จงให้ความสำคัญต่อสิ่งที่ถูกต้อง มากกว่าสิ่งที่ถูกใจ
Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2553
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
7 ตุลาคม 2553
 
All Blogs
 

เหล็กละลาย (ตอนที่ 42)

โดย พ.ต.อ. พุฒ บูรณสมภพ

ตอนที่ 42

ตอนนั้น อากาศเจนีวากำลังเข้าหนาว ผมกำลังเป็นหวัด แสบคอไปหมด เลยอดบุหรี่อยู่หลายวัน สูบไม่ได้ แตะเข้าไปมันขมคอพิกล

คุณ ๆ ที่เป็นนักสูบบุหรี่คงจะรู้ดีเรื่องนี้ เรื่องหวัดกับบุหรี่นี่มันไม่เข้ากัน

รุ่งขึ้นเป็นวันอาทิตย์ ท่านโทรศัพท์มาเรียกผมให้เอารถไปรับแต่เช้า จะไปเล่นกอล์ฟ คงอยากจะสงบสติอารมณ์ นอนคิดเรื่องนี้อยู่ทั้งคืนก็ไม่รู้

ผมให้อาดอล์ฟเอารถออก แบกถุงกอล์ฟของผมที่ท่านซื้อให้ ตั้งแต่มาถึงใหม่ ๆ ไปด้วย

เจนีวามีสนามกอล์ฟอยู่นอกเมืองออกไปราว ๆ สามสิบกว่ากิโลเมตร นั่งรถมาสบาย ๆ ประมาณยี่สิบกว่านาที ถนนหนทางเขาดี การจราจรเร็ว ไม่มีรถติดอย่างของเรา สนามกอล์ฟชื่อ โดเนซ์ เป็นสนามยาวพาร์ ๗๒ มีโปรประจำอยู่สามคน เราเคยมาที่นี่บ่อย ๆ อยู่แล้ว เป็นสมาชิกวิสามัญของเขาอยู่ เสียปีละห้าร้อยแฟรงก์

ที่เป็นสมาชิกได้ก็เพราะท่านทูตคุณหลวงวิจิตร ฯ จัดการให้อีกนั่นแหละ ถ้าเป็นคนอื่นคงเข้ายาก เพราะเขารับแต่สมาชิกชาวสวิสส์ สมาชิกพาแขกไปเล่นก็ได้ แต่เราไม่มีเพื่อนสมาชิกกอล์ฟที่นั่น ก็เลยต้องสมัครเป็นเสียเอง

เจ้านายเช่าลูกกอล์ฟมาสามถุง ถุงละห้าสิบลูก มายืนซ้อมวงสวิงอยู่ มีโปรคนหนึ่งมาช่วยคุมให้ ส่วนผมนั้นไม่ชอบซ้อมอยู่กับที่ จึงชวนโปรอีกคนหนึ่งออกรอบ ต้องเสียค่าเช่าโปรด้วย ขนาดเขาต่อให้หลุมละที ยังทานไม่ไหว

ผมออกรอบไปได้สิบแปดหลุม กลับเข้ามา เจ้านายก็ยังสวิงซ้อมอยู่ที่เก่า ไม่รู้ว่าจะซ้อมไปเอาถ้วยที่ไหน ผมเข้าไปหา เห็นหน้าซีด เหมือนคนจะเป็นลม ก็ชวนให้หยุด เข้าไปในสโมสร หาเครื่องดื่มกินกันดีกว่า ให้แค็ดดี้เอาถุงกอล์ฟไปเก็บที่รถ

ระหว่างที่นั่งดื่มอะไรกันอยู่นั้น ผมก็เล่าให้ท่านฟังว่า ผมเป็นหวัดมาสามสี่วันแล้ว ไม่ได้สูบบุหรี่เลนสักมวน มันขมปากไปหมด ท่านก็ว่า

“ มึงอดมาสามสี่วันแล้ว ก็อดเสียเลยซีวะ บุหรี่มันไม่ให้ประโยชน์อะไรกับร่างกายเลย ”

ผมเกือบจะเถียงออกไปว่า ก็เมื่อมันไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว ทำไมท่านก็ยังสูบอยู่อีก แต่ไม่ได้เถียง กลัวโดนมือฝรั่ง เสร็จจากเครื่องดื่ม ชำระค่าอะไรต่ออะไรเสร็จแล้ว ก็กลับบ้าน

นาน ๆ ได้ออกกำลังที ผมนอนหลับสบายคืนนั้น

ผมตื่นนอนตอนเช้าค่อนข้างสาย เพราะไม่มีอะไรจะทำ ไม่ต้องไปบ้านนาย อาหารเช้าเลยอด มากินเอาตอนใกล้เที่ยง รวมเป็นสองมื้อ เลยทุ่นค่าใช้จ่ายไปอีกหลายแฟรงก์เหมือนกัน

ผมกำลังอ่อยอิงอยู่เกือบเที่ยง เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ผมเดินไปรับสาย เสียงคนรับใช้ต้นกุฎิของท่านชื่อนายประเสริฐ ระล่ำระลักมาตามสายว่า

“ ท่านรองครับ คุณหญิงให้มาที่บ้านด่วน ท่านไม่สบายมาก ” แล้วก็วางหู ไม่ทันได้ไต่ถามอะไร

ผมรู้สึกใจคอไม่ใคร่ดี มันมีสังหรณ์อะไรอยู่ในเสียงนั้น

ผมจำได้ดี วันนั้นเป็นวันที่ 21 พฤศจิกายน เป็นวันเกิดเมียผม เรากำลังจะกินข้าวกลางวันฉลองกันที่บ้านเรา ก็ต้องล้มเลิกกันไป

ผมรีบแต่งตัว เมื่อได้โทรศัพท์เรียกหมอให้ไปที่แฟลตของท่านด่วนที่สุด เยเนราลมีอาการไม่ใคร่จะดี แล้วผมก็ออกมาเรียกรถ ไม่คอยใครที่บ้าน อาดอล์ฟยังไม่พร้อม ผมไม่อยากรอมัน

ไปถึงแฟลต ‘ แมซอง รัวยาล ’ ผมก็รีบวิ่งขึ้นบันไดไป ลิฟท์มีคนใช้อยู่ รอไม่ได้

ผมเปิดประตูแฟลตเข้าไป ประตูไม่ได้ล๊อค คล้ายกับจะรอผม ผมก้าวพรวดเข้าไปในห้อง ผ่านห้องรับแขก เข้าไปยังห้องอาหาร

ที่นั่น ร่างของท่านนอนเหยียดยาวอยู่ข้าง ๆ โต๊ะ

โต๊ะนั้นปกติเป็นโต๊ะอาหาร ตอนนั้นดัดแปลงเป็นโต๊ะปิงปอง คู่เล่นของท่านอีกคนหนึ่ง ยืนถือไม้ปิงปองนิ่งอยู่ เขาคือ พ.ต.ต. สวัสดิ์ ทุมโฆสิต นายตำรวจที่เดินทางมาศึกษางานที่เจนีวาช่วงนั้น

ร่างที่นอนเหยียดยาวอยู่นั้น นัยน์ตาปิดแต่ไม่สนิท เป็นลักษณาการที่ไม่ดีแน่ พี่ดมกำลังนวดเฟ้นอยู่และละลายยาหอมกรอกใส่ปาก ผมเห็นแล้วใจไม่ดี ทรุดตัวลงจับขาบีบ ช่วยอะไรมากกว่านี้ไม่ได้

สักครู่หมอประจำตัวก็เข้ามา เขาเปิดกระเป๋าเครื่องมือออก หยิบหูฟังออกมาจับฟังที่บริเวณหน้าอกก่อน นิ่งอยู่นาน แล้วเงยหน้าขึ้นมาพูดเบา ๆ กับผมเป็นภาษาฝรั่งเศสว่า

“ เซ ลาแฟง ”

แปลเป็นภาษาไทยว่า

“ ถึงจุดจบแล้ว ”

พี่ดมหันมาถามผมว่า หมอว่าอะไร ผมตอบไปว่า ยังไม่เป็นอะไร ชเดี๋ยวหมอเขาจะให้ยา แล้วผมก็พูดกับหมอว่า อย่าเพิ่งบอกอะไรกับคุณหญิงตอนนี้ ให้หยิบยาอะไรก็ได้ออกมาฉีด

หมอยังเถียงผมอีกว่า มันจะมีประโยชน์อะไร ผมก็ว่า เอาเถอะ ทำตามที่ผมบอกก็แล้วกัน ผมยังไม่อยากให้มาดามรู้อะไรตอนนี้ ผมจะค่อย ๆ บอกเอง หมอก็ดึงเอายาฉีดออกมาหลอดหนึ่ง ปักเข้าไปตรงหัวใจ ถอนเข็มออก แล้วบอกให้ช่วยกันหามร่างของท่านไปนอนบนที่นอนในห้องนอน ตอนนั้นร่างกายของท่านยังอ่อนปวกเปียกอยู่

พอถึงที่นอน วางท่านนอนแล้ว หมอก็ลากลับไป ผมแอบกระซิบเขาให้ไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ด้วย เพื่อให้เขามาตรวจศพตามระเบียบ

พี่ดมยังนวดเฟ้นท่านอยู่ เรียกให้ลุกขึ้น ผมปล่อยให้เป็นไปอย่างนั้นครู่หนึ่ง แล้วก็ทรุดตัวลงข้าง ๆ พี่ดม พูดเบา ๆ ว่า

“ ท่านสิ้นแล้วครับ หมอช่วยอะไรไม่ได้ ”

พี่ดมมองหน้าผมอย่างเชื่อครึ่ง ไม่เชื่อครึ่ง

“ ท่านสิ้นแล้วครับ หมอเขาบอกผม เมื่อกี้นี้ ” ผมต้องพูดเบา ๆ อีกครั้ง

พี่ดมหันไปมองร่างที่สงบนิ่งอยู่ ไม่พูดอะไร นิ่งอยู่อย่างนั้น ไม่มีเสียงร้องไห้ให้ได้ยิน มีแต่น้ำตาเอ่อที่นัยน์ตา เป็นการข่มใจที่หนักหน่วงที่หาได้ยาก

“ แล้วเราจะทำอย่างไรกันต่อไป ” พี่ดมถามขึ้น หลังจากที่นิ่งอยู่นาน

“ ผมให้หมอเขาไปแจ้งเจ้าหน้าที่แล้วครับ ” ผมว่า “ เดี๋ยวเขาก็คงจะมาชันสูตรศพ แล้วออกใบมรณบัตรให้ตามระเบียบ เมื่อเขาตรวจศพแล้ว เราจึงจะเอาศพไปเก็บได้ ”

ก่อนที่จะเอาท่านลงเก็บไว้ ก็ต้องไปเช่าห้องเก็บศพก่อน เพราะจะต้องเอาศพไปไว้ห้องนั้นระหว่างรอการก่อสร้างหลุมที่จะเก็บท่านไว้ เป็นห้องที่จะสร้างอยู่ใต้ดิน ไม่ใช่เอาไปฝังดินเฉย ๆ

ได้ห้องเก็บท่านแล้วก็หมดภาระไปปละหนึ่ง ทีนี้ก็ต้องติดต่อกับบริษัทที่เขารับจัดการเรื่องพิธีการต่าง ๆ ให้มาจัดการให้เรียบร้อย บริษัทเขาก็มาจัดการกับรายละเอียดปลีกย่อยต่าง ๆทั้งหมด เราไปรอที่ห้องเก็บศพได้เลย แล้วค่อยจ่ายค่าอะไรต่ออะไรที่นั่น การเช่าห้องไว้ศพก็เหมือนการเช่าห้องโรงแรมชั้นหนึ่ง ให้ศพนอนเหมือนกัน เป็นห้องกว้างขวางพอดู มีโต๊ะเก้าอี้หมู่รับแขกได้ขนาดห้า-หกคนสบาย ๆ

เราต้องทิ้งศพไว้กับเจ้าหน้าที่ทางหมอราว ๆ ยี่สิบสี่ชั่วโมง กว่าจะไปรับท่านมาไว้ที่ห้องเก็บได้ เพราะต้องรอให้ยาที่ฉีดเข้าไปตามเส้นเลือดในทันทีที่เสียชีวิตนั้น เดินไปทั่วร่างเสียก่อน มิฉะนั้นอาจจะเน่าได้ กรรมวิธีนี้ก็เรียนรู้จากหมอที่เขาจัดการให้ และอธิบายให้ฟัง

เมื่อพิธีกรรมต่าง ๆ เรียบร้อย ซึ่งกินเวลาร่วมสองวัน ที่ต้องเสียเวลานานก็เรื่องยาฉีดกันเน่า ก็ได้ท่านมาเก็บในโรงแรมศพ ที่ฝาโลงด้านบนเจาะเอาไว้เป็นช่องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ใส่กระจกใสไว้ให้มองเห็นใบหน้าศพได้ เวลาเอาศพมาจะได้เห็นว่าผิดตัว ไม่ยังงั้นอาจจะหลงไปไหว้ศพใครก็ไม่รู้ที่อยู่ในโลงนั้น เพราะทางสถานที่จัดการเรื่องนี้มีศพมากมาย อาจสับสนผิดฝาผิดศพได้

พิธีการทางศาสนาพุทธนั้นทำไม่ได้ เราไม่มีพระสงฆ์อยู่ที่นั่น ก็ต้องทำเท่าที่จะทำได้

เราได้แจ้งถึงการเสียชีวิตของท่านให้ทางสถานทูตไทยทราบ และแจ้งให้ทางญาติพี่น้องของฝ่ายท่านและฝ่ายพี่ดมทางเมืองไทยให้ทราบในทันที

เรื่องแจ้งให้ทางเมืองไทยนี้ คุณสวัสดิ์ ทุมโฆสิต นายตำรวจที่ไปอยู่ด้วยที่นั่นช่วงนั้นเป็นคนจัดการ เขาก็โทรเลขเข้าเมืองไทยส่งไปที่บ้านราชครู โทรเลขเป็นภาษาอังกฤษไปว่า

” General Pao passed away ”

เท่านั้นแหละ เกิดเรื่องทางเมืองไทย ไม่รู้ว่าเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายไหนที่แปลส่งให้ทางรัฐบาลใจความว่า

“ ท่านนายพลเผ่า ฯ ผ่านไปแล้ว ”

ทีนี้ก็ยุ่งกันใหญ่ ท่านนายพลเผ่า ฯ ผ่านไปทางไหนกันล่ะ ไหนแจ้งมาว่าเสียชีวิตแล้ว ซ้อนกลกันหรือยังไง บอกมาว่าตายแล้ว แต่ยังจะแอบหลบผ่านไปทางไหน จะผ่านมาคิดการอะไรที่ไหน ฝ่ายราชการลับก็ออกสืบดมกลิ่นกัน กว่าจะรู้ว่า ไอ้คำว่า Passed away แปลว่าอะไร ก็เหนื่อยกันอยู่นาน

คุณสวัสดิ์เขานักเรียนเพิ่งจะผ่านมาจากอังกฤษใหม่ ๆ ภาษาที่เขาใช้มันลึกซึ้งไปหน่อย เลยทำเอาวุ่นกันไปหลายคน

ถึงยังงั้น ทางสถานทูตก็ยังมาดูให้แน่ว่าท่านเสียชีวิตจริงหรือเปล่า ต้องพาไปดูที่ห้องไว้ศพ และให้ดูที่ฝาโลงที่เจาะกระจกไว้ ดีที่เจาะเอาไว้ ไม่ยังงั้นอาจจะต้องเปิดโลงดูก็ได้

ทางสถานทูตมาดูแล้วยืนยันไปแล้วว่าตายจริง ก็ยังไม่วายที่จะส่งคนสำคัญมาดูอีกให้แน่ คนนั้นเป็นใคร ผมจะเล่าให้ผลฟังเมื่อถึงตอนนั้น




 

Create Date : 07 ตุลาคม 2553
1 comments
Last Update : 7 ตุลาคม 2553 5:59:06 น.
Counter : 930 Pageviews.

 

 

โดย: ก้นกะลา 10 ตุลาคม 2553 2:20:21 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ธารน้อย
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 26 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add ธารน้อย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.