"สักแต่ว่ารู้"
วันนี้เราก็มากับการแปรปรวนของอากาศ (ฝนตก)
ชีวิตของเราก็เหมือนกับอากาศ บางวันก็แจ่มใส
บางวันก็มีพายุฝน พายุลมเข้ามากระหน่ำ
มันเป็นเรื่องปกติเรื่องธรรมดาของชีวิตเรา
เกิดแล้วต้องมาประสบกับการเปลี่ยนแปลง
ของสิ่งต่างๆ ทั้งหลายในโลกนี้
ซึ่งเป็นเรื่องปกติเป็นเรื่องธรรมดา
เป็นเรื่องที่คนที่มาเกิดต้องยอมรับกันทุกคน
ถ้ารับได้ก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้ารับไม่ได้
ก็จะไม่มีความสุขจะวุ่นวายทุกข์ทรมานใจ
พระพุทธเจ้าจึงสอนให้พวกเรายอมรับ
กับสภาพของความเป็นจริง
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม จะเจริญหรือเสื่อม
จะเกิดหรือจะดับว่า เป็นสิ่งที่เรา
ไม่สามารถควบคุมบังคับได้
สิ่งเดียวที่เราสามารถควบคุมบังคับได้คือใจของเรา
ถ้าเราควบคุมบังคับใจของเรา
ให้ตั้งอยู่ในความสงบได้
ใจของเราก็จะไม่เดือดร้อนกับเหตุการณ์ต่างๆ
ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ที่ดี
หรือเหตุการณ์ที่ไม่ดีก็ตาม
เพราะใจไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์นั้น
ใจเป็นเพียงผู้รับรู้ ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์คือร่างกาย
แต่ร่างกายเขาก็ไม่มีการรับรู้
ร่างกายเขาเป็นเหมือนศาลาหลังนี้
เวลาที่ฝนตกศาลาไม่รู้ว่าฝนตก
แต่คนที่อยู่ในศาลาคือใจ
ที่รับรู้เรื่องของร่างกายเป็นผู้รู้
แต่ไม่รับรู้ผลกระทบจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
เหมือนคนที่นั่งในศาลาก็ไม่รับรู้
ถึงความเปียกเหมือนหลังคาศาลา
แต่หลังคาของศาลาเขาไม่เดือดร้อนกับฝนตก
ปล่อยฝนตกไป เปียกก็เปียกไป
คนที่อยู่ในศาลาถ้าไม่ต้องการให้ฝนตก
ต้องการให้ฝนหยุด ก็จะเดือดร้อนใจขึ้นมา
แต่ถ้า ไม่ได้ต้องการ ฝนจะตกก็ปล่อยตกไป
เพราะว่าไปห้ามเขาไม่ได้ ใจก็จะไม่เดือดร้อน
อย่างตอนนี้พวกเรานั่งอยู่ในศาลาเรา
ก็ไม่เดือดร้อนกับการตกของฝน
ฝนจะตกก็ปล่อยตกไป
ถ้าเราอยากจะให้เขาหยุดเราก็จะเดือดร้อน
ดังนั้น เราต้องฝึกทำใจให้รับรู้เฉยๆ
เพราะนี่คือธรรมชาติของใจที่จะทำให้ใจไม่เดือดร้อน
ทำให้ใจไม่ทุกข์ไม่วุ่นวายกับเรื่องราวต่างๆ
คือสักแต่ว่ารู้เท่านั้นเอง.
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
...........................
ธรรมะบนเขา
วันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๕๖
ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ