ปกิณกะ ... อสาระบันเทิง (ตอนที่ ๒)
โดย พ.ต.อ. พุฒ ยูรณสมภพ
ตอนที่ ๒
อีกเรื่องหนึ่งที่อ่านกับเบา ๆ สมอง เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองไทยนี่เอง และเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาของผมผู้เขียน จึงเป็นเรื่องจริง สมัยที่ผมยังรับราชการอยู่ พวกผมสามสี่คน ซึ่งเป็นนายตำรวจหนุ่ม ยศเพิ่งจะเป็นพันตำรวจตรีหมาด ๆ มีหน้าที่ที่จะต้องถวายความอารักขาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในขณะที่เสด็จพระราชดำเนินโดยทางรถยนต์พระที่นั่งไปตามที่ต่าง ๆ โดยจะต้องขับขี่รถจักรยานยนต์ แซงรถพระที่นั่งด้านละสองคัน ทั้งซ้ายขวา ข้างหน้านั้นเป็นรถจักรยานยนต์ของหัวหน้าหน่วยจราจร ซึ่งจะขี่นำขบวนไปตามหมายกำหนดการที่ทางสำนักพระราชวังส่งให้ พวกผมที่ขี่แซงก็มีหน้าที่ที่จะต้องขี่รถขนาบรถพระที่นั่ง แล้วแต่จะไปทางไหน แต่งตัวเต็มยศ มีอาวุธปืนเหน็บอยู่ที่ซองข้างเอว พร้อมที่จะถวายความอารักขาพระองค์ท่าน วันหนึ่ง พวกผมก็ขี่รถแซงถวายความอารักขาอย่างเคย ถึงคราเสด็จกลับพระตำหนักจิตรลดา ผมอยู่บนอานรถทางด้านขวารถพระที่นั่งข้างหน้า หลังผมเป็นรถจักรยานยนต์ของเพื่อนอีกคนหนึ่ง ทางด้านซ้ายก็มีรถแซงทั้งหน้าหลังเช่นกัน คนที่อยู่คันด้านหน้าซ้าย เป็นนายตำรวจรุ่นน้องที่เพิ่งจะเข้ามาทำหน้าที่นี้ได้ไม่กี่วัน อย่าไปเอ่ยชื่อเขาเลย เขายังรับราชการอยู่ ตอนนี้เป็นนายพลไปแล้ว (เรื่องนี้เขียนเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๘ ส่วนเหตุการณ์นี้ น่าจะประมาณปี พ.ศ. ๒๔๙๒ - ธารน้อย) พอขบวนรถมาถึงหน้าประตูทางเข้าสวนจิตร ฯ พวกเราก็จะหยุดรถอยู่แค่ทางเข้าประตู นั่งคร่อมอานในท่าตรง แล้ววันทยหัตถ์ถวายความเคารพ เมื่อรถพระที่นั่งแล่นเลยเข้าประตูวังไป เป็นเช่นนี้มาทุกครั้ง รถพระที่นั่งก็จะเลยเข้าไป แล้วเราก็ยกขบวนกลับ ในวันนั้น พอรถมาถึงหน้าประตูทางเข้า พวกเราก็หยุดรถ นั่งคร่อมอานถวายความเคารพอยู่ในท่านั้น เพราะจะลงจากรถก็ไม่ทันแน่ ขณะที่เรานั่งคร่อมอานถวายความเคารพอยู่นั้น รถพระที่นั่งก็ไม่ได้เลยเข้าไปตามปกติ กลับหยุดอยู่ด้วย แล้วในหลวงท่านก็ทรงไขกระจกรถด้านพระองค์ท่านลง แล้วทรงชะโงกพระพักตร์ออกมารับสั่งกับเพื่อนนายตำรวจรุ่นน้องของผมคนนั้น ที่ยืนคร่อมอานถวายความเคารพอยู่ เหนื่อยไหม รุ่นน้องของผมคนนั้นสะดุ้ง ไม่ทันนึกว่า ในหลวงท่านจะทรงทักทายอย่างนั้น หันมาตอบบังคมทูลว่า ไม่เหนื่อยพ่ะย่ะครับ ในหลวงทรงปิดกระจกรถทันที แล้วรถพระที่นั่งก็เคลื่อนเข้าประตูวังไปในบัดนั้น ผมว่า ในหลวงท่านคงจะทรงพระสรวลไปด้วย เมื่อทรงปิดกระจกรถในทันทีอย่างนั้น ขากลับมาถึงหน่วย ฯ เพื่อส่งรถคืน ไอ้เสือนั่นก็เข้ามาถามผม ทำไมในหลวงท่านจึงไม่รับสั่งอะไรต่อ ทรงรีบปิดกระจกรถ แล้วให้รถเข้าประตูวังทันที แล้วก็พวกพี่ ๆ หัวเราะกันทำไม ผมก็บอกเขาว่า ไอ้ที่คุณทูลในหลวงไปนั้น มันฟังพิกล ในหลวงท่านก็คงจะอดขันไม่ได้ จึงต้องรีบให้รถเข้าประตูวังไป ไม่อยากทรงพระสรวลให้คุณได้ยินมั้ง ทำไมล่ะ เขายังถามอีก
คำว่า พ่ะย่ะครับ นั่น ผมยังไม่เคยได้ยินใครเขาพูดกัน มีแต่ พ่ะย่ะค่ะ เท่านั้น
อ้าว เขายังเถียง ก็ พ่ะย่ะค่ะ นั่น ใช้เฉพาะผู้หญิงไม่ใช่เหรอ เราเป็นผู้ชาย ก็ต้องใช้ พ่ะย่ะครับ ซีพี่ ไม่ถูกเหรอ
ทุกคนที่อยู่ในที่นั้นได้ยินเข้า ต่างก็หัวเราะกันลั่นกอง ฯ แล้วก็แยกย้ายกันกลับ ปล่อยให้ไอ้เสือนั่นยืนงงอยู่คนเดียว ป่านนี้จะเข้าใจหรือยังก็ไม่รู้ รู้แต่ว่า ภายหลังเขาขอย้ายไปอยู่ที่อื่น ที่ไม่ต้องมีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการถวายอารักขาอีกต่อไป โดยไม่ทราบเหตุผล
เดี๋ยวนี้เขาเป็นนายพลที่มีอนาคตไกลคนหนึ่ง อย่ามาถามผมว่า เขาชื่ออะไร ตอนที่เกิดเรื่องนั้น เขามียศเป็นร้อยตำรวจเอกจะเต็มขั้นอยู่แล้ว
ไว้คราวหน้า ผมจะเขียนเรื่องเบา ๆ สมองแบบนี้มาให้อ่านแก้เซ้งกันใหม่ สวัสดีครับ
Create Date : 13 ตุลาคม 2553 |
|
5 comments |
Last Update : 16 ตุลาคม 2553 1:50:23 น. |
Counter : 821 Pageviews. |
|
|
|