วารีบำบัด ... บล็อกที่ 54
วารีบำบัด
วารีบำบัด เป็นศาสตร์แขนงหนึ่งของระบบการรักษาโรคต่างๆ ด้วยน้ำ เช่น อาการปวดศีรษะ ท้องผูก โรคความดันโลหิตสูง เป็นต้น ทั้งนี้วิธีการบำบัดโรคแต่ละโรค อาจใช้น้ำช่วยบำบัดทั้งวิธีใช้ภายนอกและวิธีใช้ภายใน หรือทั้งสองวิธีร่วมกัน
เหตุผลที่สามารถนำน้ำมาใช้รักษาโรค เพราะน้ำเป็นตัวทำละลายที่ดี สสารส่วนใหญ่สามารถละลายในน้ำได้ดีพอสมควร น้ำมีคุณสมบัติในการช่วยดูดซึมและส่งผ่านความร้อน รวมทั้งเราสามารถเปลี่ยนแปลงสถานะของน้ำได้รวดเร็ว สะดวกง่ายไม่ยุ่งยาก และราคาประหยัด ไม่ว่าจะทำให้เย็น จะทำให้อุ่น จะทำให้ร้อน หรือจะทำให้เป็นไอ และน้ำสามารถสร้างบรรจุภัณฑ์ได้ง่าย ทำให้พกพาได้ง่าย และใช้งานได้ง่าย
น้ำบำบัดรักษาโรคได้อย่างไร?
โดยการดื่ม
โดยการอาบหรือแช่ อาจเปลี่ยนอุณหภูมิของน้ำเป็นน้ำร้อน น้ำเย็น อาจเติมสสารบางอย่างลงไปในน้ำ เช่น แช่น้ำเกลือ แช่น้ำกำมะถัน
โดยการอบไอน้ำ
โดยการประคบ นำน้ำที่อุณหภูมิเหมาะสมกับอาการหรือโรค มาบรรจุถุงแล้ววางประคบตามจุดต่างๆ ของร่างกาย
โดยการฉีดหรือพ่นภายนอก ใช้สายน้ำที่มีการควบคุมอุณหภูมิและแรงดัน ฉีดหรือพ่นไปยังผิวหนัง
โดยการฉีดหรือกรอกเข้าไปภายใน อาจผสมกับยาหรือสารทำความสะอาด เช่น ฉีดเข้าทางช่องคลอด ฉีดเข้าทางช่องทวารหนัก
น้ำดื่ม
ควรดื่มน้ำสะอาดจากแหล่งน้ำธรรมชาติ ทั้งนี้ไม่ได้หมายถึงน้ำเย็นที่ได้จากการแช่ในตู้เย็นหรือเติมน้ำแข็ง น้ำดื่มมีประโยชน์ต่อร่างกาย เพราะ
1. ช่วยลดอุณหภูมิของร่างกาย
2. ช่วยเจือจางเลือดให้มีความเข้มข้นที่เหมาะสม
3. ช่วยขับสารพิษออกทางผิวหนังในรูปการระเหย
4. ช่วยกระตุ้นการทำงานของไตให้ทำงานตามปกติ และช่วยเพิ่มอัตราการขจัดสารพิษออกจากร่างกายทางปัสสาวะ
5. ช่วยเพิ่มการเคลื่อนไหวของลำไส้เล็ก ช่วยให้เศษอาหารไม่จับกันเป็นก้อนและอ่อนนุ่มพอที่จะถูกขับผ่านออกทางอุจจาระ
การจิบน้ำร้อน
การจิบน้ำร้อนก็มีประโยชน์ เพราะทันทีที่เราจิบน้ำร้อน ผนังของกระเพาะอาหารส่วนใน จะถูกกระตุ้น ทำให้เส้นเลือดบีบตัว ทำให้ผนังของกระเพาะมีเลือดไหลเวียนน้อยลง ทำให้ลดการทำงานของต่อมที่หลั่งกรดในกระเพาะ จึงช่วยลดอาการระคายเคืองอันเกิดจากการมีกรดในกระเพาะมากเกินไป
นอกจากนั้นน้ำร้อนยังช่วยล้างกระเพาะอาหาร บรรเทาอาการจุกเสียด เรอ ท้องอืด อาหารไม่ย่อยเฉียบพลัน อาเจียน และการเกิดตะคริวในช่องท้อง แต่ต้องระวัง การดื่มน้ำร้อนจะไม่เหมาะสมกับผู้ที่เป็นแผลในกระเพาะอาหาร และการดื่มน้ำร้อนที่ถูกต้อง จะต้องใช้วิธีจิบแทนการกลืนน้ำร้อน
เมื่อไรที่ควรดื่มน้ำมากกว่าปกติ
1. เมื่อเป็นไข้ ควรดื่มน้ำอย่างน้อย 1 แก้วทุกชั่วโมง เพื่อชดเชยปริมาณน้ำที่สูญเสียไปจากการระเหยออกทางผิวหนัง การที่น้ำระเหยออกไปจะช่วยลดความร้อนจากอาการไข้ได้ ทำให้ร่างกายเย็นลง นอกจากนั้นยังช่วยลดอัตราการเปลี่ยนแปลงสารอาหารเป็นพลังงานและโปรตีนในร่างกาย ลดการสร้างความร้อน และเพิ่มอัตราการกำจัดของเสียออกจากร่างกาย
2. เมื่อติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ การดื่มน้ำมากๆ ระหว่างที่มีการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะจะช่วยเพิ่มการผลิตปัสสาวะ และล้างเอาเชื้อโรคออกไปได้เร็วขึ้น
3. เมื่อมีอาการบวมของข้อต่อ กล้ามเนื้อ ผิวบริเวณข้อต่อ ผู้ที่มีอาการบวมของข้อต่อ กล้ามเนื้อ ผิวบริเวณข้อต่อ จะรู้สึกปวดเคลื่อนไหวไม่สะดวก ควรดื่มน้ำมากๆ เพราะน้ำจะช่วยเจือจางเลือดและลดระดับของกรดยูริกที่ปะปนอยู่ในเลือดให้ถูกขับออกไปทางปัสสาวะ
ประโยชน์ของน้ำเย็น
เราสามารถนำน้ำเย็นหรือน้ำแข็งมาใช้กับผิวหนังได้โดยตรง เช่น นำมาเช็ดหรือประคบ การนำน้ำเย็นมาใช้กับผิวหนังจะช่วยสร้างความสดชื่น และกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด โดยจะแบ่งผลที่ได้รับออกเป็น 2 ช่วงคือ
ช่วงที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงชั่วคราวในบริเวณที่ใช้น้ำเย็นหรือน้ำแข็ง ซึ่งผลนี้จะเกิดขึ้นทันทีที่ผิวหนังได้รับความเย็น
หลังจากเสร็จสิ้นการใช้น้ำเย็นหรือน้ำแข็งแล้ว ผลที่เกิดขึ้นจะยังคงอยู่ในระยะยาว
1. ทำให้เส้นเลือดใต้ผิวหนังหดตัว
2. ทำให้ผิวหนังแดง
3. ทำให้รู้สึกอบอุ่นขึ้น
4. ลดอัตราการเผาผลาญ
5. ลดจังหวะการเต้นของชีพจร
6. ลดความดันโลหิต
ประโยชน์ของน้ำร้อน
น้ำร้อน สามารถนำมาใช้ได้ทั้งในรูปของการอาบ การเช็ด และการประคบร่างกาย น้ำร้อนและไอร้อนจะช่วยทำให้ร่างกายผ่อนคลาย ลดอาการปวดตะคริว และลดอาการเกร็งของกล้ามเนื้อ เพราะความร้อนจะส่งผลต่อเส้นประสาทรับสัมผัสและเส้นประสาทสั่งงาน โดยเส้นประสาทรับสัมผัสจะทำหน้าที่แจ้งการกระตุ้นจากภายนอกร่างกายไปสู่สมอง เส้นประสาทสั่งงานจะนำคำสั่งจากสมองหรือเส้นประสาทไขสันหลังไปยังกล้ามเนื้อ หรือเนื้อเยื่อต่างๆ ของร่างกาย
น้ำร้อน ช่วยทำให้อุณหภูมิภายในร่างกายสูงขึ้น เพิ่มอัตราการเปลี่ยนแปลงสารอาหารไปเป็นพลังงานและโปรตีน เพิ่มการดูดซึมออกซิเจน เพิ่มปริมาณเลือดและอัตราการเต้นของชีพจร
อนึ่ง คนจำนวนไม่น้อยเชื่อว่าการดื่มน้ำร้อนจะช่วยลดน้ำหนัก ในความจริงแล้วเป็นความเข้าใจผิด การดื่มน้ำร้อนไม่มีส่วนช่วยในการเผาผลาญแคลอรีแต่อย่างใด เราสามารถลดน้ำหนักได้โดยการกินอาหารที่มีแคลอรีน้อยกว่าที่ร่างกายต้องการ หรือใช้การออกกำลังกายเพื่อเผาผลาญแคลอรีส่วนเกิน
การแช่น้ำร้อน
ควรแช่ตัวในน้ำร้อนที่มีอุณหภูมิ 40-45 องศาเซลเซียส เป็นเวลาไม่เกิน 20 นาที แต่ควรจะค่อยๆให้ร่างกายปรับตัวกับอุณหภูมิ เพราะในร่างกายคนเรามีอุณหภูมิประมาณ 37 องศาเซลเซียสเท่านั้น อุณหภูมิของน้ำที่สูงกว่า 45 องศาเซลเซียส จะไม่มีผลต่อการรักษาโรคและอาจเป็นอันตราย การแช่ตัวในน้ำร้อนจะช่วยสร้างความกระชุ่มกระชวย เหมาะกับการบำบัดอาการปวด เช่น ปวดท้อง ปวดกล้ามเนื้อและข้อต่อ อย่างไรก็ตามการแช่น้ำร้อนอาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนังของบางคน และเกิดความเหนื่อยล้าได้ ผู้ที่มีปัญหาการนอนไม่หลับ ฟุ้งซ่าน และกระวนกระวาย อาจใช้วิธีแช่น้ำร้อน ช่วยทำให้นอนหลับง่าย และรู้สึกผ่อนคลาย.
สวัสดีค่ะ
จาก พรไม้หอม
หากท่านใดประสงค์จะโหวตให้บล็อกนี้ ขอความกรุณาโหวตในสาขาสุขภาพ ขอบคุณค่ะ
Create Date : 14 พฤศจิกายน 2555 |
Last Update : 14 พฤศจิกายน 2555 15:32:37 น. |
|
32 comments
|
Counter : 3855 Pageviews. |
|
|
|
พรุ่งนี้จะมาโหวตค่ะ