ตื่นเมืองนอก ตลกสังคม เรื่องที่ 12
เรื่อง ตื่นเมืองนอก
เมื่อสักปี ๒๔๙๓ ท่านอธิบดีเผ่า ฯ เจ้านาย หอบหิ้วเอาพวกผมไปเมืองนอก เพราะรับคำสั่งให้ไปปฏิบัติราชการอันมีความสำคัญสูง คือ ไปถวายความอารักขาแด่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อเสด็จนิวัติพระนครทางเรือ
เจ้านายพาพวกผมไปตั้งหลักที่กรุงโรม นครหลวงของอิตาลี ก่อนจะเดินทางผ่านฝรั่งเศสเข้าสวิตเซอร์แลนด์ทางรถไฟ เราสำรวจเส้นทางที่จะเสด็จพระราชดำเนินเสียก่อนที่จะปฏิบัติการจริง ๆ
นับเป็นครั้งแรกที่พวกผมได้มีโอกาสไปสูดกลิ่นอายของเมืองฝรั่ง ทุกคนต่างตื่นเต้นกันทั่วหน้า ยกเว้นแต่เจ้านายคนเดียว เพราะท่านเจนเสียแล้ว
ทางสถานทูตไทยที่กรุงโรมจองโรงแรมชั้นหนึ่งให้เราพักกลางใจกรุงโรม ชื่ออะไร ขอโทษ ผมลืมเสียแล้ว
จากสถานีรถไฟก็นั่งรถยนต์ที่ท่านทูตส่งมารับ มุ่งตรงไปที่โรงแรมที่เขาจัดไว้ให้ ส่วนเจ้านายนั้นท่านทูตดึงตัวเอาไปพักที่สถานทูต พอรถจอดที่หน้าโรงแรม พวกเรา ๔ คนซึ่งมีคุณไล่อัน สิริสิงห์ พันศักดิ์ วิชิต แล้วก็ผม ลงจากรถด้วยมาดของชายไทยผู้ตื่นเต้น
ทางเดินเข้าโรงแรมมีพรมอย่างดีปูลาดพื้นทางเดินภายใต้ซุ้มกันแดดกันฝนสีสันสวยงาม มีนายทวารแต่งตัวเต็มยศ ประดับอินทรนูอันใหญ่มีดิ้นทองห้อยระย้าอยู่สองข้างบ่า โก้เหมือนเครื่องแบบนายพล
ไอ้เครื่องแบบนี่และที่ทำเหตุ พอลงจากรถได้ พวกเราคนหนึ่งในสี่คนก็ปราดเข้าไปหานายทวารคนนั้น ยื่นมือไปจับมือนายทวาร แล้วค้อมศีรษะกล่าวคำสวัสดีเป็นภาษาอังกฤษ ห้ามไม่ทัน
ถามไถ่ภายหลัง พวกเราคนนั้นบอกว่า นึกว่าเขาส่งนายพลมาต้อนรับ ! ผมน่ะ พอจะรู้ว่านายทวารตามโรงแรมใหญ่ ๆ ที่เมืองนอก แต่งตัวโก้หรูแบบนี้ทั้งนั้น เคยเห็นในหนัง ไม่รู้ว่าพวกเราจะตื่นเต้นขนาดนั้น เลยไม่ทันฉุด แกไปเร็วเหลือเกิน
พวกเราคนนั้น ไม่ใช่พันศักดิ์ ไม่ใช่วิชิต และไม่ใช่ผม นายทวารคนนั้น เมื่อถูกให้เกียรติโดยไม่รู้ตัวก็เลยยืนเซ่อ ไม่รู้จะว่ายังไง รายนี้อาจเป็นรายแรกของเขาก็ได้ ตั้งแต่เป็นนายทวารมา
ยังมีอีกเรื่องอย่างนี้
พันศักดิ์กับผมพักห้องเดียวกัน พอเข้าห้องอาบนำอาบท่าชำระร่างโดยเรียบร้อยแล้ว ก็แต่งตัวลงมาข้างล่างเตรียมไปพบนายที่สถานทูต ทางสถานทูตเลี้ยงข้าวเย็นวันนั้น
กินข้าวกินปลาเสร็จจากสถานทูตก็กลับโรงแรมเอาตอนประมาณสามทุ่ม ขึ้นลิฟท์ไปที่ห้อง ไม่มีอะไรจะทำ ถึงจะมีก็คงจะทำไม่ถูก เปิดประตูห้องเข้าไป ไฟในห้องเปิดสว่างแล้ว ตอนขาออกไปวันยังกลางวันอยู่ กลับมามันมืดแล้ว ผู้ดูแลห้องเขาคงเข้ามาจัดการเปิดไฟและทำที่นอนให้ โดยเลิกผ้าคลุมไว้ให้เพื่อสอดตัวเข้าไปนอนได้
สามทุ่มที่โรวงแรมก็เป็นตีสามของกรุงเทพ ฯ มันก็ต้องง่วง ตอนกินข้าวตาก็ชักจะหรี่อยู่แล้ว เพิ่งมาจากกรุงเทพ ฯ หมาด ๆ เวลาในกรุงเทพ ฯ มันยังตามมากับตัว
ทีนี้ตอนจะนอนก้อต้องปิดไฟ มองหาสวิทช์ไฟทั่วห้องก็ไม่เจอ ไม่รู้มันเอาไปไว้ที่ไหน ที่หัวนอนด้านที่พันศักดิ์นอน มีแผงสี่เหลี่ยมหนาขนาด ๒๓ นิ้ว กว้างยาวประมาณ ๔x๖ นิ้ว วางอยู่อันหนึ่ง ที่แผงนั้นมีปุ่มอยู่สามปุ่ม สีต่าง ๆ กัน
ไอ้นี่ละวะ ปุ่มดับไฟ ไม่ปุ่มใดก็ปุ่มหนึ่ง
กดฉับเข้าให้ปุ่มหนึ่ง... ไม่ดับ กดอีกปุ่มหนึ่ง... ไม่ดับอีก กดอีกปุ่มหนึ่ง สามปุ่มครบถ้วนแล้ว ไฟก็ยังไม่ดับ
ช่างมัน นอนมันทั้งไฟสว่างยังงี้ละวะ
พอล้มตัวลงนอน ซุกเข้าไปในผ้าห่มสักครู่เดียวก็มีเสียงเคาะประตู ใครมากวนใจอีกล่ะ.. ?
ลุกขึ้นถอดล็อกประตูออก ที่หน้าประตูนั้นมีสามคนยืนเรียงกันเป็นหน้ากระดาน คนหนึ่งเป็นบ๋อย คนหนึ่งเป็นอะไรก็ไม่รู้ แต่งตัวในชุดทัคซีโด้สีดำหางยาว อีกคนเป็นผู้หญิงแต่งชุดกระโปรงสั้นสีดำ ผ้าดอกไม่คาดที่เอว บนหัวใส่หมวกเล็ก ๆ สีขาว
ทั้งสามคนยืนหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ แล้วทั้งสามก็ถามว่า ต้องการอะไร พร้อม ๆ กัน
ไม่ต้องการอะไรหรอก ผมอยากจะปิดไฟน่ะ ผมว่า
คนแต่งชุดทัคซีโด้ก็ก้าวเข้าไปในห้อง เดินไปทางด้านหลังของหัวเตียง สะกิดอะไรก็ไม่รู้ ไฟในห้องก็ดับ แล้วเขาก็ออกจากห้องไปงับประตูให้ด้วย
ผมคลำดูที่เขาเอื้อมไปเมื่อกี้นี้ ก็พบปุ่มสวิทช์ไฟอยู่ที่นั่น หายโง่แล้ว เล่นมาซุกไว้ยังงั้น ใครจะไปเห็น
คืนนั้นนอนหลับสนิท มาตื่นเอาตอนเช้าพอดี ได้ยินเสียงร้องในห้องน้ำ ไม่รู้ไอ้เพื่อนผมมันตื่นไปเข้าห้องน้ำตั้งแต่เมื่อไร
ผมลุกจากเตียงเผ่นไปห้องน้ำ นึกว่ามันเป็นอะไรไป มันบอกว่า
เปล่า ไม่เป็นอะไรหรอก กูไขน้ำจากไอ้ก๊อกปุ่มสีแดงนี้ไว้ได้ครึ่งอ่าง เห็นควันมันฉุยดี โดดลงไปจะแช่ ก็ต้องเด้งออกมานี่แหละ เกือบสุกไปทั้งตัว เด้งออกมาเสียทัน แล้วนี่กูจะอาบน้ำยังไงล่ะ แล้วมันก็ยืนมองน้ำในอ่างที่ยังส่งควันฉุยอยู่ นั่งนิ่งอยู่รู้จะทำยังไง
เรื่องยังงี้มีอีกแยะ แล้วผมจะค่อย ๆ เอามาเล่าให้คุณฟัง
Create Date : 15 กรกฎาคม 2552 |
|
0 comments |
Last Update : 7 พฤศจิกายน 2553 0:00:50 น. |
Counter : 998 Pageviews. |
|
|
|