ชัยชนะและความพ่ายแพ้ของ "บุรุษเหล็กแห่งเอเชีย" (ตอนที่ 42)
โดย พ.ต.อ. พุฒ บูรณสมภพ
ตอนที่ 42
สั่งคุมตัว สฤษดิ์ ฯ
วันหนึ่ง ผมถูกเรียกตัวให้เข้าพบท่านอธิบดี เผ่า ฯ ที่วังปารุสกวัน ในยามเย็น เข้าใต้เข้าไฟจวนพลบ ผมไปถึงเอาค่ำพอดี ท่านอธิบดีสั่งให้ผมไปเชิญตัวท่านพลเอก สฤษดิ์ ฯ มาพบ ให้มาตั้งวงกินเหล้ากันที่วังปารุสกวัน ผมรู้สึกมีอะไรผิดปกติในคำสั่งนั้น เพราะอยู่ ๆ ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องใช้ผมในเรื่องนี้ ให้ใครไปเชิญมาก็ได้ ทำไมต้องเป็นผม ท่านสั่งกำชับด้วยว่า มึงต้องเอาตัวมันมาพร้อม ๆ กับมึง
ผมก็ชักจะรู้สึกว่ามันมีอะไรอยู่เบื้องหลัง ผมถามท่านอย่างไม่เกรงใจว่า ท่านให้ผมไปจับท่านแม่ทัพใช่ไหมครับ
ผมยังเรียกท่านพลเอกรองผู้บัญชาการ ฯ ว่า ท่านแม่ทัพด้วยความเคยชิน
มึงไปเอาตัวมันมาพบกูเดี๋ยวนี้ นั่นคือคำสั่ง คนอื่นก็ไม่ได้ ต้องมึง มึงกับมันสนิทกันดีไม่ใช่หรือ
ผมกับท่านพลเอก สฤษดิ์ ฯ เคยเผชิญหน้ากันมาแล้วในเหตุการณ์อันคับขันวันหนึ่งนานมาแล้ว เรื่องผู้หญิง ท่านได้แสดงความเป็นลูกผู้ชาย โดยถอยกำลังที่นำมาจะแย่งผู้หญิงคนนั้นกลับไป เมื่อผมซึ่งมีปืนอยู่เพียงกระบอกเดียว ทำความเข้าใจกับท่านอย่างลูกผู้ชายได้ ผมยังเคารพในความเป็นลูกผู้ชายของท่านมาตลอด เรื่องนั้นมันยาว ผมเคยเขียนไว้ ผมรอดมาได้เพราะความเป็นลูกผู้ชายของท่านอย่างไร
ผมต้องไปคุมตัวท่านรองผู้บัญชาการ ฯ มาตามคำสั่งให้ได้
ผมออกจากวังปารุสกวัน เลี้ยวรถเข้าไปในที่ตั้งกองทัพภาพที่ 1 ซึ่งอยู่ติด ๆ กับวังปารุสกวันนั่นเอง รถผมผ่านเข้าออกที่ตั้งกองทัพภาคที่ 1 ได้ นายทหารกองรักษาการณ์ที่นั่นจำรถผมได้ดี เพราะเข้าออกที่นั่นบ่อย ๆ เวลานายมีธุระปะปังอะไรกับท่านแม่ทัพก็ใช้ผมเข้าไป ผมนั่งรถไปคนเดียว เพราะผมมีแผนที่จะเชิญตัวท่านรองผู้บัญชาการ ฯ ไว้ในใจแล้ว ไม่ให้เฉลียวใจ
ผมขึ้นไปถึงข้างบน ก็พบกับท่านแม่ทัพนั่งอยู่กับนายทหารคนสนิท และมีนายทหารอื่นอีกสองสามคน กำลังพูดจาอะไรกันอยู่ ท่านหันมาเห็นผมก็ร้องตะโกนทัก
เฮ้ย พุฒ มาทำไมวะ
ผมเข้าไปโค้ง ยืนกุมเป้ากางเกง ท่านอธิบดีให้มาเชิญท่านแม่ทัพไปกินเหล้าที่วังปารุสกวันครับ
ท่านแม่ทัพหัวเราะชอบใจ มันครึ้มอะไรขึ้นมาวะ วันนี้ เออ เดี๋ยวอั๊วตามไป พูดธุระกับพวกนี้เขาหน่อยก่อน
ผมยืนอยู่ตรงนั้น พูดกับท่านว่า ผมอาศัยรถคนอื่นเขามาหาท่านครับ ไล่กลับไปแล้ว เจ้าของเขามีธุระจะใช้
อ้าว แล้วจะกลับยังไงล่ะ ท่านแม่ทัพถาม
ผมไปกับท่านครับ ท่านยังไม่เสร็จธุระ ผมรอได้ครับ
ท่านแม่ทัพมองหน้าผมครู่หนึ่ง หน้าผมคงซื่อจนท่านเชื่อ ท่านพูดว่า เออ ถ้างั้นรอข้างนอกเดี๋ยว
ผมถอยออกมานั่งที่เก้าอี้ข้างนอกห้อง มีนายทหารคนสนิทของท่านเดินตามออกมาด้วย นั่งเป็นเพื่อน พร้อมทั้งยกแก้วน้ำที่กินแล้วครึ้ม ๆ มาให้แก้คอแห้งด้วยแก้วหนึ่ง
ผมนั่งคุยกับนายทหารคนสนิทของท่านคนนั้นครู่หนึ่ง ท่านแม่ทัพก็เดินออกมาจากข้างใน พยักหน้ากับผม ไปโว้ย ไปได้แล้ว
ผมเดินตามท่านลงมาพร้อมกับนายทหารคนสนิทคนนั้น ไม่ได้มีนายทหารคนอื่นตามมาด้วย เป็นการไปพบกันฉันท์มิตรจริง ๆ
รถเลี้ยวเข้าวังปารุสกวัน จอดที่หน้าทางขึ้น ก็ลงรถเดินขึ้นชั้นบน ท่านแม่ทัพเดินนำหน้าอย่างว่องไว ขึ้นบันไดกัง ๆ พอถึงหน้าประตูเข้าห้อง ท่านอธิบดีก็ออกมาต้อนรับ จูงมือกันเข้าไปข้างใน พากันตรงไปที่เก้าอี้รับแขก หน้าโต๊ะทำงาน บนโต๊ะนั้นมีแต่ที่เขี่ยบุหรี่ และกระดาษเอกสารวางอยู่
เฮ้ย ท่านแม่ทัพอุทานออกมา ไหนล่ะวะเหล้า ยกออกมาเร็ว ๆ กูอยากแล้ว
ท่าน อ.ตร. หัวเราะ นั่งลงก่อนเหอะ
ท่านแม่ทัพหย่อนก้นลงนั่งบนเก้าอี้ที่โต๊ะรับแขก หันไปมองรอบ ๆ
ข้างนอกห้อง มีตำรวจสี่ห้าคนยืนอยู่ที่หน้าประตู ตัวนายทหารคนสนิทที่ติดตามท่านแม่ทัพมา นั่งอยู่ที่เก้าอี้โต๊ะรับแขกนอกห้อง มีนายตำรวจยืนคุมตัวอยู่ข้าง ๆ ลุกขยับตัวไม่ได้ ตัวผมเองนั้นเข้าไปยืนอยู่ข้างตัวท่านแม่ทัพ พร้อมที่จะปฏิบัติการถ้ามีการขัดขืน สักประเดี๋ยวเพื่อนผม พันศักดิ์ ก็เข้ามายืนข้างผมอีกคน ไม่รู้มันมายังไง
เฮ้ย ไอ้เผ่า มึงจะทำอะไรกู ท่านแม่ทัพถาม ไหนว่าจะเรียกมากินเหล้า
ท่าน อ.ตร. หัวเราะ ยังไม่ถึงเวลากินเหล้า คุยกันก่อน
ท่านแม่ทัพหันไปมองรอบ ๆ ตัวอีก จ้องตาผม ผมยิ้ม มึงจับกูเรอะ ท่านหันไปทางท่านอธิบดี เอากะกูยังงี้เชียวเรอะ
ท่าน อ.ตร. หัวเราะร่วนทีนี้ นอนด้วยกันที่นี่สักคืนก่อน เดี๋ยวจะเอาเหล้าออกมากินกัน ท่านแม่ทัพนั่งจ้องหน้าท่าน อ.ตร. ผู้เพื่อนสนิทอย่างค้นหาความจริงในใจ เห็นแต่เพื่อนนั่งหัวเราะเอา หัวเราะเอา ไม่รู้ชอบใจอะไร ท่านแม่ทัพและรองผู้บัญชาการทหารบก จ้องหน้าเพื่อนอธิบดี อ.ตร. ตาเขม็ง พูดช้า ๆ ออกมาว่า ไอ้เผ่า มึงจะเป็นตัวผู้บัญชาการทหารบกเอง กูก็ยอม ไม่ขัดขวางอะไรมึง ขอให้กูได้สนุกสนานของกูไปวัน ๆ ก็พอแล้ว กูไม่ทะเยอทะยานไปกว่านี้ ทำไมมึงต้องทำกับกูอย่างนี้ พูดกันดี ๆ ก็ได้ ท่านอธิบดี ฯ ยังคงหัวเราะร่วน แล้วหันมาสั่งพวกผมที่ยืนคุมเชิงอยู่ในห้อง พวกมึงออกไปคอยนอกห้องก่อน กูมีเรื่องจะคุยกับไอ้สฤษดิ์มัน ผมกับพันศักดิ์ก็ออกมาจากห้อง มารวมอยู่กับพวกตำรวจที่คอยจับตาอยู่ข้างนอกห้อง ตัวนายทหารคนสนิทของท่านแม่ทัพนั้น นั่งนิ่ง ไม่แสดงท่าทีอะไรอยู่ที่เก้าอี้ตัวเดิม สักครู่ใหญ่ ๆ ท่านแม่ทัพก็เดินออกมาจากข้างใน หันไปพยักหน้ากับนายทหารคนสนิทนั้น ไปโว้ย กลับ พวกผมขยับเข้าไปหา ขวางทางลง คิดว่าจะต้องใช้กำลังกันแน่ ท่านอธิบดีเผ่า ฯ เดินออกมาหน้าประตู เฮ้ย ปล่อยเขาไป กูพูดกันรู้เรื่องแล้ว พวกผมก็ต้องถอย เปิดทางให้ท่านแม่ทัพกับนายทหารคนสนิทลงบันไดไป ผมเข้าไปถึงตัวท่านอธิบดี นี่ ท่านปล่อยเสือเข้าป่านะครับ ทีนี้ก็หาแผ่นดินอยู่กันเถอะ ท่านอธิบดีฯ หัวเราะ เฮ่ย ไม่มีอะไรหรอกวะ กูพูดกับมันรู้เรื่องแล้ว นั่นแหละครับ ที่ว่ารู้เรื่องอีกหน่อยมันจะไม่รู้เรื่อง ไปเหอะ ท่านโบกมือไล่ พวกมึงกลับไปได้แล้ว ผมกลับบ้านวันนั้นด้วยความไม่สบายใจ ไม่ใช่เพราะผมเป็นคนไปเชิญตัวท่านแม่ทัพมา ผมไม่กลัวเรื่องนั้น แต่ไม่สบายใจ เพราะวันหนึ่งจะต้องมีเรื่องยุ่ง ๆ มาให้แก้ไข ท่านแม่ทัพไม่ใช่คนที่จะล้อเล่นด้วยง่าย ๆ ถึงแม้ท่านจะเป็นนักเลงเหล้าชนิดไม่ค่อยจะระวังตัวเท่าไหร่ แต่เมื่อโดนหมิ่นเชิงอย่างนี้ ลูกผู้ชายย่อมยอมไม่ได้ นี่แสดงให้เห็นว่า จะต้องเกิดความระแวงแคลงใจกันขึ้นแล้ว โบราณท่านว่าไว้ ตีงูข้างหางนั้นอันตราย คำกล่าวนั้นย่อมเป็นคำกล่าวที่เชื่อถือได้ ผมเดาเอาว่า ต้นเรื่องนี้ต้องมาจากท่านจอมพล ป. ตามนโยบาย แบ่งแยก แล้วปกครอง ของท่านแน่ ๆ
ผมว่าผมเดาไม่ผิด ท่านจอมพล ป. เริ่มแผนการของท่านแล้ววันนั้น
ผมเอาความคิดนี้ไปนั่งคิด นอนคิด ก็ยิ่งเห็นอนาคตของความยุ่งยากได้ชัดเจน ขณะนั้น ผมมีตำแหน่งเป็นรองผู้บังคับการตำรวจสันติบาลฝ่ายต่างประเทศอยู่ ตัวรองผู้บังคับการฝ่ายในประเทศคือ พันตำรวจเอก อรรณพ พุกประยูร
หน้าที่การงานของผมไม่ได้อยู่แต่เฉพาะในกองตำรวจสันติบาล เมื่อท่านพลตำรวจเอก เผ่า ฯ วางแผนงานขยายออกไปอีก ก็ได้ตั้งกรมประมวลราชการแผ่นดินขึ้น ตัวท่านเองเป็นอธิบดีกรมนี้ กรมนี้ไม่มีรองอธิบดี รองลงมาก็เป็นหัวหน้ากองเลย ซึ่งมีอยู่สามกองด้วยกัน แล้วขยายออกมาเป็นห้ากอง ผมต้องไปเป็นหัวหน้ากองในกรมนี้กองหนึ่ง จำไม่ได้ว่าเป็นกองที่เท่าไหร่ จำได้แต่ว่าเป็นกองที่มีหน้าที่ในการหาข่าวทางการเมืองทั้งในและนอกประเทศ และติดต่อกับการควบคุมความเคลื่อนไหวของสถานทูตต่างประเทศทั้งหลายที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย
ก็หน้าที่ Counter Intelligence ติดตามข่าว และขัดขวางการเคลื่อนไหวทางการข่าวของฝ่ายตรงกับข้ามดี ๆ นั่นเอง
ผมเรียนรู้เรื่องนี้มาแล้วอย่างละเอียดจากอังกฤษ ซึ่งเป็นประเทศที่มีหน่วยงานที่เชี่ยวชาญในทางนี้อยู่ และเป็นหน่วยงานแม่บทของวงการนี้ทั่ว ๆ ไป อังกฤษมีความชำนาญในงานประเภทนี้มาก ในเรื่องการใช้คน อังกฤษเป็นประเทศที่ไม่มีเครื่องไม้เครื่องมือในทางจารกรรม เพราะไม่มีเงินที่จะใช้จ่ายในเรื่องนี้ จึงต้องฝึกคนขึ้นมาเพื่องานนี้ ผิดกับอเมริกันที่จะใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์เป็นส่วนมาก เพราะมีเงินมากพอที่จะเหวี่ยงทิ้งกับงานประเภทนี้
อเมริกันมีหน่วยสืบราชการลับอยู่ทั่วไปในประเทศต่าง ๆ ที่มีสถานทูตตั้งอยู่ ในเมืองไทยนั้นไม่มีปัญหา อเมริกันมีทั้งหน่วยในสถานทูต และหน่วยนอกสถานทูตเกลื่อนไปหมด ในรูปกิจการต่าง ๆ กัน
ผมมีรายละเอียดของสถานที่เหล่านี้ของอเมริกันอยู่ในมือหมด เพราะมันเป็นงานที่อยู่ในความรับผิดชอบของผม ผมติดตามการทำงานของหน่วยอเมริกันนี้ตลอดมา โดยฝ่ายนั้นคิดว่าเราตามไม่ทัน ผมเคยปะทะกับเจ้าหน้าที่ของอเมริกันชนิดลำหักลำโค่นมาแล้ว จนมีเรื่องชนิดที่เกือบแตกหัก เมื่อผมเขียนถึงตอนนั้น คุณ ๆ จะได้อ่านกัน มาว่ากันถึงเรื่องที่เกี่ยวกับท่านจอมพล ป. ผู้ที่ท่านอธิบดีเผ่า ฯ เทิดทูนนั่นเสียก่อน หลังจากการวางแผนกวนน้ำให้ท่านแม่ทัพ สฤษดิ์ ฯ เกิดกินแหนงแคลงใจกับท่านอธิบดี เผ่า ฯ ครั้งนั้นแล้ว ก็ได้ผลตามที่ท่านจอมพล ป. ต้องการจริง ๆ
Create Date : 16 มีนาคม 2553 |
|
4 comments |
Last Update : 16 มีนาคม 2553 2:04:03 น. |
Counter : 1338 Pageviews. |
|
|
|
ขอบคุณ..จากใจจริง