เหล็กละลาย (ตอนที่ 19)
โดย พ.ต.อ. พุฒ บูรณสมภพ
ตอนที่ 19
เรานั่งรับประทานอาหารเช้ากันเงียบ ๆ ต่อไป เสร็จแล้วก็ออกมานั่งคอยอยู่ที่ล็อบบี้ของโรงแรม อากาศเช้าของเจนีวาสดชื่นแจ่มใส เย็นนิด ๆ กำลังสบาย ไม่ทำให้รู้สึกอ่อนเพลีย เจ็ดโมงเป๋ง ก็มีรถยนต์กลางเก่ากลางใหม่คันหนึ่งมาจอดที่หน้าโรงแรม ชายคนหนึ่งเปิดประตูรถเดินเข้ามา เขาตรงเข้ามาหาท่าน แล้วย่อตัวลงยกมือไหว้ มาตรงเวลาดีจริง คุณนพดล ท่านรับไหว้ แล้วดูนาฬิกาที่ข้อมือ รู้จักกันเสียซิ ท่านหันมาทางผมสองคน นั่น พุฒ นี่พันศักดิ์ นี่คุณนพดล ต่างคนต่างไหว้กันตามธรรมเนียมไทย กินอะไรมาหรือยังล่ะ คุณน่ะ ท่านหันไปถามคุณนพดล เรียบร้อยแล้วครับ เขาตอบ
ไปกันซี ถ้ายังงั้น ท่านลุกขึ้น ไปรถผมก็แล้วกัน เอารถคุณทิ้งไว้ที่นี่ เย็น ๆ เราก็กลับทันไม่ใช่หรือ เดินทางสักกี่ชั่วโมง
ก็ราว ๆ สาม-สี่ชั่วโมงแหละครับเฉพาะขาไป ถ้าเราออกจากที่โน้นราว ๆ บ่าย ก็มาถึงที่นี่ก่อนค่ำ ผมทิ้งรถไว้ที่นี่ก็ได้ครับ ผมจะไปถอยรถจอดให้เรียบร้อยก่อน
ว่าแล้ว เขาก็ลุกขึ้นเดินลงไปจากโรงแรม
เราออกไปคอยเขาที่รถ ซึ่งมีอาดอลฟ์คอยยืนเปิดประตูให้อยู่ เมื่อคุณนพดลจอดรถเรียบร้อยแล้วก็เข้ามาหา เราทั้งสามนั่งข้างหลัง ส่วนเขาขึ้นไปนั่งคู่กับอาดอลฟ์ข้างหน้า
ไปไหนครับ อาดอลฟ์ถาม
ไปทางซูริค คุณนพดลส่งภาษากับอาดอลฟ์ เราจะเลยต่อจากที่นั่นไปอีกจนถึงลิชเต้นสไตน์
สำเนียงภาษาฝรั่งเศสของเขา ถ้าไม่ดูหน้าก็ต้องว่าคนฝรั่งเศสพูด
ต้องไปแวะเติมน้ำมันก่อน เมอร์สิเออร์ อาดอลฟ์ว่า น้ำมันไม่พอ
คุณนพดลหันมาแปลให้ท่านฟัง
ก็เอาซี ท่านว่า
รถพุ่งปราดออกไปอย่างนิ่มนวล
ซูริคเป็นแคว้นที่อยู่เหนือขึ้นไปจากเจนีวา และเป็นแคว้นหนึ่งของสวิสส์ ฯ ที่เป็นที่ตั้งของโรงงานอุตสาหกรรมมากมาย เรียกกันว่าเป็นเมืองอุตสาหกรรมของสวิสส์ ฯ และเป็นแคว้นที่ใช้ภาษาเยอรมันเป็นภาษาพื้นเมือง
สวิตเซอร์แลนด์เป็นประเทศที่ประกอบขึ้นด้วยชนชาติสามภาษาคือ ฝรั่งเศส เยอรมัน และอิตาเลี่ยน เพราะเขตแดนติดอยู่กับประเทศทั้งสามนี้ ด้านไหนติดกับประเทศใด ก็พูดภาษาของประเทศนั้น มีบ่อย ๆ ที่คนสวิสส์เองพูดกันไม่รู้เรื่อง เพราะคนที่อยู่ด้านสวิสส์เยอรมัน บางคนพูดภาษาฝรั่งเศสไม่ได้ ยิ่งกับคนที่อยู่ทางด้านอิตาลียิ่งไม่รู้เรื่องใหญ่
ส่วนภาษาราชการนั้น เขาใช้ภาษาเยอรมันเป็นหลัก แสดงให้เห็นว่า อิทธิพลของเยอรมันคงจะครอบครองอยู่นานกว่าพวกอื่น นิสัยใจคอก็กระเดียดไปทางชาวประเทศที่อยู่ติดกัน ไม่เหมือนกันแต่ละแคว้น คนสวิสส์ ใคร ๆ ที่เดินทางเพียงแต่ผ่านไปมาชั่วไม่กี่วัน หรือมาพักผ่อนอยู่ไม่กี่อาทิตย์ จะพากันชมว่าเป็นชาติที่เรียบร้อย ต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองดี และเป็นเมืองที่น่าอยู่ แต่สำหรับคนที่อยู่สวิสส์นาน ๆ เป็นแรมปี จะเห็นว่ามันตรงกันข้าม ผมยังไม่เคยพบว่า คนที่ได้อยู่สวิสส์เป็นแรมปี จะชมเชยคนสวิสส์ว่าดี ได้ยินแต่ด่าเอา ผมเองก็ชักจะยังงั้น ๆ แล้วจะเล่าให้ฟังในตอนต่อ ๆ ไป ภูมิประเทศสองฝั่งทางสวยงามมาก ระหว่างที่รถแล่นไป บ้านเรือนปลูกเรียงรายอยู่ตามเนินเขาที่เขียวชอุ่มไปด้วยทุ่งหญ้า มันกำลังเข้าฤดูใบไม่ร่วง สีใบไม้กำลังเปลี่ยนเป็นสีแดงคล้าย ๆ สีนาคทั่ว ๆ ไป มันเป็นระยะเดียวของปีที่เราจะได้เห็นความสวยงามของใบไม้ที่เริ่มจะสลัดใบ อีกไม่กี่วันมันก็จะร่วงหล่นลงมาจากต้นจนเกลี้ยง เหลือแต่ต้นและกิ่งก้านเปล่า ๆ ความเขียวชอุ่มของใบหญ้าก็จะแห้งหายไป รอหิมะที่จะลงมาปกคลุมจนขาวโพลน มีชาวต่างประเทศหลายคนที่เดินทางมาสวิสส์ตอนนี้ เพียงเพื่อจะดูความสวยงามของใบไม้ก่อนที่มันจะสลัดตัวของมันออกจากกิ่ง เขาว่ามันสวยน่าดู ทีแรกผมก็ว่าถ้าจะบ้า แต่นาน ๆ ไป ดูแล้วมันก็สวยจริง ๆ คนอื่นเขาคงคิดว่า ผมบ้าเหมือนกัน ตอนที่ผมบอกเขา เราผ่านเมืองต่าง ๆ มาจนถึงซูริคภายในเวลาสามชั่วโมงเศษ ด้วยฝีมือขับรถอันยอดเยี่ยมของสารถีชั้นดี ผมเพิ่งเห็นฝีมือขับรถของ อาดอลฟ์วันนี้เอง เขาขับทางไกลได้อย่างนิ่มนวล คนขับรถของที่นี่ กว่าจะสอบเอาใบขับขี่ได้ ก็ต้องมีพิธีการมากมาย เพราะเขาถือว่า ถ้าปล่อยคนขับรถชุ่ย ๆ ออกมาก็จะเป็นภัยต่อสังคมบนท้องถนนมาก เครื่องหมายจราจรที่ติดอยู่ตามสองข้างถนน ผู้ที่สอบเอาใบขับขี่จะต้องท่องจำให้ได้ขึ้นใจให้ได้ทุกวัน ยิ่งสวิสส์เป็นเมืองที่ภูเขามากมาย และถนนหนทางหลายตอนจะต้องตัดผ่านไปตามไหล่เขา ถ้าผู้ขับรถไม่เคารพต่อเครื่องหมายจราจร ขับกันส่งเดชอย่างของเรา ก็มีหวังลงไปนอนอยู่ข้างล่างกันเป็นแถว ๆ โดยเฉพาะ ตอนที่หิมะปกคลุมไปทั่วถนน และทางก็ลื่น ผู้ที่ขับขึ้นเขาจะต้องปฏิบัติอย่างไร เขาวางหลักเกณฑ์ไว้แน่ชัด จะต้องท่องให้ได้หมด ตอบผิดข้อเดียวก็ต้องกลับบ้านไปท่องมาใหม่ ฉะนั้น จึงไม่น่าสงสัยว่า ทำไมคนที่ได้รับอนุญาตให้ขับรถในท้องถนนได้ จึงขับรถกันดีทุกคน และใบอนุญาตของเขาออกให้ทีเดียวตลอดชีวิต และเป็นใบขับขี่สากลได้ทันที จนถึงอายุจำกัดไว้ในวัยหนึ่ง จึงจะมีการมาตรวจสอบกันอีกที ที่ซูริค เราแวะชมเมืองกันนิดหน่อย แล้วก็แวะรับประทานอาหารกลางวันกันที่นั่น กินกลางวันที่นี่ชักจะลำบาก ว่าแล้วว่าคนสวิสส์เยอรมันบางคนฟังภาษาฝรั่งเศสไม่ออก มันก็น่าแปลก พนักงานรับใช้เดินโต๊ะในร้านอาหารชั้นดี พูดภาษาฝรั่งเศสไม่ได้ และฟังไม่ออกเอาจริง ๆ คุณนพดลของเราก็คล่องแต่ภาษาฝรั่งเศส ถึงภาษาเยอรมันเข้าก็สั่นหัวเหมือนกัน ผมทดลองภาษาอังกฤษออกไป กลับพอฟังรู้เรื่อง เป็นยังงั้นไปก็มี เห็นจะเป็นเพราะที่นี่เป็นเมืองอุตสาหกรรมอย่างว่า และมีชาวอเมริกันมาตั้งบริษัทการค้าที่นี่หลายบริษัท คนรับใช้ตามร้านอาหารจึงพอฟังภาษาอังกฤษออก และคนสวิสส์เขาถือว่า ผู้ที่พูดอังกฤษได้นั้น เป็นความภาคภูมิใจอันยิ่งใหญ่อันหนึ่ง ยิ่งกว่าพูดภาษาอื่น ๆ ที่ใช้ ๆ กันอยู่ในประเทศ ทำไมถึงเป็นยังงั้นก็ไม่รู้ ดูเขาภูมิใจเสียจริง ๆ ที่พูดอังกฤษได้ และพร้อมเสมอที่จะอวดความรู้อันนี้ออกมากับแขกบ้านแขกเมือง หรือแม้แต่ในพวกเดียวกัน ก็จะข่มกันด้วยเรื่องนี้ วันนั้น เราจึงได้รับประทานอาหารกลางวันเพราะภาษาอังกฤษ ในเมืองสวิสส์ เมนูอาหารก็มีแต่ภาษาเยอรมันเสียอีก เวรจริง ๆ เลยต้องสั่งอาหารง่าย ๆ พื้น ๆ ที่พอจะเรียกเป็นภาษาอังกฤษได้ กินกันพอแก้หิว หรือเราจำเพาะจะหลงมาเข้าร้านที่ไม่พูดภาษาฝรั่งเศสเข้าให้แต่ร้านนี้ก็ไม่รู้ เสร็จจากอาหารกลางวันอันลำบากลำบนมื้อนั้นแล้ว เราก็ออกจาก ซูริค บ่ายโฉมหน้าไปทางลิชเต้นสไตน์ทันที ออกมานอกเมืองชักจะแคบเข้า โดยเฉพาะทางที่บ่ายหน้าไปยัง ลิชเต้นสไตน์ ยิ่งแคบหนักเข้าไป ขนาดรถสองคันสวนกันได้ครือ ๆ จะบ้านช่องก็ชักจะบางตา ทิ้งระยะห่าง ๆ กว่าบริเวณอื่น ลิชเต้นสไตน์เป็นประเทศเล็ก ๆ ที่แซกอยู่ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ อยู่สุดชายแดนทางด้านตะวันออกเฉียง เหนือ มีการปกครองของตนเอง และมีรากฐานทางเศรษฐกิจผูกพันอยู่กับสวิสส์ ใช้เงินตราของสวิสส์ ใช้การติดต่อโทรศัพท์ของสวิสส์ นอกนั้นไม่มีอะไรเกี่ยวพันกัน เก็บภาษีเอง และใช้ภาษาเยอรมันเป็นภาษาหลัก เพราะเดิมมีความผูกพันกับเยอรมันโดยใกล้ชิด เพิ่งจะมาแยกเป็นประเทศอิสระเมื่อ ค.ศ. ๑๘๖๖ (พ.ศ. ๒๔๐๙) และหันมาผูกพันในทางเศรษฐกิจกับสวิสส์เมื่อปี ค.ศ. ๑๙๒๑ (พ.ศ. ๒๔๖๔) เมื่อรถเข้าใกล้ลิชเต้นสไตน์ บ้านเรือนก็ชักจะหนาตาขึ้นบ้าง แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นตึกที่สูงไม่เกินสาม-สี่ชั้น และดูเงียบเหงา รถของเราเข้าเขตเมืองวาดูซ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของลิชเต้นสไตน์เมื่อเวลาราวบ่ายโมง คุณนพดลบอกให้อาดอลฟ์ขับรถชมรอบ ๆ เมืองวาดูซ ซึ่งมีถนนอยู่กี่สาย ขับไปขับมาประเดี๋ยวก็ทั่วเมือง แล้วก็แวะเข้าร้านอาหาร หาที่นั่งนั่งคุยกัน คุณนพดลถามว่า จะไปดูเมืองอื่น ๆ ของลิชเต้นสไตน์อีกไหม เพราะยังมีอีกสี่เมือง ซึ่งเป็นเมืองของประเทศนี้ เมืองละเล็กละน้อย เรียกเป็นตำบลจะเหมาะกว่า เจ้านายบอกว่าไม่ต้อง เพราะถ้าอยู่ก็อยู่ในเมืองหลวงดีกว่า ขนาดเมืองหลวงยังมีอยู่แค่นี้ บ้านนอกก็คงจะไม่มีอะไรที่น่าดู คุณนพดลอธิบายว่า ลิชเต้นสไตน์ที่เนื้อที่ทั้งหมดเพียง ๑๕๘ ตารางกิโลเมตรเท่านั้น และมีพลเมืองประมาณหนึ่งหมื่นเก้าพันคนทั้งหมด ในวาดูซซึ่งเป็นเมืองหลวงนี้ เป็นที่มีประชาชนอยู่หนาแน่นกว่าที่อื่น ประมาณสี่พันคน ไม่มีกองทหาร มีแต่ตำรวจสักห้าสิบคนเห็นจะได้ ก็เรียกว่าพอแล้วกับส่วนสัมพันธ์ของประชาชน และคดีที่นี่ไม่ค่อยจะมี จึงไม่มีคุก วาดูซเป็นเมืองที่ชาวต่างประเทศชอบมาตั้งบริษัทการค้ากันที่นี่ เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีชนอดที่เรียกวาส ภาษีด่านของสวิสส์ เพราะสวิสส์ อะไร ๆ ก็ลง ๒๗ เปอร์เซ็นต์หมด ไม่ว่าจะเป็นอะไร แม้แต่ถูกล๊อตเตอรี่ก็เก็บ ๒๗ เปอร์เซ็นต์ แล้วยังจะต้องเสียเงินค่าประกันสังคมอีกเป็นการบังคับ ไม่ว่าจะเป็นชาวต่างประเทศหรือชาวสวิสส์ ที่วาดูซจึงมีคนอเมริกันมาตั้งบริษัทการค้ากันมาก เรื่องภาษาอังกฤษที่นี่ใช้ได้ ไม่ต้องห่วง ฉะนั้น ที่ร้านอาหารจึงมีคนพูดกันรู้เรื่องดี ร้านที่เราเข้าไป อยู่ในโรงแรมชั้นหนึ่งของวาดูซ ชื่ออะไรก็จำไม่ได้ เพราะสำเนียงเป็นชื่อเยอรมัน เรียกยากพิลึก เป็นโรงแรมสามชั้น ชั้นล่างเป็นที่ตั้งของเรสโตรังต์ที่เป็นร้านน้ำชาไปด้วยในตัว เราจึงสั่งอะไรเบา ๆ มากินกันได้ เพิ่มเติมที่ยังไม่อิ่มสนิทมาจากซูริค เป็นยังไงวะ ท่านพูดกับผม มึงพออยู่ได้ไหม มีที่ฟังดนตรีไหมครับ ผมหันไปถามคุณนภดล ถ้าคุณหมายถึงไนต์คลับละก้อ ที่นี่ไม่มีหรอกครับ เขาตอบยิ้ม ๆ มีแต่ดนตรีทางวิทยุ ซึ่งคุณจะหาฟังได้ในโรงแรมชั้นดี อย่างที่นี่ก็มี
พอตกค่ำคงเงียบพิลึก ผมรำพึงดัง ๆ มันห่วงแต่ไนต์คลับของมัน ท่านว่า ไอ้นี่ชอบเรื่องดนตรี เคยเป็นหัวหน้าวงดนตรีมาแล้ว มันน่ะ ท่านหันไปบอกคุณนพดล ผมเคยได้ยินชื่อคุณพุฒแต่ในทางไล่ยิงคน คู่กับคุณพันศักดิ์ คุณนพดลพูด ตอนนั้น ผมยังอยู่ธรรมศาสตร์ ตอนที่พวกคุณไปล้อมยิงไอ้เสืออะไรที่วัดสุทัศน์ ผมก็อยู่ที่นั่น กำลังหนังเลิก เดินกลับบ้านมาถึงที่นั่นพอดี วิ่งเสียแทบตาย คิดว่าใครมาไล่ยิงกันที่นั่น ชอบดนตรีด้วยหรือครับ ไม่น่าจะเป็นไปได้ ตอนนั้น ผมยิงคนเป็นงานอดิเรก ดนตรีผมชอบมาแต่เด็ก ๆ แล้วยิ่งดนตรีในไนต์คลับยิ่งชอบใหญ่ แต่ไอ้นี่เพิ่งมาชอบเอาตอนโตแล้ว ผู้หญิงในไนท์คลับด้วยกระมังครับ เขาติดตลกเอากับผม มันของคู่กัน ไนท์คลับที่ไม่มีผู้หญิง ก็เหมือนกับน้ำพริกที่ไม่ลอยพริกขี้หนู ชืดไม่เอาไหน เขาหัวเราะ ที่นี่ คุณหาไม่ได้ ทั้งน้ำพริก และพริกขี้หนู ผมมันชอบเสียด้วย เพราะกินน้ำพริกได้ ไม่ได้มีเมียแหม่ม ทำไมผมจึงดันเลี้ยวเข้าไปแขวะเอาเขาเข้าได้ก็ไม่รู้ เขานิ่งเงียบไปทันที ไอ้อ้วนสะกิดผมด้วยมือฝรั่ง อย่าไปถือสามันเลย คุณนพดล ท่านพูดยิ้ม ๆ กับเขา มันชอบล้อคน กับผมมันยังไม่ค่อยจะเว้น พูดกับเรื่องดนตรีดี ๆ ไหงไปเป็นเรื่องน้ำพริกเข้าได้ก็ไม่รู้ อยู่ได้ไหมล่ะมึง กูถามเมื่อกี้ ยังไม่ได้ตอบ ท่านหันมาทางผมด้วยประโยคสุดท้าย ถ้าอยู่นาน ๆ ก็คงเป็นบ้า เงียบจะตาย ผมว่า เงียบซีดี มึงจะได้เขียนหนังสือ นักประพันธ์ด้วยนะ มันน่ะ ท่านหันไปบอกคุณนพดลอีก คราวนี้เขาไม่พูดอะไร ได้แต่มองดูผมแล้วยิ้ม เขียนไปขายใครล่ะครับ ใครเขาจะซื้อเรื่องของผมตอนนี้ ผมพูด ขายใครยังไม่ได้ มึงก็เขียนทิ้ง ๆ ไว้ มันต้องถึงตอนขายได้สักวันเข้าจนได้ล่ะวะ ถ้ามึงไม่เหงาตายเสียก่อน ถ้ามันจำเป็นต้องอยู่จริง ๆ ก็ต้องอยู่ได้ แต่ประเทศอื่นไม่มีแล้วหรือครับ ผมถาม อยู่ที่นี่ไปก่อน ชั่วขณะที่มันยังไม่รู้ว่า อะไรเป็นอะไรนี่สักพัก ท่านพูด แล้วค่อยคิดกันใหม่ ตอนนี้ มันยังไม่แน่ว่า เจ้าหน้าที่สวิสส์เขาจะทำยังไงกับมึง เกี่ยวกับคำขอให้ส่งตัวกลับ ผมก็ไม่ขัดข้องที่จะให้เขาส่งตัวกลับ มึงอยากติดตะราง ?
ผมจะได้แก้คดีให้มันรู้ว่า ใครเป็นใคร และผมผิดหรือเปล่า ให้คนเขารู้กันว่า อะไรมันเป็นอะไร มันจะติดตะรางเพราะความจริงก็ให้มันรู้กันไป ผมไม่ค่อยชอบหนีใคร
มึงคิดยังงั้นมันก็ถูก แต่มันต้องให้ถูกกาลเทศะ ตอนนี้มึงดันทุรังเข้าไปสู้คดี มึงก็ตายเปล่า น้ำกำลังเชี่ยวโว้ย ลำพังเรือขนาดมึงจะทวนน้ำไปยังไงไหว
ผมไม่กลับ ก็เพราะท่านสั่งไม่ให้กลับ ถ้าลำพังผม ผมจะกลับ ผมไม่กลัว
มึงมันก็ได้แต่มุทะลุยังงี้ไม่หาย
จะให้ผมอยู่ตั้งแต่เมื่อไรครับ ผมถามท่าน
Create Date : 24 สิงหาคม 2553 |
|
1 comments |
Last Update : 25 สิงหาคม 2553 0:49:56 น. |
Counter : 876 Pageviews. |
|
|
|