมยังเป็นร้อยตำรวจตรี เที่ยวเตร่มาด้วยกันตั้งแต่สมัยนั้น เพื่อนฝูงเรียกกันว่า เป็งจือ
ผมได้รับอนุญาตให้ประกันตัวในคืนนั้นเอง เพราะฝีมือของไอ้เพื่อนคนนี้ แล้วเขาก็พาผมไปเลี้ยงรับขวัญที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งบนถนนสุขุมวิท ผมตื่นตาตื่นใจกับแสงสีของกรุงเทพ ฯ เมื่อเหยียบย่างเข้ามาใหม่ ๆ
อะไร ๆ มันเปลี่ยนแปลงไปหมด รถราวิ่งกันขวักไขว่น่าเวียนหัว สภาพของกรุงเทพ ฯ เปลี่ยนแปลงไปอย่างคาดไม่ถึง สิบสองปีที่ผมจากไป จำหน้าตาแทบไม่ได้ ถ้าผมหลงเข้ามาคนเดียว คงไปไหนไม่ถูก
ตอนที่ผมข้ามมาเหยียบฝั่งไทยที่อำเภอศรีเชียงใหม่นั้น ผมแทบจะก้มลงจูบแผ่นดินไทยอยู่แล้ว
ผมเอามือลูบคลำผืนแผ่นดินตรงตลิ่งที่เท้าของผมก้าวขึ้นมาเหยียบเป็นครั้งแรกนั้นอย่างทะนุถนอม น้ำตาผมไหล
ผมคู้เข่าที่ตรงนั้น นิ่งนาน
ผมจะไม่จากแผ่นดินแม่นี้ไปไหนอีก ผมรำพึง ก่อนที่จะก้าวเท้าไต่ตลิ่งขึ้นไปสูดอากาศอันสดชื่น เต็มไปด้วยอิสรภาพบนฝั่งประเทศไทย
ผมจะไม่จากไปไหนอีก ไม่ว่าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร
ไม่มีแผ่นดินส่วนไหนอีกแล้วในโลกนี้ ที่จะให้ความอบอุ่นเท่าแผ่นดินไทย
ผมจะตั้งต้นชีวิตใหม่บนผืนแผ่นดินนี้ จะต่อสู้กับชีวิตต่อไป ไม่ว่ามันจะเรียงหน้ากันเข้ามาแบบไหน
คนที่หยุดต่อสู้คือคนที่ไม่มีชีวิตแล้วเท่านั้น
ผมขอขอบคุณท่านผู้อ่านที่ได้ติดตามเรื่องราวของผมมาโดยตลอด ขอบพระคุณในความเอื้ออารีของท่านที่ได้กรุณาสละเวลาอันมีค่าของท่านมาให้กำลังผม ในการเขียนหนังสือต่อไป น้ำใจของท่านสร้างความอบอุ่นให้กับผมอย่างประเมินมิได้ ผมขอขอบพระคุณ ผมจะรับใช้ท่านต่อไปจนกว่าจะหมดกำลัง
ผมต้องจบข้อเขียนของผมเพียงเท่านี้ หลาย ๆ ท่านยังไม่อยากให้ผมจบเรื่อง ผมต้องขออภัย เรื่องทุกเรื่องจะต้องมีจุดจบของมัน ยังอยู่แต่ชีวิตของเราเท่านั้นที่มันยังไม่จบ มันยังจะต้องดิ้นรนหาเรื่องของมันต่อไป
เราตงจะได้พบกันอีก เมื่อชีวิตของผมมันดิ้นรนไปจนเจอเรื่องเข้าอีก แล้วเราก็คงจะได้พบกัน
ก่อนที่จะปิดฉาก ผมก็ต้องขอขอบคุณเป็นการส่วนตัว โดยเฉพาะกับ คุณเฉลิมศักดิ์ รงคผลิน คุณแถมสิน (ลัดดา) รัตนพันธุ์ ที่ได้ให้ความสนับสนุนผมให้คอลัมน์อันมีค่าของคุณทั้งสอง และขอบคุณต่อคอลัมนิสต์อีกหลาย ๆ ท่าน เช่น พญาไม้ บารอน ผู้ (ชอบ) ชอนไช และอีกหลาย ๆ ท่านที่นึกชื่อไม่ออก ซึ่งก็ต้องขออภัย รวมทั้งคุณมานิต ศรีสาคร ผู้เปิดหน้าเดลิเมล์วันจันทร์ ให้ พันเอก ชาติ นิยมไทย ได้ถือกำเนิดขึ้นในระหว่างเวลาที่ผมยังใช้ชีวิตอยู่ในลาว บุคคลสุดท้ายที่ผมขอขอบคุณก็คือ คุณอิงอร ผู้ใช้โทรศัพท์มาคุยให้กำลังใจผมอย่างสม่ำเสมอตลอดมา
ผมจะไม่มีวันลืมคุณ ๆ ทุกคน
สวัสดีครับ พ.ต.อ. พุฒ บูรณสมภพ
หมายเหตุ จากทายาทผู้เขียน หลังจากที่คุณพ่อกลับประเทศไทยแล้ว ท่านได้เขียนบทความต่าง ๆ ลงในหนังสือพิมพ์หลายฉบับ เช่น สยามรัฐ (คอลัมพ์ ปกป้องชาวบ้าน) ตามที่คุณนพพร บุณยฤทธิ์ บรรณาธิการสมัยนั้น ไปเชิญให้เขียนประจำ จนกระทั่งถูก ท่านเจ้าของหนังสือพิมพ์ขณะนั้น ห้ามไม่ให้เขียนต่อ เนื่องจากมีการไม่ชอบใจส่วนตัวระหว่างทั้งสองท่าน) และนวนิืยายลง แนวหน้า ก็ถูกท่านเจ้าของหนังสือพิมพ์คนใหม่ ห้ามไม่ให้เขียนนวนิยายลงอีก ทั้ง ๆ ที่กำลังมีแฟนติดมาก จึงไม่จบในแนวหน้า แต่ไปต่อในหนังสือพืมพ์ บางกอก และต่อมา คุณพ่อได้เขียนนวนิยายลงใน นิตยสารฟ้าเมืองไทย และอื่น ๆ สุดท้ายคือ 'ต่วยตูน ซึ่งบทประพันธ์ช่วงนั้น ได้นำมาลงใน BlogGang ให้ชาวพันทิพได้อ่าน (ท่านที่ยังไม่ได้อ่าน กรุณาย้อนหลัง และเลือกอ่านได้ค่ะ) ขอขอบคุณ คณะ 'ต่วนตูน ที่ได้กรุณาแบ่งปันงานเขียนของคุณพ่อมาให้บางเรื่อง ยังมีอีกหลายเรื่องที่ยังตามไม่พบ เนื่องจากสูญหายไปในช่วงที่ครอบครัวเราอพยพไปอยู่ที่สวิสเซอร์แลนด์ เช่น นักสืบพราน ซึ่งลงในนิตยสาร อาชญากรรม ของกรมตำรวจ สมัยก่อนปฏิวัติปี พ.ศ. 2500 ช่วงนั้น เรื่อง นักสืบพราน ดังมาก มีแฟนติดตามอ่านการสืบสวนของ นักสืบ พราน เจนเชิง ผู้มีเลขานุการคู่คิดชื่อ กัลยา ชาญวืทยา 2-3 ตอนของเรื่องนี้ กรมตำรวจ ได้สร้างเป๋นภาพยนต์ และมีคำสั่งให้คุณพ่อเป็นพระเอก โดยไม่ได้ค่าแสดง เนื่องจากเป็นการแสดงตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา เป็นที่น่าเสียดายที่ต้นฉบับไม่ได้อยู่ที่บ้าน เข้าใจว่าจะอยู่ที่กรมตำรวจทั้งหมด และคงจะถูกทำลายไปแล้ว หากชาวพันทิพท่านใดพอจะมีอยู่ในมือ อยากให้นำมาแบ่งปันกันอ่านบ้าง จะเป็นพระคุณยิ่ง เคยเห็นใน เว็บหนังสือเก่า แต่ถูกประมูลซื้อไปแล้ว และพยายามติดต่อผู้ประมูล ก็ไม่ได้รับการติดต่อกลับประการใด หากชาวพันทิพท่านใดทราบ กรุณาติดต่อให้ทราบกันบ้างทาง Blog นี้ จะเป็นการช่วยให้บทประพันธ์อันทรงคุณค่า (อย่างน้อย ทางด้านจิตใจของทายาท) ได้ดำรงค์อยู่ในวงการประพันธ์ของไทยต่อไป ขอบคุณมากค่ะ
Create Date : 23 ตุลาคม 2554 |
|
4 comments |
Last Update : 10 พฤศจิกายน 2554 22:28:57 น. |
Counter : 1836 Pageviews. |
|
|
|