โรคกรดไหลย้อน โรคยอดฮิตของสาวออฟฟิศ ... บล็อกที่ 30

โรคกรดไหลย้อน โรคยอดฮิตของสาวออฟฟิศ
เขียนโดย ผศ.นพ.สมชาย ลีลากุศลวงศ์ อายุรแพทย์ด้านระบบทางเดินอาหาร ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
ญาดา เป็นหญิงสาววัยทำงาน ที่มีหน้าที่และความรับผิดชอบสูง ชีวิตของเธอแต่ละวันมักทุ่มเทเวลาให้กับงานเป็นส่วนใหญ่ จนบ่อยครั้งถึงกับลืมเรื่องอาหารการกินไปเลยทีเดียว มาในระยะหลังเธอมักบ่นว่า หมู่นี้ดาเป็นอะไรก็ไม่รู้ รู้สึกเรอเปรี้ยว ปวดแสบร้อนบริเวณหน้าอกและลิ้นปี่ ลามมาถึงคอ ฉันได้ยินก็อดห่วงไม่ได้ กลัวว่าจะเป็นอะไรมากไปกว่านี้ จึงพาเธอไปพบแพทย์
ที่สุด ญาดา รู้ว่าตนเป็น โรคกรดไหลย้อน คำถามแรกของเธอคือ จะทำอย่างไรดีคะหมอ และนี่คือคำถามที่มีคำตอบให้
รู้จักโรคกรดไหลย้อน
โรคกรดไหลย้อน หรือ Gastroesophageal Reflux Disease (GERD) เป็นภาวะที่น้ำย่อยจากกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นไปในหลอดอาหาร โดยของที่ไหลย้อนส่วนใหญ่จะเป็นกรดในกระเพาะอาหาร ส่วนน้อยอาจจะเป็นด่างจากลำไส้เล็ก โดยอาจจะมีหรือไม่มีหลอดอาหารอักเสบก็ได้
เนื่องจากโรคกรดไหลย้อนจะมีอาการท้องอืดท้องเฟ้อร่วมด้วย คล้าย ๆ กับอาการของโรคกระเพาะอาหาร จึงทำให้คนส่วนใหญ่มักจะเหมารวมว่า ตนเองอาจจะเป็นโรคกระเพาะอาหาร และไปซื้อยาลดกรด (antacids) ที่มีวางจำหน่ายตามท้องตลาดมารับประทาน ซึ่งยาประเภทนี้มีประสิทธิภาพไม่สูงพอที่จะรักษา ทำให้การรักษาไม่ตรงจุด โดยเฉพาะคนไทยเรามักจะชอบซื้อยามารับประทานเอง และคิดว่าการไปพบแพทย์เป็นเรื่องใหญ่ ระยะหลังมานี้จึงพบโรคกรดไหลย้อนเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ
โรคนี้เกิดได้จากหลายสาเหตุ
1. การคลายตัวของหลอดอาหารส่วนปลายโดยที่ไม่มีการกลืน พบว่าผู้ป่วยโรคนี้จะมีจำนวนครั้งของภาวะนี้เกิดขึ้นบ่อยกว่าในคนปกติ ซึ่งสาเหตุนี้ถือเป็นภาวะสำคัญของโรค
2. ความดันของหูรูดของหลอดอาหารส่วนปลายลดลงต่ำกว่าในคนปกติ หรือเกิดมีการเลื่อนของกระเพาะอาหารเข้าไปในหลอดอาหาร ทำให้เพิ่มโอกาสการไหลย้อนของกรดจากกระเพาะอาหารมากขึ้น
3. ความผิดปกติของการบีบตัวของกระเพาะอาหารหรือหลอดอาหาร
4. เชื้อแบคทีเรียบางชนิดหรือเกี่ยวข้องกับพันธุกรรม

รู้ได้อย่างไรว่าเป็นโรคกรดไหลย้อน
โรคนี้มีความสำคัญ คือ ผู้ป่วยจะมีอาการแสบยอดอก และ/หรือร่วมกับมีภาวะเรอเปรี้ยว คือมีกรด ซึ่งเป็นน้ำรสเปรี้ยวหรือขมไหลย้อนขึ้นมาที่คอหรือปาก และจะเป็นมากขึ้นหลังรับประทานอาหารมื้อหนัก การโน้มตัวไปข้างหน้า การยกของหนัก หรือการนอนหงาย ภาวะนี้อาจทำให้เกิดหลอดอาหารอักเสบหรือเป็นมากจนเกิดแผลรุนแรง ถึงกับทำให้ปลายหลอดอาหารตีบ หรือเกิดการเปลี่ยนแปลงเซลล์ของเยื่อบุหลอดอาหารได้ บางรายอาจรุนแรงจนถึงขั้นกลายเป็นมะเร็งหลอดอาหารได้ ผู้ป่วยบางรายอาจมาด้วยอาการทางด้านของโรคหู คอ จมูก เช่น ไอเรื้อรัง เสียงแหบเรื้อรัง หรือ หอบหืด เจ็บหน้าอกที่ไม่ได้เกิดจากโรคหัวใจ หรือมีกลิ่นปาก เป็นต้น

พบได้ในเด็กหรือไม่
โรคนี้สามารถพบได้ตั้งแต่ทารกจนถึงเด็กโต ในเด็กเล็กอาการที่ควรนึกถึง ได้แก่ อาเจียนบ่อยหลังดูดนม โลหิตจาง น้ำหนักและการเจริญเติบโตไม่สมวัย ไอเรื้อรัง หอบหืด ปอดอักเสบเรื้อรัง ในเด็กบางรายอาจมีปัญหาการหยุดหายใจขณะหลับได้
วินิจฉัยอย่างไร
โดยปกติแพทย์สามารถวินิจฉัยจากอาการดังที่กล่าวมา โดยผู้ป่วยที่มีอาการทั้งแสบยอดอก และ/หรือเรอเปรี้ยว (ทั้งนี้ไม่ควรมีอาการที่บ่งบอกว่าน่าจะเป็นโรคอื่น เช่น น้ำหนักลด อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายดำหรือถ่ายเป็นเลือด หรือมีไข้) แพทย์สามารถวินิจฉัยได้เลยว่า ผู้ป่วยมีภาวะกรดไหลย้อนและให้การรักษาเบื้องต้นได้ทันที โดยจะติดตามดูอาการของผู้ป่วย ในบางรายอาจมีความจำเป็นต้องได้รับการตรวจค้นพิเศษเพิ่มเติม เช่น การส่องกล้องทางเดินอาหาร กลืนแป้ง หรือตรวจวัดการบีบตัวของหลอดอาหาร และตรวจวัดความเป็นกรดด่างในหลอดอาหาร ซึ่งพบว่าได้ผลแม่นยำดีที่สุดในปัจจุบัน

จะดำเนินชีวิตอย่างไรถ้าเป็นโรคกรดไหลย้อน
โดยทั่วไปเป้าหมายของการรักษา แพทย์จะมุ่งเน้นให้อาการของผู้ป่วยดีขี้น รักษาอาการอักเสบของแผลในหลอดอาหารและป้องกันผลแทรกซ้อน การรักษามีตั้งแต่การเปลี่ยนพฤติกรรมการดำเนินชีวิต การให้ยา การส่องกล้องรักษาและการผ่าตัด ซึ่งวิธีที่ง่ายที่สุดคือการเปลี่ยนพฤติกรรมการดำเนินชีวิต เช่น
หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ ดื่มสุรา
หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำชา กาแฟ น้ำอัดลม น้ำผลไม้ หรืออาหารที่มีรสเปรี้ยวจัด เผ็ดจัด อาหารไขมันสูง ช็อกโกแลต
ระวังไม่ให้น้ำหนักตัวมากหรืออ้วนเกินไป
ระวังไม่ควรรับประทานอาหารในแต่ละมื้อมากเกินไป โดยเฉพาะควรรับประทานอาหารมื้อเย็น และไม่ควรนอนทันทีหลังจากนั้น 3 ชั่วโมง
นอนตะแคงซ้าย เนื่องจากการนอนตะแคงซ้ายทำให้หูรูดมีจำนวนครั้งของการคลายตัวน้อยลง และนอนหนุนหัวเตียงหรือหนุนหมอนให้สูงอย่างน้อย 6 นิ้ว
ไม่ควรสวมเสื้อผ้าที่รัดเกินไป
ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

ถ้าอาการไม่ดีขึ้น ควรทำอย่างไรต่อไป
ถ้าอาการไม่ดีขึ้น จำเป็นต้องรับประทานยาร่วมด้วย ปัจจุบันยาที่ได้ผลดีที่สุด คือ ยาลดกรดในกลุ่ม Proton pump inhibitors ยาประเภทนี้มีประสิทธิภาพสูงมากในการป้องกันการเกิดอาการปวดแสบร้อนบริเวณหน้าอก และมีประสิทธิภาพสูงมากในการสมานแผลของหลอดอาหาร โดยที่แพทย์จะให้รับประทานยาในกลุ่มนี้เป็นเวลา 6 - 8 สัปดาห์ บางรายที่เป็นมาก อาจมีความจำเป็นต้องใช้ยาเป็นระยะเวลานานหลายเดือนหรือเป็นปี ซึ่งอาจจะมีการปรับการรับประทานยาเป็นแบบช่วงระยะเวลาสั้น ๆ หรือไม่กี่วันตามอาการที่มี หรือรับประทานติดต่อกันตลอดเป็นเวลานาน
อย่างไรก็ตาม การใช้ยาควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ ในรายที่รับประทานยาแล้วอาการไม่ดีขึ้น อาจพิจารณาการรักษาด้วยการส่องกล้องหรือผ่าตัด

โรคกรดไหลย้อน แม้ว่าจะไม่ใช่โรคร้ายแรงถึงชีวิต แต่เป็นโรคที่สร้างความทุกข์ทรมานให้กับผู้ป่วย ทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตและประสิทธิภาพการทำงานลดลง ดังนั้นหากมีอาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าคุณกำลังถูก "โรคกรดไหลย้อน" คุกคาม ควรพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาต่อไป เพราะหากละเลยไม่ยอมรักษา อาจทำให้อาการเรื้อรังกลายเป็นมะเร็งหลอดอาหารได้.
สำหรับผู้ที่ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม สามารถค้นหา โรคกรดไหลย้อนได้ที่ //www.gerdthai.com/
ขอเชิญชม คลิปเรื่อง โรคกรดไหลย้อน



หากท่านใดประสงค์จะโหวตให้บล็อกนี้ ขอความกรุณาโหวตในสาขาสุขภาพ ขอบคุณค่ะ
จาก พรไม้หอม
Create Date : 18 มิถุนายน 2555 |
Last Update : 18 มิถุนายน 2555 21:02:59 น. |
|
42 comments
|
Counter : 6155 Pageviews. |
 |
|
|