บันทึกไร้เหตุผล : วันที่ไม่มีวันเหมือนเดิม
บันทึกไร้เหตุผล : วันที่ไม่มีวันเหมือนเดิม เขียนโดย : เมฆาเคลื่อนคล้อย
โปรดอ่านอย่างมีวิจารณญาณ โปรดอย่าเชื่อในทุกถ้อยคำที่ปรากฏ นี่เป็นเพียงความรู้สึกส่วนตัวที่มีต่อสภาวะรอบตัวของข้าพเจ้าเท่านั้น ข้าพเจ้าเขียนบันทึกนี้อย่างไร้เหตุผล เพื่อบันทึกว่า ห้วงยามนี้ข้าพเจ้ากำลังรู้สึกอย่างไร
................................
ข้าพเจ้าชื่นชอบการดูเว็บโป๊ของต่างประเทศมาก ข้าพเจ้าไม่ได้รู้สึกเสียหายอะไร ดูแล้วก็เบื่อ เบื่อแล้วก็ดู แต่วันหนึ่งข้าพเจ้าพบว่าเว็บที่ข้าพเจ้าชมชอบกำลังถูกคุกคาม โดยรัฐบาลซึ่งปรารถนาดีกับข้าพเจ้าอย่างล้นเหลือ รัฐซึ่งคิดแทนข้าพเจ้าไปเสียทุกอย่างว่า การดูเว็บโป๊จะทำให้เกิดกำหนัด และชายผู้มีอวัยวะเพศเป็นอาวุธประจำกาย จะออกไปไล่ล่าและข่มขืนผู้หญิงทั้งเมือง อพิโธ่ อพิถัง....คนดูรูปโป๊มันผิดตรงไหน มันทำลายวัฒนธรรมอันดีงามตรงไหนหรือ ? หือ.......
ข้าพเจ้าเป็นคนดีหรือเปล่าในสายตาของท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่สูบบุหรี่ ข้าพเจ้าไม่ดื่มสุรา ข้าพเจ้าไม่เที่ยวผู้หญิง ข้าพเจ้าชอบอ่านหนังสือธรรมะ ชอบสนทนาธรรม รักธรรมชาติ แต่ถ้าข้าพเจ้าดูเว็บโป๊ ข้าพเจ้าจะกลายเป็นคนเลวในบัดดล
อพิโธ่ อพิถัง.... ใช้อะไรคิดหรือนี่....
ข้าพเจ้ารู้ว่าสำหรับบางคนที่ดูเว็บโป๊ อาจไปกระเสี้ยนให้เค้าอยากลอง อยากทดลองทำ แต่ความจริงก็คือ คนที่มีธรรมชาติต่ำสัตว์ในจิตใจ ถึงไม่ดูอะไร สมองส่วนสกปรกในชีวิตมันก็ทำงาน เหมือนที่เราบอกว่านักการเมืองเลว นักการเมืองไม่ได้เลวเพราะเขาถูกทำให้เลว แต่เขาเลวมาตั้งแต่ความคิดเริ่มต้นแล้วมิใช่หรือ
ข้าพเจ้านั่งดูการต่อสู้ระหว่างสองฝั่งอย่างสนุกสนานครึกครื้นใจเป็นอย่างยิ่ง ฝ่ายอธรรม (ตามคำเรียกขานของรัฐ) คือ ฝ่ายที่ทำเว็บโป๊ กับฝ่ายธรรมะ คือ ฝ่ายกระทรวงอะไรสักอย่าง ที่พยายามเฝ้าปิดเว็บนี้อย่างตามติดใกล้ชิด ปิดมันด้วยรูปดวงตาอันแสนอัปลักษณ์
วันดีคืนดี...ฝ่ายอธรรมชนะ เว็บเปิดดูได้ ข้าพเจ้าเบิกบานฤทัยยิ่งนัก แต่สุขได้เพียงข้ามคืน ดวงตาอัปลักษณ์นี้ก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง เป็นอย่างนี้มาพักใหญ่ จนข้าพเจ้าอดคิดในใจไม่ได้ว่า หรือพวกเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังภัยทางวัฒนธรรมอยากจะเก็บเว็บนี้ไว้ดูคนเดียวกันแน่หว่า ?
เราไม่อยากให้คนในสังคมมีวิจารณญาณในการตัดสินใจหรือ ว่าสิ่งใดดี สิ่งใดไม่ดี เราเอามาตรฐานอะไรมาวัดว่า ถ้าคนทำแบบนี้ เป็นคนไม่ดี คุณกล้าพูดได้อย่างไร ว่าคนสูบบุหรี่เป็นคนไม่ดี คนที่มีรอยสักเป็นคนไม่เรียบร้อย คนที่กินเหล้าเป็นพวกน่ากลัว เพราะวิธีคิดแบบแยกฝักแบ่งฝ่ายนี่หรือเปล่า ที่ทำให้บ้านเมืองวุ่นวายมาจนถึงทุกวันนี้
ถ้ากูดี มึงเลว ถ้ากูเลว มึงดี
โลกนี้มีแค่สีดำ และ สีขาว เท่านั้นเองหรือ ?
ไม่เป็นไรหรอก...ผมรอได้ วันนี้ดวงตาอัปลักษณ์พาดผ่านหน้าเว็บ มีได้ เขาก็เอาออกได้
ถ้าท่านคิดว่าปัญหาสังคมมันเริ่มจากการบล็อกเว็บปิดหูปิดตาประชาชนให้รับรู้แต่สิ่งดีดีได้ก็ตามแต่ใจท่านเถิด
......................................................
เมื่อวานผมนั่งดูข่าวโรงงานใหญ่ที่ปิดตัวลงกระทันหัน 6000 คน คือ ตัวเลขของผู้ที่ต้องแปรสภาพเป็นคนตกงานภายในชั่วข้ามคืน
ใครเป็นคนที่ต้องรับผิดชอบ ใครเป็นคนที่ต้องรับผิดชอบ ใครเป็นคนที่ต้องรับผิดชอบ
ผมถามตัวเองดังๆ แล้วนั่งนึกถึงเรื่องเล่าปัญญาอ่อนเรื่องนึง.....
เมื่อครุทเชฟได้ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นสมัยแรก เขาเข้าไปปรึกษาอดีตประธานาธิบดีคนเก่าว่า ถ้าบริหารประเทศไปแล้วเกิดปัญหา ต้องทำอย่างไร ? ประธานาธิบดีคนก่อนบอกกับครุทเชฟว่า เอาจดหมาย 3 ฉบับนี้ไป เมื่อท่านมีปัญหา จงเปิดอ่านแล้วก็ทำตาม ข้าพเจ้าใช้วิธีนี้ แล้วก็ผ่านปัญหามาได้ทุกครั้ง
หลังบริหารประเทศไปได้ไม่นาน ครุทเชฟก็พบว่าบ้านเมืองมีปัญหามากมาย ทั้งปัญหาชนกลุ่มน้อยพยายามแยกตนเพื่อปกครองตัวเอง ทั้งปัญหาคลื่นใต้น้ำ ทั้งปัญหาคอรัปชั่น ปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ ประชาชนเริ่มไม่พอใจผลงานการบริหารของรัฐบาลครุทเชฟ เขาจึงตัดสินใจเปิดจดหมายฉบับแรกมาอ่าน ข้อความในนั้นเขียนไว้ว่า
“กล่าวโทษประธานาธิบดีคนเก่า แล้วท่านจะโชคดี”
ครุทเชฟปฏิบัติตามคำแนะนำทันที ว่าที่ประเทศล่มจมแบบนี้เป็นเพราะการบริหารที่ไม่ได้เรื่องของผู้นำคนก่อน เป็นเพราะรัฐบาลชุดเก่าโกงกิน คอรัปชั่นเชิงนโยบาย แทรกแซงองค์กรอิสระที่ทำการตรวจสอบความทุจริต แถมด้วยการครอบครองอำนาจแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เป็นเผด็จการรัฐสภา ฯลฯ ประชาชนได้ยินดังนั้น จึงคลายความไม่พอใจไปได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง
หลังจากนั้นไม่นาน วิกฤตทางการเมืองก็กลับมาอีกครั้ง ครุทเชฟบริหารบ้านเมืองอย่างเชื่องช้า อืดอาด ตัดสินใจล่าช้า ออกกฎหมายประหลาดที่สร้างความขัดแย้งให้เกิดขึ้นกับคนในสังคมมากมาย ทั่วผืนแผ่นดินเต็มไปด้วยความแปลกแยกแตกต่างทางความคิด ความเห็น
ครุทเชฟเห็นท่าไม่ดี จึงรีบกลับไปที่โต๊ะทำงานแล้วหยิบจดหมายฉบับที่ 2 มาเปิดอ่าน ข้อความในนั้นเขียนไว้ว่า
“กล่าวโทษประธานาธิบดีคนเก่า แล้วท่านจะโชคดี”
ครุทเชฟรีบทำตามคำแนะนำทันที.... แล้วปัญหาในสังคมก็ลุล่วงผ่านไปได้อีกครั้ง
แต่แล้วในที่สุด...หลังจากนั้นอีกเพียงไม่นาน เหตุการณ์วุ่นวายในสังคมก็ทวีความรุนแรงขึ้นอีก ครุทเชฟไม่รีรอที่จะเปิดจดหมายฉบับสุดท้ายที่มีอยู่ เขาหยิบขึ้นมาอ่านในทันที ข้อความนั้นเขียนไว้ว่า .....
“จงนั่งลงแล้วเขียนจดหมาย 3 ฉบับ แล้วก็ลาออกจากตำแหน่งประธานาธิบดีซะ 2 ฉบับแรกให้เขียนว่า ที่ทุกสิ่งทุกอย่างมันเลวร้ายแบบนี้ก็เพราะครุทเชฟ เพราะฉะนั้นขอให้ท่านจงโทษครุทเชฟ แล้วท่านจะโชคดี”
……………………………………….
แรงงาน 6000 คน ย่อมมิได้เป็นคนตัวเปล่าเล่าเปลือย ทุกคนต่างมีภาระที่ต้องจับจ่ายใช้สอย มีพ่อมีแม่ มีลูกมีเมียที่ต้องเลี้ยงดู เงินชดเชย 3 เดือนที่ได้รับ เมื่อดูจากตำแหน่งหน้าที่การงานย่อมบอกได้ว่า เงินที่ได้รับคงไม่ใช่เงินที่มากมายอะไรนัก
ข้าพเจ้าไม่โทษเจ้าของโรงงาน.. เพราะด้วยวิถีทางทางการค้า ย่อมต้องวัดดวงกันแบบนี้ มีได้ มีเสีย ธุรกิจมันไม่ได้อยู่ได้ด้วยตัวเอง เพราะการเมืองผูกโยงชะตากรรมของเราไว้จนหมดสิ้น แค่เรื่องค่าเงินบาทที่อ่อนตัวและไม่นิ่ง ก็เพียงพอที่จะทำให้โรงงานส่งออกล้มครืนได้อย่างง่ายดาย วิธีคิดแบบเจ้าขุนมูลนายที่ว่า
“เชอะ...ไอ้พวกนายทุนก็หวังแต่กำไร พอได้ก็เฮ พอเสียก็โวยวาย”
ดูจะเป็นตราบาปที่ระบบเจ้าขุนมูลนายสลักลงไว้ที่หน้าผากของนายทุนตลอดเวลา
การค้า...ใครบ้างที่ทำแล้วไม่หวังกำไร เขาโหดหรือไม่ผมไม่รู้ แต่ถ้าต้องขาดทุนจากส่วนต่างของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ ผมยอมจ่ายเงินชดเชย 180 ล้านบาทครั้งเดียว ดีกว่ามานั่งเป็นหนี้อีกเดือนละ 200 ล้านบาท ทุกเดือนๆ
ผมยอมปิดโรงงานทิ้งให้คนงาน 6000 คนสาปแช่ง เพื่อไปลงทุนในประเทศที่ค่าเงินมีเสถียรภาพ ผมยอมย้ายฐานการผลิตเพื่อไปตั้งโรงงานในประเทศที่ค่าแรงถูกกว่า การเมืองสงบนิ่งกว่า มีการพัฒนาที่เติบโตเร็วกว่า ใครจะด่าว่าเนรคุณแผ่นดินก็พูดไปเถอะ นี่ชีวิตจริง....ไม่ใช่โลกแห่งอุดมการณ์เลื่อนเปื้อนเลื่อนลอย
6000 คนที่ชีวิตถูกลอยแพ ไม่ได้สำคัญว่าวันนี้เขาได้รับเงินกันทุกถ้วนทั่วหรือไม่ ชีวิตในวันพรุ่งนี้ที่ไม่มีวันเหมือนเดิมต่างหาก ที่รัฐต้องรับผิดชอบโดยไม่อาจหลบเลี่ยง เพิกเฉยหรือนิ่งดูดาย แล้วปล่อยให้เป็นเรื่องของชะตากรรมของคนเพียงไม่กี่คน ที่ต้องไปเผชิญชะตากรรมอย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย
ข้าพเจ้าคิดว่าถึงเวลานี้ ปัญหาของการจัดเรทรายการโทรทัศน์ มันไร้ค่ามากเมื่อเทียบกับปัญหาปากท้องประชาชน คนต้องกิน ต้องใช้ ต้องอยู่กับความเป็นจริง ท่านพยายามกรอกหูคำว่า “พอเพียง”ๆๆๆๆ พูดกรอกหูซ้ำๆ จนข้าพเจ้ารู้สึกเกลียดชังระบบทุนนิยม แล้วอยากจะเก็บข้าวของไปทำนาอยู่กลางดอยให้มันรู้แล้วรู้รอด
คนเราจะ “พอเพียง” ได้อย่างไร ถ้าเขายังไม่ “เพียงพอ” เขาไม่มีสิทธิฝันให้ลูกได้เรียนโรงเรียนอินเตอร์ เขาไม่มีสิทธิมีบ้านสักหลัง มีรถสักคันในชีวิตบ้างหรือ
เราอยู่ในโลกของ “ทุนนิยม” เต็มตัวใช่ไหม เราอยู่ในโลกที่แข่งขันกันเรื่องขนาดของทุน และความเร็วใช่ไหม
ตลอดเวลาที่ผ่านมาหลายสิบปี เราดำเนินนโยบายเพื่อนำพาประเทศชาติไปในแนวทางนี้มิใช่หรือ เรายังต้องค้าขายกับนานาประเทศอยู่ใช่ไหม แล้วเราเอาอะไรไปสู้กับกองทุนขนาดมหึมาเหล่านั้น เราเอามวยเด็กไปต่อยกับมวยผู้ใหญ่ ภายใต้การร่างกฎกติกาของเขา กรรมการตัดสินก็เป็นของเขา แล้วเราจะเหลือทางชนะบนเวทีการค้าโลกได้อย่างไร ?
ข้าพเจ้าเป็นคนเรียนน้อย ข้าพเจ้าเป็นคนรู้น้อย แต่ข้าพเจ้าห่วงใยตัวข้าพเจ้า ห่วงใยคนในครอบครัวของข้าพเจ้า ห่วงใยลูกน้องของข้าพเจ้า ห่วงใยคนในสังคมที่ข้าพเจ้าอยู่ร่วม ห่วงผืนแผ่นดินที่ข้าพเจ้าได้ย่ำเหยียบและทำมาหากิน
ข้าพเจ้าห่วงเพราะถึงข้าพเจ้าอยู่สุขสบายเพียงใด แต่ถ้าคนในสังคมอยู่ไม่ได้ ไม่มีจะกิน ถึงวันหนึ่งพวกเขาก็ต้องลุกขึ้นมาฆ่าข้าพเจ้า ลุกขึ้นมาทำร้ายทำลายสังคมที่ถีบส่งชีวิตพวกเขาให้ต้องไปยืนหมิ่นเหม่อยู่ชายขอบของชะตากรรม เนื่องเพราะทนความแตกต่างระหว่างความรวยความจนไม่ได้ แล้วถ้าถึงตอนนั้น ข้าพเจ้าจะอยู่ได้อย่างไร ท่านหรืออ้ายอีคนใดจะอยู่ในสังคมแบบนี้ได้อย่างไร
........................................
ปีนี้เป็นปีที่ยากลำบากของข้าพเจ้า ธุรกิจฝืดเคือง เหน็ดเหนื่อยใจ ลำบากกาย ในการประคับประคองหน่วยงานของตัวเอง ข่าวคราวน่าใจหาย ตามมาส่งให้รู้ถึงรูหูทั้งสอง ร้านค้าเริ่มทยอยปิดตัว เริ่มบีบให้พนักงานลาออก ลดเงินเดือน ตัดรายจ่ายทั้งที่จำเป็นและไม่จำเป็น พ่อค้าแม่ขายเริ่มบ่นว่าการค้าฝืดเคือง คนงานเริ่มบ่นว่าข้าวของแพง คนรวยเริ่มบ่นว่าค่าเงินลด ไปไหนมีแต่คนบ่นเครียดๆๆๆๆๆ เบื่อๆๆๆๆๆ
ท่านว่าการเมืองมีส่วนสร้างความรู้สึกด้านลบเหล่านี้บ้างไหม ? ถ้าท่านตอบว่าไม่....ข้าพเจ้าก็พอทำใจยอมรับได้ ก็พวกท่านล้วนเป็นคนดีศรีสังคมนี่นะ
ข้าพเจ้าไม่โทษใครเลย ที่ทำให้ทุกหย่อมหญ้ามีแต่ความเดือดร้อนเนื้อร้อนใจ ทุกอย่างเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ข้าพเจ้าท่องคำนี้ในใจทุกวัน อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด
ถ้าท่านคิดว่าการเมืองคือเรื่องของการล้างแค้นก็ทำในสิ่งที่ท่านคิดต่อไป ไม่เป็นไร ข้าพเจ้าจะอดทน อดทนอย่างถึงที่สุด เพราะข้าพเจ้าเป็นประชาชน ประชาชนต้องทนรับชะตากรรมที่เกิดขึ้นให้ได้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในสังคมนี้ก็ตาม
ดูแลเขาด้วยนะครับท่าน 6000 คนพร้อมคนในครอบครัวของเขาไม่ใช่กลุ่มคนเล็กน้อย พวกเขาคือหน่วยหนึ่งในสังคมของเรา พวกเขาไม่ได้ทำงานรับใช้นายทุน หากแต่ทรงเกียรติ์กว่านั้นด้วยการทำงานเพื่อขับเคลื่อนประเทศและสังคมนี้มาโดยตลอด
เขาผู้ซึ่งทั้งชีวิตอาจเย็บเป็นแต่คอเสื้อ อีกคนเย็บเป็นแต่แขนเสื้อ และไม่อาจประกอบเสื้อได้ด้วยตัวคนเดียว ไม่อาจเขียนแบบเสื้อ ไม่อาจเย็บกระดุมได้ เพราะทั้งชีวิตเขาถูกบีบให้ต้องทำงานซ้ำๆแบบแยกส่วน จนไม่อาจทำอย่างอื่นอย่างใดได้
ข้าพเจ้าวิงวอนให้ท่านดูแลพวกเขาให้ดีอย่างถึงที่สุด ในฐานะที่เขามีบุญคุณกับแผ่นดินนี้ และแทบไม่เคยสร้างความปั่นป่วนแตกแยกให้เกิดขึ้นในสังคม เหมือนที่บรรดานักการเมืองผู้ทรงเกียรติทั้งหลายกระทำย่ำยีจิตใจประชาชนอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
ดูแลเขาก่อนให้ดีเถิด ข้าพเจ้ายินดีและเต็มใจที่จะไม่ข้องแวะกับเว็บโป๊ที่ข้าพเจ้าชื่นชอบสักระยะหนึ่งก็ได้ ทำปากท้องของประชาชนให้อิ่มพี ทำให้รอยยิ้มปรากฏแทนความเศร้าหมองในวงหน้า ทำความหวังให้บังเกิดกับความฝันของคนในชาติ
พวกท่านมีเวลาไม่มาก ลืมๆนโยบายที่ขยันคิด ขยันสร้างไว้บ้างเถิด คิดมาแต่ละอย่าง พูดมาแต่ละคำ มีแต่นโยบายที่สร้างความเดือนร้อน สร้างวิวาทะและความแตกแยกให้เกิดขึ้นกับคนในสังคมไม่ได้หยุดได้หย่อน
ทำเหมือนที่นักหนังสือพิมพ์คนหนึ่งพูดไว้ก็ได้ ว่าถ้าคิดถ้าทำอะไรแล้วบ้านเมืองเดือนร้อน สังคมหวั่นไหว ขอให้ท่านอยู่เฉยๆ…… ไม่ต้องคิดต้องทำอะไร บ้านเมืองยังจะสงบสุขเสียกว่า อย่างน้อยอะไรๆก็ไม่ต้องเลวร้ายมากไปกว่านี้ เพราะเท่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ก็เลวร้ายจนสุดแทบจะทานทนไหว
..................................
6000 คนนี้จะไม่ใช่กลุ่มคนสุดท้ายที่ถูกลอยแพอย่างแน่นอน ภาวะของผู้นำ จะพิสูจน์ให้เห็นตอนเกิดวิกฤตการณ์ ผมไม่ปฏิเสธ “ความดี” ของท่านที่ใครเชิดชู ผมชื่นชมความดี ศรัทธาคนดีเสมอมั่นไม่เปลี่ยนแปลง
แต่ชีวิตต้องกินต้องใช้ครับ โลกแห่งการแข่งขัน ยึดถือ ความฉลาดในการแก้ไขปัญหา ไม่ได้ต้องการคนดีที่ซื่อบะลื่อทื่อ โลกแห่งความเป็นจริงต้องการคนที่รู้จักค้อน กรรไกร กระดาษ รู้จักพลิกแพลง แก้ไขปัญหาด้วยปัญญา เปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส
6000 คนนี้อาจเป็นแค่จุดเริ่มต้นของการลอยแพชีวิตในวันพรุ่งนี้ คงมีอีกหลายโรงงานที่กำลังคิดและทำตาม อาจมีดวงวิญญาณนับหมื่นนับแสนที่รอวันถูกเขวี้ยงอย่างไม่ใยดี ในระบบทุนนิยม ที่ใครแข็งแรงและหยัดยืนกว่า ถึงจะยืนหยัดอยู่ได้
.........................................
ถ้าเราใช้ปัญญาและสติในการใช้ชีวิต ท่านจตุคามคงไม่ต้องทำงานหนักแบบนี้ เราคงไม่ต้องหวังพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริง ก็อยู่ในตัวของเราเอง
พระอาทิตย์คงไม่ต้องทำหน้าเบื่อ เพราะทุกวันนี้ต้องทรงกลดทุกครั้ง เวลามีพิธีปลุกเสกจตุคาม
ดาราคงไม่ต้องเหนื่อยในการไปวัด แทนที่จะได้เข้าไปกราบพระให้เกิดสติ กลับต้องไปกดพิมพ์จตุคาม
คนในสังคมกำลังขาดที่พึ่งทางใจใช่ไหมครับท่าน ? ท่านมองเห็นอะไรบ้างหรือเปล่า ? หรือมัวแต่เดินสายสร้างและกดพิมพ์จตุคามเหมือนกัน
...........................
ข้าพเจ้าไม่คิดหนีไปไหน ข้าพเจ้ารักผืนแผ่นดินนี้ รักแบบที่พยายามแทนคุณของแผ่นดิน รักแบบมีสติ ไม่แบ่งฝักแบ่งฝ่าย ไม่หิวโหยอำนาจ ไม่อยากโกงกินเพื่อให้ร่ำรวย ไม่อยากหายใจทิ้งไปวันๆอย่างไร้คุณค่า
ข้าพเจ้าเกิดมา มีอายุสั้นๆไม่กี่สิบปี เดี๋ยวข้าพเจ้าก็ต้องตาย ท่านก็ต้องตาย ยิ่งใหญ่แค่ไหนก็ต้องตาย ต่ำต้อยแค่ไหนก็ต้องตาย
เรามาทำความดีอย่างตั้งใจ เพื่อหลงเหลือความดีไว้ให้คนรุ่นหลังพูดถึงบ้างดีไหม ?
Create Date : 13 กรกฎาคม 2550 |
|
48 comments |
Last Update : 13 กรกฎาคม 2550 10:02:28 น. |
Counter : 1069 Pageviews. |
|
|
ดอรี่กลับมาแล้วค่ะ
แหะ ๆ โทษทีที่มาช้าค่ะ
สืบเนื่องจากที่ เมื่อวันพุธ
เมื่อวานก็เลยต้อง ครีบฟูค่ะ เพื่อนเวย์เป็นพยานได้ จริงป่ะเพื่อนเวย์
แต่วันดอรี่ (หวังว่าคงจะ) ได้แล้วค่ะ
วันศุกร์แล้วด้วย
ไปเยี่ยมคนอื่นต่อค่ะ