เมื่อทุนนิยมจะครองโลก….
นั่งคุยกับตัวเอง : เมื่อทุนนิยมจะครองโลก…. เขียนโดย : สิงโตหมอบ 22 กรกฏาคม 2550
“ระบบการค้าการลงทุนแบบทุนนิยม” ถามว่าน่ากลัวไหม ? เราต้องตอบคำถามนี้ด้วยการตั้งคำถามอีกว่า “ทุกอย่างในโลกนี้ไม่มีดีสุดและไม่มีเลวสุดใช่ไหม ?” ดังนั้นระบบทางเศรษฐกิจทุกรูปแบบที่เคยมี ล้วนอยู่ที่จังหวะของการนนำทฤษฏีนั้นๆมาใช้ หมายความว่าเราจะยึดทฤษฎีใดทฤษฎีหนึ่งไม่ได้
………………………..
ในดีมีเลว ในเลวมีดี.....
จุดอ่อนของทุนนิยมคือ ทุนมากรังแกทุนน้อย เพราะคนเราย่อมมีกำลังไม่เท่ากัน แต่พอใช้คำว่าทุนนิยมและเปิดเขตการค้าเสรี ผู้ที่มีทุนมากกว่าย่อมชนะอยู่ตลอด เนื่องจากทุนที่เหนือกว่า ย่อมเป็นคนร่างกติกา และฉกฉวยความได้เปรียบจากคนที่ทุนน้อยกว่า เปรียบเหมือนนักมวยรุ่นใหญ่ กับนักมวยรุ่นเล็ก ต่อยกันในเวทีไหน นักมวยตัวเล็กย่อมแพ้และเสียเปรียบตลอด
จุดอ่อนอีกประการหนึ่งของทุนนิยม คือ เมื่อเงินไหลไปกองรวมอยู่ที่ศูนย์กลางอำนาจ จะมีเพียงกลุ่มทุนหรือกลุ่มคนเพียงไม่กี่คนที่ได้รับผลกำไรอันมากมายมหาศาลนี้ แล้วคนเพียงไม่กี่หยิบมือที่ถือครองจำนวนเงินมหาศาล ถือครองอำนาจต่อรองมหาศาล จะกินวันหนึ่งได้สักกี่มื้อ การใช้จ่ายเงิน....ถ้าไม่เป็นไปเพื่อการลงทุน เพื่อหลบเลี่ยงการจ่ายภาษีจำนวนมาก อาจต้องเอาไปลงทุนในรูปแบบมูลนิธิเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี เงินจำนวนมหึมา....ถามว่าเขาจะนำมันไปใช้อะไรได้อีก ดังนั้นเมื่อเงินไม่มีการเคลื่อนไหว มันย่อมไม่ก่อให้เกิดการหมุนเวียนถ่ายเทของเงิน เมื่อเงินหยุดเคลื่อนไหว กองกระจุกอยู่ในมือคนรวยเพียงไม่กี่หยิบมือ เศรษฐกิจโดยรวมย่อมชะงักงัน
แต่สิ่งที่เราปฏิเสธความจริงไม่ได้ก็คือ ธรรมชาติของคน คือ “ยิ่งได้มาก ยิ่งโลภมาก” “ยิ่งได้เปรียบมาก ยิ่งกำหนดกติกาได้ ทำยังไงให้ตนได้เปรียบที่สุด”
เงินในระบบทุนนิยมจึงไม่ต่างอะไรจากน้ำ มันต้องเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลาในลักษณะของการลงทุนและการขยายกิจการ หยุดเมื่อไหร่...แปลว่าน้ำเน่า หยุดการเคลื่อนไหวเมื่อไหร่....แปลว่าทุกอย่างพังครืนลงมาทันที
แต่ทุนนิยมมีข้อดี คือ มันกระตุ้นการใช้จ่าย ทำให้เกิดการแข่งขันในการผลิต การค้าเสรีไม่มีในโลก การกุมความได้เปรียบด้วยการกุมอำนาจทางการเงิน การทหาร พลังงาน และการสื่อสาร จึงเป็นเรื่องที่จำเป็นมาก
ใช้ทุนเท่าเดิมแต่ทำกำไรให้มากขึ้น ผลิตสินค้ายังไงให้ได้จำนวนมากขึ้น ในขณะที่ทำการควบคุมต้นทุนให้เท่าเดิมหรือต่ำลง ใช้แรงงานเท่าเดิม แต่อาศัยความชำนาญที่มีมากขึ้นจากการทำงานที่เดิมและการทำซ้ำๆ โดยมิต้องเปลี่ยนจาก “แรงงาน” เพื่อไปเป็น “ผู้เชี่ยวชาญ”
…………………………………….
หันมามอง “ระบบเศรษฐกิจพอเพียง” ที่เรากำลังคาดหวังว่าอาจช่วยชุบชูสังคมของเราได้
ข้อดีของระบบเศรษฐกิจพอเพียง คือ ทำให้คนรู้จักประหยัด รู้จักเอื้ออาทรคนอื่น รู้จักทำงานให้น้อยลง พักผ่อนให้มากขึ้น ไม่เน้นการแข่งขันมาก แต่เน้นการแบ่งปัน
ปัญหาก็คือ เราต้องยอมรับความจริงที่ว่า เราได้พาตัวเองเข้าไปสู่ระบบทุนนิยมเต็มตัวบนเวทีการค้าระดับโลก เราทำมาค้าขายกับต่างชาติ แม้แต่เงินที่ใช้แลกเปลี่ยนก็ยังเป็นสกุลต่างชาติทั้งสิ้น
คำถามที่น่าฉุกคิดก็คือ คุณจะวางตัวอย่างไร หากอยู่ในหมู่บ้านที่ทุกหลังคาเรือนต่างมุ่งแสวงหาและกอบโกยผลกำไรจากการค้าขาย จากการทำนาธรรมดาซึ่งใช้แรงคนแรงควายมาชั่วนาตาปี เปลี่ยนเป็นการใช้เครื่องจักรและเทคโนโลยีอันทันสมัย การจัดการที่รัดกุม และการแก้ปัญหาธรรมชาติด้วยวิธีการต่างๆ
ในขณะที่คนข้างบ้านพากันสร้างบ้านใหม่ ขับรถคันใหญ่ มีวิถีชีวิตที่โก้หรู
อำนาจการซื้อ การต่อรอง การซื้อขายไปอยู่ในมือของคนที่มีเงินมากกว่า
ในขณะที่เราซึ่งบอกตัวเองว่าพอเพียงๆ ได้แต่ยืนตาปริบๆ และไม่สามารถต่อรองอะไรได้เลยด้วยจำนวนผลผลิตที่น้อยลง ด้วยคุณภาพที่ด้อยลง เมื่อเปรียบเทียบกับคนที่ผลิตด้วยระบบทุนนิยม ที่จำกัดต้นทุน บริหารจัดการทุกอย่างอย่างเป็นระบบ
เราเชื่อว่าการเดินให้ช้าลง อาจเป็นทางออกของสังคมได้ในระยะยาว คำถามก็คือ คุณเดินช้าลง ในขณะที่โลกหมุนเหวี่ยงตัวเองอย่างรวดเร็วชนิดแค่กระพริบตาครั้งเดียว ประเทศของเราก็อาจโดนทอดทิ้งให้อยู่เบื้องหลังชนิดไม่เห็นฝุ่น
อย่างไรก็ตาม “ระบบเศรษฐกิจพอเพียง” ถ้าใช้ผิดที่ผิดเวลาก็อาจทำร้ายตัวเองอย่างคาดไม่ถึง เพราะเงินมันต้องไหลเวียน แลกเปลี่ยนซื้อขายกันตลอดเวลา อยู่ๆไปหยุดการเคลื่อนที่ของมันทันทีทันใด นั่นย่อมหมายถึงหายนะจะเกิดขึ้นตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
.....................................
คำตอบสำหรับเรื่องนี้ ก็คือ ไม่มีระบบใดดีที่สุด และคงอยู่ได้ตลอดไป ปัญหาก็คือ การเลือกที่จะรับหรือปฎิเสธบางสิ่ง ด้วยความรู้ ความเข้าใจ วิสัยทัศน์ของผู้นำประเทศหรือชุมชน จึงเป็นสิ่งที่เราปฏิเสธไม่ได้เลยว่า มีผลกระทบต่อการพัฒนาของประเทศเป็นอย่างยิ่ง
รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง
อยู่ที่วิธีคิดของผู้นำว่าเลือกระบบใช้ถูกกับเวลาหรือเปล่า ไม่ใช่ว่าใสสะอาด ต้องสว่าง ต้องสะอาด ถ้าคู่ต่อสู้สะอาด แต่อีกคนใช้วิธีสกปรก แล้วมันจะสู้กันได้ยังไง อีกคนใส่นวม อีกคนใช้ไม้หน้าสาม คนใช้มีด ไปต่อสู้กับคนใช้ปืนกล ไม่ต้องถามว่าใครคนใดจะต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้...
นี่คือ การต่อสู้เชิงการค้าในระบบทุนนิยม
เงินมีค่าเพียงเศษกระดาษ หากมันนำไปแลกเปลี่ยนสินค้าซื้อขายไม่ได้ ปัญหาก็คือ ประเทศเล็กๆ ยากมากที่จะเอาชนะประเทศมหาอำนาจได้ ในขณะที่คุณบอกว่ากระดูกสันหลังของชาติคือเกษตรกร แต่เงินลงทุนทั้งหมดในระบบกลับไปค่อนอยู่กับคนเพียงไม่กี่หยิบมือไม่กี่ตระกูลในประเทศ
คุณทำนาทั้งปี เอารายได้จากการขายข้าวทั้งประเทศไปซื้อเครื่องบินรบของสหรัฐอเมริกาได้กี่เครื่อง เอาสินค้าหนึ่งผลิตภัณฑ์หนึ่งตำบลกี่ล้านชิ้น จึงจะไปแลกซื้อเทคโนโลยีดาวเทียมสักเครื่องหนึ่งของอารยประเทศ
ตัวเลขหนึ่งที่เห็นได้ชัดก็คือ อเมริกาเป็นประเทศผู้ผลิตเครื่องบินรายใหญ่ที่สุดของโลก รวมถึงอาวุธสงคราม เครื่องบินทั้งหมดในโลกนี้รวมกัน อาจมากกว่าจำนวนเครื่องบินที่อเมริกามีอยู่ไม่กี่เครื่อง การขายสินค้าทางการเกษตรของประเทศยากจนทั้งประเทศรวมกัน อาจซื้อเครื่องบินได้แค่ 4 ลำจากอเมริกา ใครเป็นคนกำหนดราคาเครื่องบินให้แพงมหาศาลขนาดนั้นได้ อเมริกาไม่ได้ขายสินค้า หากแต่ขายนวัตกรรม ขายสิ่งที่ประเทศด้อยกว่าไม่มีทางผลิตได้ ขายสิ่งที่มีแต่ “ผู้ค้นคิด” เท่านั้นที่จะกำหนดราคาได้
ทุนนิยม จึงเป็นการสร้างด้วย ขายด้วย และยิ่งไปกว่านั้นหากกำหนดกติกาและราคาขายได้ ก็ยิ่งชิงความได้เปรียบทั้งหมดไว้ในครอบครอง
นั่นอาจหมายรวมไปถึงการวางแผนการตลาดล่วงหน้า เพื่อรอเป็นผู้ชี้นำชี้นำตลาด ไม่ใช่รอว่ากระแสในตลาดจะมุ่งไปในทิศทางใด หากแต่เป็นผู้สร้าง “ตลาดการค้า” กำหนดความต้องการใน “สินค้า" ที่ตนเองผลิตขึ้น บังคับทั้งทางตรงและทางอ้อมให้ประเทศคู่ค้า ต้องซื้อ “สินค้า” ในราคาที่ตนเองเป็นคนกำหนดขึ้น
................................
มองย้อนกลับมายังระบบพอเพียง อีกกี่ปีเราจึงจะมีนักวิขาการที่วิจัยพันธุ์ข้าวที่สามารถปลูกในนาพื้นที่เท่าเดิม แต่ได้ผลผลิตมากกว่าเป็น สิบๆเท่า
มีนักวิชาการคนไหนเคยคิดบ้างว่าแค่ทลายคันนา เกษตรกรอาจได้พื้นที่ปลูกข้าวเพิ่มขึ้นอีกมากมายขนาดไหน ประเทศเรามีนักประดิษฐ์เก่งๆที่คอยออกแบบและทำให้เครื่องจักรทางการเกษตรทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นหรือไม่ มีใครช่วยคิด ช่วยบอกเกษตรกรของเราบ้างหรือเปล่า หรือเพียงอยากให้เขาเผชิญชะตากรรมโดยลำพัง รอเพียงฟ้าฝนท่านเมตตา ปีไหนแล้งน้ำก็ร้องไห้ ปีไหนน้ำท่วมก็ร่ำไห้... แล้วก็รอเพียงความช่วยเหลือจากภาครัฐ ด้วยการส่งเสริมให้เกษตรกรต้องกลายเป็นคนง่อยเปลี้ยเสียขา มีลักษณะของคนอ่อนแอที่ไม่สามารถพึ่งพาตัวเองได้เลย แถมยังต้องเป็นหนี้เป็นสิ้นไปตลอดปีตลอดชาติ
อย่ารักเขาแต่ปาก อย่าปล่อยให้กระดูกสันหลังของชาติต้องเผชิญชะตากรรมโดยลำพัง
วันหนึ่ง...หากแก่นแกนของประเทศล้มครืน คุณนึกหรือบรรดาเศรษฐีนายทุนทั้งหลาย ว่าคุณจะอยู่ในสังคมนี้ได้ ด้วยเพียงกองเงินเท่าภูเขาเลากา ด้วยเศษกระดาษไร้ค่าที่ใส่ปากเคี้ยวกลืนไม่ได้ของพวกคุณ
……………………………..
โลกของการใช้ชีวิต คือ อยู่...เพื่อดำรงชีวิต จะ “ทุนนิยม” หรือ “เศรษฐกิจพอเพียง” ผมว่าป้าแช่มเจ้าของแผงกล้วยแขก คงตอบคำถามนี้ได้ดี
ป้าแช่มบอกผมว่า
“ระบบไหนกูไม่สน ขอกูมีข้าวแดกให้ท้องอิ่มก็พอ”
Create Date : 22 กรกฎาคม 2550 |
|
53 comments |
Last Update : 22 กรกฎาคม 2550 7:11:03 น. |
Counter : 1791 Pageviews. |
|
|
จะออกไปเที่ยวนอกบ้าน
กลับมาอีกครั้งตอนเย็นๆครับ
ขอบคุณทุกคนที่แวะมาทักทายกันนะครับ