Group Blog
All Blog
<<< " ทดแทนบุญคุณต่อพ่อแม่" >>>









"ทดแทนบุญคุณต่อพ่อแม่"

วิธีหาความสุขแบบไม่มีความทุกข์ใจ

 ก็หาด้วยการทำความดี

 วันไหนได้ทำความดี วันนั้นก็มีความสุขใจ

 วันไหนไม่ว่าง ไม่ได้ทำความดี ก็ไม่ทุกข์ใจ

 แต่ถ้าหาความสุขจากการทำตามความอยาก

 วันไหนไม่สามารถทำตามความอยากได้

 วันนั้นก็ทุกข์ใจ ฉะนั้นเราควรจะเลิกหาความสุข

จากการทำตามความอยากต่างๆ

 แล้วหันมาหาความสุขจากการทำความดี ทำบุญ

แล้วก็หาความสุขจากการไม่ทำบาป

การทำบาปนี้ก็เป็นทุกข์

 เวลาเราทำบาปใจเราก็จะทุกข์ ใจเราจะไม่สบาย

 แต่ถ้าเราไม่ทำบาป ใจเราก็จะไม่ทุกข์

ใจเราก็จะเฉยๆ ไม่เดือดร้อน

นี่คือการหาความสุขแบบพระพุทธเจ้า

 ท่านสอนให้เราหาความสุขจากการทำบุญ

ทำประโยชน์ให้แก่ผู้อื่น

 โดยเฉพาะผู้ที่มีพระคุณกับเรานี้

 เราควรจะทำ เป็นบุคคลที่เราควร

จะต้องพุ่งเป้าหมายไปก่อน

 ทำประโยชน์กับคนที่มีบุญคุณกับเรา

 ทดแทนบุญคุณให้แก่ผู้มีพระคุณ

เสร็จแล้วเราค่อยไปทำประโยชน์ให้แก่ผู้อื่นต่อไป

ตัวเราไม่ควรลืมคนที่สำคัญในชีวิตของเรา

 คนที่เสียสละ คนที่ให้อะไรกับเราอย่างมากมาย

ถ้าเราเป็นคนที่ให้อะไรใคร เราก็จะมีความรู้สึกน้อยใจ

 ที่คนที่เราให้นี้ไม่เคยคิดถึงเราเลย

 ลูกๆ นี้บางทีไม่ค่อยคิดถึงพ่อแม่

 กลับไปคิดถึงภรรยาสามีกับลูกๆ ของเขามากกว่า

แต่พ่อแม่ก็ไม่ได้หวังอะไรจากลูกๆ

พ่อแม่ก็ทำด้วยความเมตตา ทำด้วยเป็นหน้าที่ที่ต้องทำ

 เมื่อมีลูกแล้วก็ต้องเป็นความรับผิดชอบ

ที่ต้องเลี้ยงดูลูกให้ดี ไม่ให้ไปตกทุกข์ยากลำบาก

 เวลามีปัญหาอะไรก็ต้องพยายามมาช่วยเหลือ

 แต่คนอื่นไม่มีใครเขาทำอย่างนี้กับเราหรอก

ไม่มีใครเขาจะคอยดูแลเราช่วยเหลือเรา ไม่มี

 และก็ไม่ได้หวังอะไรจากเราเป็นผลเป็นสิ่งตอบแทน

 แต่เราควรที่จะรำลึกถึงพระคุณ

ของคนที่มีพระคุณกับเรา แล้วถ้าตอบแทนได้

 ตอบแทนบุญคุณได้ก็จะดี จะทำให้พ่อแม่

หรือคนที่มีพระคุณนี้เขามีความปลื้มอกปลื้มใจ

มีความสุขใจ เขาไม่ได้สุขใจจากสิ่งที่เราให้เขาหรอก

 แต่เขาได้จากความที่เรามีจิตสำนึกที่เรามี

 ความดีงามในตัวเรา ทำให้เขาเหมือนกับว่า

ไม่เสียกำลังใจที่ได้ปั้นคนดีขึ้นมา

 ได้สร้างคนดีขึ้นมา ทำให้เขาไม่เหน็ดเหนื่อย

 เหมือนกับเราทำงานแล้วได้ผลงานดี

 ได้รับรางวัลนี้เราก็จะมีความสุขใจ

รางวัลของพ่อของแม่ ของผู้มีพระคุณ

 ก็คือ การทดแทนบุญคุณของเราต่อพ่อแม่

ต่อผู้มีพระคุณ การทดแทนก็มีหลายวิธี

 การทำตัวเราให้เป็นคนดี สมมุติว่าเราไม่มีปัญญา

ที่จะให้เงินให้ทองพ่อแม่มากมาย

 อย่างน้อยเราทำตัวเราให้เป็นคนดี

 ก็เป็นการทดแทนบุญคุณ

 ทำให้พ่อแม่ไม่ต้องมาหนักอกหนักใจกับเรา

 ทำตัวเราไม่ให้ไปมีปัญหา เช่น ไม่ไปทำบาป

ไม่ไปทำผิดกฎหมาย รักษาชื่อเสียงของตระกูล

 อันนี้ก็เป็นการทดแทนบุญคุณอย่างหนึ่งเหมือนกัน

 หรือเคารพพ่อแม่ ก็เป็นการทดแทนบุญคุณ

ให้ความเคารพพ่อแม่เวลาพ่อแม่ดุด่าว่ากล่าวตักเตือน

ก็ควรที่จะน้อมรับมา ไม่ควรที่จะโต้เถียง

เวลาพ่อแม่พูดว่าเราหรือบอกอะไรเรานี้

 ถือว่าเป็นการสั่งสอน เหมือนพระสงฆ์องค์เจ้า

กำลังสั่งสอนเรา ท่านสอนด้วยความเมตตา

 ท่านสอนด้วยความปรารถนาดี

เมื่อท่านเห็นว่าเราทำอะไรไม่ถูก

 ก็ต้องว่ากล่าวตักเตือนกัน

 เพราะถ้าไม่ว่ากล่าวตักเตือนแล้ว

ใครจะมาว่ากล่าวตักเตือนล่ะ เป็นหน้าที่ของพ่อแม่

 พ่อแม่นี้เป็นครูอาจารย์คนแรกของลูกๆ

 เราเรียนรู้อะไรต่างๆ จากพ่อแม่มามากมาย

 ภาษานี้เราก็เรียนจากพ่อจากแม่

 ที่เราจะพูดได้นี้ก็อาศัยพ่อแม่คอยเป็นคนสั่งสอน

 วิธีกินวิธีอยู่ วิธีหลับวิธีนอน มารยาทต่างๆ

 เพราะพ่อแม่เป็นคนสอนเราทั้งนั้นแหละ

ฉะนั้น เวลาพ่อแม่พูดอะไร ถึงแม้ไม่ถูกใจเรา

 เราก็ต้องสำรวมอาการกิริยาความไม่พอใจ

 มันเป็นเรื่องที่เป็นธรรมดา

เวลาใครเขาพูดอะไรไม่ถูกใจเรา

 เราก็อาจจะโกรธได้ แต่เราต้องมีสติ

 เวลาที่เราอยู่ต่อหน้าพ่อแม่

ให้คิดว่าเรากำลังอยู่ต่อหน้าพระสงฆ์องค์เจ้า

 ต่อคนที่สำคัญ เช่น อยู่ต่อหน้าพระเจ้าแผ่นดิน

 เราจะไม่แสดงอาการอะไรออกมา

 ถึงแม้ว่าเราอาจจะไม่พอใจ เราก็ต้องอดทนอดกลั้น

 ฟังอย่างเดียว พ่อแม่สั่งพ่อแม่สอนนี้ไม่ควรไปเถียง

 จะถูกจะผิดนั้นค่อยมาพิจารณากันอีกที

ถ้าสิ่งที่พ่อแม่สอนผิดก็ไม่ต้องทำตามก็ได้

 เช่น ถ้ามาสอนให้ไปฉ้อโกง ไปลักทรัพย์อย่างนี้

 ถ้าสอนอย่างนี้ก็ไม่ต้องทำตามก็ได้

แต่เวลาที่ท่านสอนไม่ต้องไปเถียงท่าน

 ปล่อยให้ท่านพูดไป แล้วเราก็มาพิจารณาของเราดูอีกที

 ว่าถูกหรือไม่ถูก ควรจะทำหรือไม่ทำ

การไม่ทำตามพ่อแม่เพราะมันไม่ถูกนี้ ไม่บาป

ไม่เสียหาย ไม่ได้เป็นความอกตัญญูแต่อย่างใด

 หรือการไม่ได้ทำตามที่สิ่งถูกต้อง

ก็ไม่ได้เป็นการอกตัญญู

 บางทีเราอาจจะไม่มีปัญญาทำตามก็ได้

 ก็ทำเท่าที่เราจะทำได้ก็แล้วกัน

 แต่ข้อสำคัญไม่ควรไปตอบโต้ โต้เถียง

 หรือด่าพ่อด่าแม่ ว่าพ่อว่าแม่ อันนี้แหละไม่ควร

 แสดงถึงความไม่มีความกตัญญู ไม่มีความเคารพ

 เวลาพ่อแม่พูดอะไรก็ต้องครับอย่างเดียวผมอย่างเดียว

 หรือไม่ก็เฉยๆ ฟังไป เพราะพ่อแม่

ไม่ต้องการอะไรจากเราหรอก ต้องการให้เราเป็นคนดี

 เพราะการเป็นคนดีทำให้เรามีความสุขนั่นเอง.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

...........................

สนทนาธรรมบนเขา

วันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๖๐








ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 12 สิงหาคม 2561
Last Update : 12 สิงหาคม 2561 6:21:40 น.
Counter : 428 Pageviews.

0 comment
<<< " ต้องแก้ที่ตัวเราอย่าไปแก้ที่คนอื่น " >>>










"ต้องแก้ที่ตัวเราอย่าไปแก้ที่คนอื่น"

เราต้องแก้ที่ตัวเรา เราอย่าไปแก้ที่ดินฟ้าอากาศ

 เราอย่าไปแก้ที่คนอื่น อย่าไปแก้ที่สามี

 แก้ที่ใจเรา แก้ที่ความอยากของเรา

 ความทุกข์ของเราเกิดจากความอยากของเรา

อยากให้สามีไม่ดื่มเหล้า พอเขาไม่เลิกดื่มก็ทุกข์

ก็ไม่สบายใจ ไม่พอใจ แต่ถ้าเรากลับมาเปลี่ยนดูว่า

เขาเป็นเหมือนลมพัด เราไปสั่งลมไม่ให้พัดไม่ได้

ก็เหมือนกับเราสั่งให้สามีไม่ไปดื่มเหล้าไม่ได้

 พอเรารู้ สั่งเขาไม่ได้ เราก็หยุดสั่ง หยุดอยาก

 พอเราหยุดความอยาก เขาจะดื่มก็เรื่องของเขา

 เราก็ไม่เดือดร้อน นี่คือเรื่องวิธี

ที่เราจะทำให้เราดับความไม่สบายใจ

เกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ได้หมด

 เพราะเรื่องของความไม่สบายใจของเรา

 เกิดจากความอยากของเรา

ที่จะไปอยากให้คนนั้นคนนี้ สิ่งนั้นสิ่งนี้

 เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้กันทั้งนั้นแหละ

 ถ้าเราไม่มีความอยาก มันก็จะไม่มีปัญหาเลย

 นี่ถ้าเรามีสมาธิแล้วมีปัญญา

 เราก็จะหยุดความอยากได้ แต่ถ้าเราไม่มีสมาธิ

ถึงแม้รู้ว่าเป็นความอยากของเรา

ที่ทำให้เราทุกข์ เราก็ยังห้าม ยังอดอยากไม่ได้

 ก็ยังอยากให้เขาไม่ดื่มสุราอยู่

ทั้งๆ ที่รู้ว่าอยากไปก็ไม่ได้ดั่งใจอยาก

 แต่ก็ยังอยากอยู่นั่น พออยากทีไร ไม่สบายใจทุกที

 จนกว่าสักวันหนึ่งมีสมาธิ

 พอจิตมีสมาธิ จิตนิ่งสงบแล้ว

ทีนี้ก็จะหยุดได้ มันจะดื่มก็ดื่มไป

 ฉันไม่มีความอยากด้วย

ฉันไม่อยากจะทุกข์ด้วยล่ะ ฉันเฉยๆ ดีกว่า

นี่คือ ปัญญากับสมาธิ ถ้ามีสองอย่างแล้ว

ก็จะสามารถทำลายความทุกข์ต่างๆ

ให้หมดไปจากใจได้

 ถ้ามีเพียงสมาธิก็หยุดได้ชั่วคราว

เวลาไม่สบายใจกับเรื่องสามี ก็ไปนั่งสมาธิ

พอนั่งสมาธิแทนที่จะคิดถึงสามี

 ก็คิดถึงพุทโธพุทโธแทน

 พออยู่กับพุทโธพุทโธแทน ก็ลืมเรื่องสามีไป

พอลืมเรื่องสามีไป ความทุกข์กับสามีก็หายไป

 แต่ถ้าอยากจะไม่ทุกข์กับสามีเลย

 เวลามองหน้าสามี

 ก็มองให้เขาเป็นเหมือนดินฟ้าอากาศไป.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

............................

สนทนาธรรมบนเขา

วันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๐






ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 11 สิงหาคม 2561
Last Update : 11 สิงหาคม 2561 10:32:46 น.
Counter : 465 Pageviews.

0 comment
<<< "ทำบาปแล้วมันทุกข์" >>>









“ทำบาปแล้วมันทุกข์”

ให้เรามานั่งสมาธิกัน

เห็นไหมพระพุทธเจ้านี่ท่านนั่งสมาธิ

 เห็นไหมกราบพระพุทธเจ้าทีไร

เห็นท่านนั่งอยู่ในท่าอื่นหรือเปล่า ท่านสอนเราทุกวัน

 แต่เราไม่มองกันไม่รู้กันว่า ท่านสอนให้เรานั่งสมาธิ

ทำไมเราไม่ถามว่า

 ทำไมพระพุทธเจ้าจึงนั่งอยู่ในท่าสมาธิ

 นักปราชญ์เขาสอนเรา สร้างพระพุทธรูปขึ้นมา

ให้เราเห็นพระพุทธเจ้า ให้เห็นว่า

พระพุทธเจ้าตอนนี้ท่านทำอะไร ท่านนั่งสมาธิกัน

แล้วเรานั่งสมาธิกันหรือเปล่า

วันหนึ่งนี้เรานั่งสมาธิกันได้สักกี่นาที

 ความสุขอยู่ตรงนี้กลับไม่เอา

 กลับไปหาความทุกข์กัน แล้วก็มาร้องห่มร้องไห้

 มาโวยวายกันว่าไม่มีความสุขเลยหาความสุขไม่เจอ

 เพราะว่าไม่สนใจที่จะดูพระพุทธเจ้าเป็นตัวอย่าง

 ไม่สนใจที่จะฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า

 ไม่สนใจที่จะปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า

นี่แหละถ้าเราอยากจะมีตาดีเหมือนพระพุทธเจ้า

 เราต้องมาศึกษาจากคำสอนของพระพุทธเจ้า

 ถึงแม้ว่าตอนนี้จะไม่มีพระพุทธเจ้าอยู่แล้วก็ตาม

 แต่เรามีตัวแทนของพระพุทธเจ้าอยู่

พระพุทธเจ้าบอก

 คำสอนที่พระพุทธเจ้าได้สอนพวกเรานี้

จะเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้า

 เป็นเหมือนพระพุทธเจ้า ถ้าได้ยินได้ฟังคำสอน

หรือได้อ่านคำสอน ได้ศึกษาคำสอน

ก็เท่ากับได้ยินจากปากของพระพุทธเจ้าโดยตรง

 เพราะว่าถ้าพระพุทธเจ้าอยู่ ท่านก็จะสอนอย่างที่

พระธรรมคำสอนที่เราอ่านเราฟังนี้สอนเหมือนกัน

สอนอะไรสอนให้ทำสามอย่าง

 วิธีที่จะทำให้เรามีความสุขไม่มีความทุกข์

ท่านสอนให้เราทำสามอย่าง

หนึ่งละการกระทำบาปทั้งปวง อย่าทำบาป

 ทำบาปแล้วมันทุกข์

ทั้งๆ ที่รู้ว่ามันทุกข์ก็ยังอดทำไม่ได้

 เพราะคิดว่ามันดีกว่าไม่ทำ

 มันทุกข์น้อยกว่าที่เราไม่ได้ทำบาป

 เวลาเราไม่สบายใจ บางทีเราต้องโกหกใช่ไหม

 พอโกหกแล้วเราก็รู้สึกเราสบายใจขึ้น

 แต่สบายใจเดี๋ยวเดียว เดี๋ยวก็ ความกลัวว่าเขาจะรู้

ว่าเราโกหกนี้มันก็โผล่ขึ้นมาในใจ

 ยิ่งทำให้ไม่สบายใจใหญ่ ถ้ายอมสารภาพผิด

 ก็เหมือนกับสบายใจกว่า ยอมรับผิดไป

 ขโมยของเขามา เขาถามว่าไปขโมยมาหรือ

 รับไปเลย เออขโมย ยอมรับโทษ แล้วใจจะสบาย

ใจจะไม่หวั่นไหวใจจะไม่เดือดร้อน ไม่กังวล

 แต่ถ้าไปโกหกนี่มันจะไม่สบายใจอยู่เรื่อยๆ

 เพราะว่ามันกลัวว่าจะถูกจับได้อยู่ดี

นี่คือตัวอย่างของการทำบาป

 ทำบาปแล้วจะทำให้เราไม่สบายใจ

ฉะนั้น อย่าไปทำบาป บาปก็มีอยู่ห้าข้อด้วยกัน

 การฆ่าสัตว์ทำลายชีวิตของผู้อื่น

 ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์เดรัจฉานก็ตาม

 มดแมลงนี้เขาก็มีชีวิตเขาก็รักชีวิตเหมือนเรา

 ถึงแม้ว่าตัวเขาจะเล็กแต่ใจเขานี้ใหญ่เท่ากับเรา

 ใจเขากลัวตายเท่ากับเรา ใจเขาเสียใจเท่ากับเรา

 ฉะนั้นอย่าไปเห็นว่าตัวเขาเล็ก

แต่ใจเขานี้ขนาดเดียวกับเรา

ใจเขากับใจเรานี้เหมือนกัน

เพียงแต่ร่างกายนี้ต่างกันเท่านั้น

ขนาดต่างกันแต่ความรู้สึกทางใจนี้เหมือนกัน

 เวลาเขาถูกฆ่าเขารู้สึกยังไง

เรารู้สึกอย่างไรก็เหมือนกัน ฉะนั้น ให้คิดอย่างนี้

 แล้วเราจะได้มีความเมตตา

 เราจะได้ไม่อยากที่จะฆ่าเขา

 ทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทองก็เหมือนกัน

ของเรา เราก็รักเราก็หวงของเรา

เขาก็รักเขาก็หวง ถ้าใครเอาของเราไป

เราจะรู้สึกอย่างไร เราจะเสียใจไหม

 ฉันใดก็ฉันนั้น เงินทองของเขาเราก็อย่าไปเอา

 เพราะจะไปทำให้เขาเสียใจ ทุกข์ใจ

 ทำให้เขาเดือดร้อน

แล้วเขาก็จะมาตามล้างแค้นเราตามจับเรา

เวลาเราเงินทองหายเราทำอย่างไร

 เราต้องพยายามหาคนที่ขโมย

ไปแจ้งความไปอะไรต่างๆ

คนที่ขโมยก็จะหวาดเสียวหวาดกลัว

ต้องคอยหลบคอยซ่อน นี่คือความทุกข์ใจ

 ความประพฤติผิดประเวณีก็เหมือนกัน

สามีภรรยาก็เป็นเหมือนทรัพย์สมบัติ

ข้าวของเงินทอง ไปแย่งสามีของคนอื่น

 ไปแย่งภรรยาของคนอื่น

 มันก็เป็นเหมือนกับไปแย่งทรัพย์สมบัติของคนอื่นเขา

 เหมือนกับไปขโมยทรัพย์สมบัติของคนอื่น

 ไปแอบประพฤติผิดประเวณี อันนี้ก็ไม่ควรทำ

ทำแล้วเราก็จะไม่สบายใจ

 เดี๋ยวเราก็กลัวว่าเขาจะรู้เข้า

ความโกหกก็เหมือนกัน

เวลาโกหกแล้วเราจะไม่สบายใจ

 ส่วนการดื่มสุรานี้ มันเป็นบาปตรงที่ว่า

 ถ้าดื่มแล้วมันจะทำให้เราทำบาปได้ง่าย

 เวลาเมาแล้วมันไม่รู้จักยับยั้ง ความคิด

ไปคิดจะทำอะไรมันก็ทำได้ง่าย

 แต่ถ้าเมาแล้วดื่มแล้วหลับก็ไม่มีปัญหาอะไร

ไม่ได้ไปสร้างอะไรกับใคร แต่ถ้าดื่มแล้วไม่หลับ

 เดี๋ยวไปเห็นอะไรเข้า ไปทำอะไร

ไปอยากจะทำอะไรขึ้นมาก็ได้

เห็นภรรยาเห็นสามีของคนอื่น

นี้ก็อยากจะไปหลับนอนกับเขาขึ้นมาก็ได้

 เวลาไม่เมาไม่กล้าคิด

 แต่พอเวลาเมาแล้วมันกล้าคิด

เพราะไม่มีอะไรมายับยั้ง

 ไม่มีสติมายับยั้งความคิดที่ไม่ดี

 ฉะนั้น ท่านจึงให้อย่าดื่มสุรา

เพราะถ้าดื่มสุราแล้วมันจะไปคิดในทางบาปได้ง่าย

 แล้วมันจะไปทำบาปได้ง่ายนั่นเอง

 นี่คือบาปห้าข้อ ละเว้นจากการกระทำบาปทั้งปวงนั้น

นอกจากบาปแล้ว ก็ยังมีรุ่นน้องของบาป

หรือผู้ช่วยบาปที่เราเรียกว่าอบายมุข

พวกผู้ช่วยนี่แหละ

ที่มันจะเป็นตัวที่ทำให้เราไปทำบาป

ช่วยให้เราทำบาป คือการเล่นการพนัน

 การเที่ยวกลางคืน การคบคนไม่ดีเป็นมิตร

 ความเกียจคร้าน พวกนี้

มันจะช่วยทำให้เราไปทำบาป

 ถ้าเราเกียจคร้าน เราไม่ไปทำการทำงาน

เราไม่ไปเรียนหนังสือ เราก็จะหางานยาก

งานที่หาได้ก็รายได้น้อย

 เราขี้เกียจทำงานแต่เราขยันใช้เงิน

 ฉะนั้น เงินทองที่เราหามาได้น้อย มันก็ยังไม่พอใช้

 เงินทองไม่พอใช้ เดี๋ยวมันก็บอกให้เรา

ไปขโมยเงินคนอื่นเขามาใช้

 นี่คือผู้ช่วยของผู้กระทำบาป

เรียกว่าอบายมุข ก็ต้องละทั้งอบายมุข

ละทั้งการกระทำบาปเพราะการกระทำอบายมุข

 นำไปสู่การทำบาปต่อไป.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

................................

สนทนาธรรมบนเขา

วันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๖๐ 






ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 10 สิงหาคม 2561
Last Update : 10 สิงหาคม 2561 6:08:21 น.
Counter : 385 Pageviews.

0 comment
<<< "ความสุขจากความว่าง " >>>









“ความสุขจากความว่าง”

นิพพานัง ปรมัง สุญญัง นิพพานัง ปรมัง สุขัง

นิพพานคือจิตที่ปราศจากความอยากนี้

 จะอยู่กับความว่างอันยิ่งใหญ่

 และจิตที่อยู่กับความว่างอันยิ่งใหญ่นี้

 จะมีความสุขอย่างยิ่ง นี่คือความหมายของ

นิพพานัง ปรมัง สุญญัง นิพพานัง ปรมัง สุขัง

 ความสุขที่ไม่ต้องใช้ ลาภ ยศ สรรเสริญ

 ไม่ต้องใช้ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ

ไม่ต้องใช้คนนั้นคนนี้ ไม่ต้องใช้ร่างกาย

 ไม่ต้องมีร่างกาย การไม่มาเกิดนี้

ไม่ได้หมายความว่าพระพุทธเจ้าพระอรหันต์

จะหายไปไหน ท่านก็อยู่

เหมือนสมัยที่มีร่างกายนั่นแหละ

 เพียงแต่ว่าพอร่างกายอันนี้หมดไปแล้ว

ท่านก็ไม่หาร่างกายอันใหม่มาทดแทนเท่านั้นเอง

 ไม่เหมือนพวกเราที่ยังอยู่เหมือนกัน

 แต่อยู่แบบต้องมีร่างกาย

 แล้วก็ต้องมาทุกข์กับร่างกาย

 ทุกข์กับความแก่ ทุกข์กับความเจ็บ

ทุกข์กับความตาย ทุกข์กับการเกิด

เพราะเกิดแล้วก็ต้องมาเลี้ยงดูร่างกาย

ต้องมาต่อสู้กับภัยต่างๆ ปกป้องรักษาร่างกาย

 มีแต่ความทุกข์ตลอดเวลา กินไม่ได้นอนไม่หลับ

ก็เพราะร่างกายอันนี้ พอไม่มีร่างกายนี้แล้ว

 นอนหลับสบาย ไม่ต้องกังวล

นี่คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสอน

 และทรงต้องการให้พวกเราปฏิบัติกัน

ก็คือให้พวกเรามาหาความสุขจากความว่างกัน

 ด้วยการเจริญ ทาน ศีล ภาวนา กัน

ถ้าพวกเราทำได้อย่างเต็มรูปแบบ

 รับรองได้ว่าเราจะได้รับผลอย่างแน่นอน

 เพราะผู้ที่ได้รับผลมาแล้ว

ก็เป็นผู้ที่บำเพ็ญทาน ศีล ภาวนา

ทั้งนั้นแต่บำเพ็ญทาน ศีล ภาวนา

 แบบเต็มร้อย พวกเราตอนนี้มันแค่ร้อยละสิบ

 มันถึงไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่ ถ้าอยากจะได้ผล

ก็ต้องเพิ่มให้เป็นเต็มร้อย ถ้าเต็มร้อยเมื่อไหร่

แล้วผลอันยิ่งใหญ่อันประเสริฐ

 คือ นิพพานัง ปรมัง สุขัง นิพพานัง ปรมัง สุญญัง

ก็จะเป็นผลที่จะตามมาอย่างแน่นอน

 ดังนั้น ขอให้พวกเรามีความเชื่อมั่น

ในพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า

 และขอให้น้อมนำเอาไปปฏิบัติอย่างเต็มที่เถิด

และผลอันวิเศษอันเลิศนี้

ก็จะเป็นผลที่จะเกิดขึ้นแก่ท่านอย่างแน่นอน.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

...................................

ธรรมะบนเขา

วันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๖๐






ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 09 สิงหาคม 2561
Last Update : 9 สิงหาคม 2561 13:10:37 น.
Counter : 357 Pageviews.

0 comment
<<< " ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรมชาติ " >>>









"ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรมชาติ”

ก็เป็นอนิจจัง อันนี้ก็ ก็ให้เรา ถ้าเราทุกข์กับมัน

ก็แสดงว่าเราไม่เห็นว่ามันเป็นอนิจจัง

ถ้าเราไม่ทุกข์กับมันก็แสดงว่า

เราเห็นว่ามันเป็นอนิจจัง

 มันก็มีเกิดมีดับ มีขาดๆ หายๆ

 นี่คือสิ่งต่างๆ ในโลกนี้ เราจะไปหวังให้มันราบรื่น

ไปตลอดทุกวันทุกเวลาไม่ได้

บางเวลามันก็ไม่ราบรื่น บางเวลามันก็ขรุขระ

 เหมือนขับรถบนท้องถนนนี้บางทีมันก็ไม่ได้วิ่งไปตลอด

 บางทีก็มีรถติด บางทีถนนก็ชำรุด มีหลุมมีบ่อ

อันนี้ทุกอย่างในโลกนี้มันเป็นอย่างนี้

ไม่มีอะไรดีร้อยเปอร์เซ็นต์ไปตลอดเวลา

ไม่มีอะไรมันเลวร้ายไปตลอดเวลา

มันมีทั้งดีมีทั้งไม่ดีสลับกันไปมาในชีวิตของเรา

 ถ้าเราอยากให้เราราบรื่น คือจิตของเราไม่วุ่นวาย

 เราก็ต้องหัดรับกับสิ่งต่างๆ อย่าไปยึดไปติด

ว่าจะต้องให้มันดีอย่างเดียว

 หรือจะต้องไม่ให้มีอะไรไม่ดีเลย

มันก็ต้องมีบ้างทั้งดีและไม่ดี

 ถ้าไม่อยากจะเจอเรื่องราวเหล่านี้ก็อย่ามาเกิด

 ถ้าไม่เกิดแล้วรับรองก็ไม่ต้องเจอเรื่องราวเหล่านี้

พระพุทธเจ้าพระอรหันต์ก็สาวกนี้

ท่านไม่ต้องมาเจอเรื่องราว

อย่างที่พวกเราเจอกันอยู่ทุกวันนี้

ท่านก็เคยเจอมา แต่ท่านเข็ดแล้วท่านเบื่อแล้ว

 ท่านก็เลยไม่กลับมาเกิด

แต่พวกเราไม่รู้เข็ดหรือยังเบื่อหรือยัง

 ปากก็บ่นไปอย่างนั้นน่ะ แต่เดี๋ยวก็กลับมาอีก

บ่นว่าอย่างโน้นอย่างนี้

เดี๋ยวพอไม่เห็นหน้ากันสักพักก็คิดถึงกันอีกแล้ว

 พอเจอหน้ากันก็เดี๋ยวก็ทะเลาะกันอีกแล้ว

 เดี๋ยวพอทะเลาะกันก็หนีกันไปแยกกันไป

 แยกกันไปไม่กี่วัน คิดถึงกันอีกแล้ว

 กลับมาหากันอีกแล้ว ลืมเรื่องที่ทะเลาะกันซะแล้ว

 เนี่ยใจเรามันเป็นอย่างเนี้ย มันเป็นใจที่ลืมง่าย

 ลืมความทุกข์ง่าย ถึงกลับมาหาความทุกข์อยู่เรื่อยๆ

โดยไม่เคยจดไม่เคยจำ

 เพราะเวลาคิดถึงก็คิดถึงแต่ความสุขที่เขาจะให้เรา

 ลืมความทุกข์ที่เขาให้เรา

พอมาหาเขาได้ความสุขเดี๋ยวเดียว

 เขาให้ความทุกข์กลับมาอีกแล้ว

 พอให้ความทุกข์ก็หนีไปอีกแล้ว

 เนี่ยเราชอบลืมความทุกข์กัน

 เกลียดความทุกข์เลยไม่พยายามคิดถึงมัน

 พยายามลืมๆ มัน แล้วก็เลยต้องเจอมันอยู่เรื่อยๆ

 พวกเรามันไม่เข็ด ไม่กลัวความทุกข์กัน

อนิจจัง อนัตตา ก็คือเราไปควบคุมบังคับมันไม่ได้

ของทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นเหมือนธรรมชาติ

 เป็นธรรมชาติ แต่เราก็แยกมัน

ว่ามันไม่ใช่เป็นธรรมชาติ

เราก็แยกว่าของที่เราควบคุมบังคับได้บางเวลา

 ว่าไม่ใช่ธรรมชาติ เช่นร่างกายเรา

เราก็ยังไม่ถือว่ามันเป็นธรรมชาติ

 เราถือว่ามันของเรา เพราะเราควบคุมมันได้

 ตอนนี้เราสั่งมันได้ สั่งให้มันกินข้าวได้

 สั่งให้มันอาบน้ำได้ สั่งให้มันไปไหนมาไหนได้

เราก็เลยคิดว่ามันไม่ใช่เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ

 แต่วันหนึ่ง วันดีคืนดีมันก็สั่งไม่ได้

มันอยากจะไม่สบายขึ้นมานี้เราก็สี่งให้มันไม่

 ไม่ให้ไม่สบายก็ไม่ได้ มันก็จะไม่สบาย

 อันนี้มันจะเริ่มเห็นว่าเป็นธรรมชาติแล้ว

 เหมือนฝนตกมันจะตกไปห้ามมันไม่ได้

ร่างกายมันจะเจ็บไข้ได้ป่วยเราก็ไปห้ามมันไม่ได้

ท่านจึงสอนให้เรามองให้เห็นว่า

ทุกอย่างในโลกนี้เป็นธรรมชาติหมด

 แม้แต่ร่างกายของเราหรือแม้แต่สินค้าต่างๆ

ที่เราซื้อกันนี้ ก็เป็นธรรมชาติทั้งนั้น

 เป็นสิ่งที่เราควบคุมได้ในบางเวลา

 แต่มีเวลาใดเวลาหนึ่งที่เราจะต้องควบคุมไม่ได้

 เช่นให้มันอยู่กับเราไปตลอด

เดี๋ยววันดีคืนดี ใครขโมยไป มันก็หายไปแล้ว

จากเราไปแล้ว หรือให้มันใช้ได้ดีไปตลอด

 วันดีคืนดีเปิดเครื่องมาก็ใช้ไม่ได้ อ้าวทำไมใช้ไม่ได้

 ทีนี้ก็ต้องไปค้นหาสาเหตุแล้ว

 แบตหมดเหรอ แบตหมดก็ต้องไปเปลี่ยนแบต

ถ้าเปลี่ยนแบตแล้วยังใช้ไม่ได้

 อย่างนี้ก็ต้องให้ช่างเขาดูสิว่าเป็นอะไร

 มันมีแต่หลายสาเหตุด้วยกัน นะ

ฉะนั้น พยายามมองทุกอย่างว่าเป็นธรรมชาติ

 จะสบายใจ เพราะอะไร

เราจะได้ไม่ไปหวังอะไรจากมันมาก

 เราไม่ได้หวังอะไรจากฝนฟ้าอากาศมาก

 มันจะตกก็ปล่อยมันตกไป มันไม่ตกก็เรื่องของมัน

 แดดจะออกหรือแดดไม่ออก

ก็ไม่ได้ไปหวังอะไรจากมัน

 หวังก็ไม่ได้ ก็เลยไม่หวังดีกว่า

จะได้ไม่ผิดหวัง ถ้าหวังแล้วไม่ได้ก็จะผิดหวัง

นี่คือหลักของความคิดที่จะทำให้ใจเราสบาย

ทำให้ใจเราไม่เสียใจ ไม่วุ่นวาย ไม่วิตก

ไม่เครียด ไม่กังวล ก็คือมองว่าทุกสิ่งทุกอย่างนี้

มันเป็นอย่างนี้แหละ อย่าไปอยากให้มันเป็นอย่างนั้น

 ตอนนี้มันเป็นอย่างนี้ ตอนนี้แสงสว่างมีแค่นี้

ลมพัดแค่นี้ จะไปอยากให้มันสว่างกว่านี้

หรือให้ลมพัดแรงกว่านี้ มันก็ไม่ได้ดั่งใจอยาก

 อยากไปก็จะเสียใจไปเปล่าๆ วุ่นวายใจไปเปล่าๆ

 ฉะนั้น หัดทำใจให้รับกับสภาพความเป็นจริง

ได้ทุกเวลานาที ตอนนี้เป็นอย่างนี้ก็เอาอย่างนี้แหละ

เดี๋ยวพรุ่งนี้เป็นอย่างนั้นก็เอาอย่างนั้นต่อ

 มันจะเป็นยังไงก็เอากับมัน

ร่างกายมันจะเป็นยังไงก็เอากับมัน

ตอนนี้มันไม่เจ็บก็ไม่เจ็บ เดี๋ยวมันเจ็บก็ให้มันเจ็บไป

 เดี๋ยวมันจะตายก็ให้มันตายไป

 ถ้าเรารับกับเหตุการณ์ได้ คือปล่อยวางได้

 เราก็ไม่ทุกข์กับมัน ที่เราทุกข์

เพราะเราไม่ยอมรับเหตุการณ์

เราอยากจะเปลี่ยนมัน

 เช่นเวลาเจ็บก็อยากจะให้มันหาย

 พอมันไม่หายมันก็ทุกข์ขึ้นมาเท่านั้นเอง

 ถ้ายอมให้มันเจ็บมันก็ยังไม่ทุกข์.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

..................................

ธรรมะบนเขา

วันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๖๑






ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 08 สิงหาคม 2561
Last Update : 8 สิงหาคม 2561 6:45:35 น.
Counter : 430 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ