Group Blog
All Blog
### ลาก่อนไวรัสตับอักเสบบี เธอพ่ายแพ้ฉันซะแล้ว ###








ฉันเป็นโรคไวรัสตับอักเสบ บี มานานเป็นสิบปี

เริ่มแรกเมื่อฉันตรวจพบโรคนี้ก็ตอนที่

ฉันได้ลูกคนที่ 3  แล้ว ก็ประมาณ 30 ปีเศษแล้วละ

คุณหมอแนะนำให้ตรวจไวรัสตับอักเสบบี 

เพราะตอนคลอดลูกคนที่  3 นี้ได้คุยกับคุณหมอ

เรื่องการฉีดวัคซีนต้านไวรัสตับอักเสบ บี

ของลูกคนเล็ก และเลยเล่าเรื่องว่าแม่เราเป็นมะเร็งตับ

เท่านั้นแหละ  คุณหมอแนะนำให้เจาะเลือดตรวจทันที

และผลออกมาก็เป็นที่น่าพอใจว่าในตัวเราเจ้าไวรัส

ตับอับเสบ บี เขาได้เข้ามาใช้ชีวิตร่วมกับเราเมื่อไรไม่รู้

เมื่อรู้ผลว่าเราเป็นไวรัสตับอักเสบ บี แล้ว

คุณหมอจึงจัดการนำทุกคนในบ้าน

ตรวจไวรัสตับอักเสบ บีทุกคน

ผลปรากฎว่า  พ่อเด็กไม่มีไวรัสและมีภูมิคุ้มกัน

  ลูกคนโตมีไวรัสตับอักเสบ บี เหมือนแม่

ลูกคนที่สองไม่มีแต่ไม่มีภูมิต้านทาน

จึงฉีดยาต้านไวรัส

ส่วนลูกคนเล็กเขาเพิ่งเกิดหมอได้ฉีดยาให้แล้ว

ผลการตรวจของเราคุณหมอได้บอกว่า

เราติดไวรัสบีตามสายเลือดแม่ 

แต่ไม่ได้ติดต่อคนอื่น 

นอกจากสายเลือดของเราเองก็คือลูก

แต่ไม่ต้องตกใจเพราะเจ้าไวรัสนั้น

เขาก็อยู่ของเขาไป

เราต้องพักผ่อนมากๆ

ไม่งั้นเขางอนเขาก็จะเล่นงานเรา

เมื่อได้ฟังดังนั้นเราก็นอนใจ

ไม่ได้ใส่ใจเจ้าไวรัสนั้นอีกเลย

จนกระทั่งเขาอยู่ร่วมกับเรามาอีกยี่สิบปี

เขาจึงเริ่มอาละวาดเรา

 เพราะเรามัวแต่มุ่งทำงานไม่สนใจเขา

เราพักผ่อนน้อยมาก

 หลังๆทำงานด้านกิจกรรมกับเด็ก

จนเพลินสนุกไปไม่คำนึงถึงอายุที่มากขึ้นแล้ว

ในที่สุดเขาก็จัดการเราจนอยู่หมัด ขณะที่เรากำลัง

นำเด็กๆเดินจงกลมริมเขื่อนในค่ายทหาร

ติดแม่น้ำบางประกงต้องเข้าใจว่า

การเดินจงกลมไม่ได้เดินเร็วแทบจะช้าไปด้วยซ้ำ

แต่เราก็เริ่มเหนื่อยมากจนกระทั่งเป็นลมหน้ามืด

และในที่สุดเราก็ต้องยุติบทบาททุกอย่างของเราลง

เมื่อได้ไปหาอาจารย์หมอปิยะวัฒน์ โดยเพื่อนที่เป็น

พยาบาลอยู่โรงพยาบาลจุฬาเป็นผู้นัดหมายให้

อาจารย์หมอใด้เจาะเลือดตรวจ

เรียกกันว่าอาการตอนนั้น

เราเริ่มหนักมากแล้ว ทั้งไขมันเกาะตับมากมาย

เรียกว่าคุณมะ(เร็ง)เธอจะเล่นงานเราแน่แล้ว

คุณหมอไม่ได้ให้ทานยาอะไรนอกจากวิตามิน E

แล้วก็เจาะเลือดตรวจไวรัส นับไวรัส อัลตร้าซาวน์ตับ

ยุ่งไปหมด แรกๆก็นัดทุกสัปดาห์ต่อมาก็เดือนละครั้ง

รักษากันจนถึงสามเดือนครั้ง หกเดือนครั้ง ก็ว่ากันไป

คุณหมอเพียงแนะนำให้ระวังเรื่องการรับประทานอาหาร

อย่าให้มัน และอย่าให้ตัวเราอ้วนมาก เพราะตอนนั้น

เรามีเพียบพร้อมเชียวละ ทั้งอ้วนท้วนสมบูรณ์

แบบเถ้าแก่เนี้ยซะขนานนั้น เรื่องอาหารการกิน

ก็ไม่ค่อยระมัดระวังเท่าไรชอบอะไรก็กินกันไป

จนในที่สุดคุณหมอได้พูดคำเดียวว่าอยากหายไหม

เพราะไวรัสนั้นหายขาดได้นะ  เราจึงหูผึ่งและสนใจ

ในทันที  เราเริ่มดูแลตัวเองอย่างจริงจังเมื่อ 7 ปีที่แล้ว

โดยเรายุติบทบาทการงานที่ทำทั้งหมด

เรียกว่าลาออกทีเดียวละ

จากนั้นก็กลับมาอยู่บ้านเกิดที่ศรีราชา

เพราะบ้านเราอยู่ในทะเล

เรื่องอากาศไม่ต้องเป็นห่วง

อากาศในทะเลนั้นดีแน่นอนอยู่แล้ว

เมื่อได้ที่พักที่ดีแล้ว 

ต่อไปก็คือจัดการเรื่องอาหารการกิน

เรียกได้ว่าไม่ซื้อกับข้าวสำเร็จกินแน่นอน

 อาหารหวานก็งดก่อน

โดยเฉพาะน้ำอัดลม  และน้ำสารพัดที่หวานๆ เลิกดื่ม

เราตำน้ำพริกสารพัดน้ำพริกกินเอง ซึ่งเป็นที่มาของ

การทำอาหารส่งเข้า blog  นี้ไง เปิดดูได้นะจ๊ะ

เราดูแลตัวเอง ไปเดินออกกำลังกาย

ที่สวนสาธารณะเกาะลอยทุกเช้าเย็น

จึงเป็นที่มาของรูปสวยๆที่ถ่ายมาให้ดูกันนี่แหละ

อ้อ!!!ลืมบอกไปว่ากับข้าวเราจะไม่เน้นมันนะ ผักน้ำพริก

ส่วนมากก็จะลวก หรือ กินสดๆ สำหรับการทอดโดยเฉพาะ

พวกมะเขือยาว และชะอมทอดนั้นทอดให้คนในบ้านกิน

แต่เราไม่กิน เราระมัดระวังเรื่องอาหาร เรื่องออกกำลังกาย

และที่แน่ๆ เราจะไม่ยอมกินยาแผนปัจจุบันใดๆเลย

เพราะกลัวว่ายานั้นไปทำลายตับเพิ่มขึ้น

สมุนไพรบางอย่างก็ต้องเลิกกิน

เช่นมะรุม  ขี้เหล็ก  ของชอบ เลิกเด็ดขาดเพราะเขาจะ

ทำร้ายตับเรา ลองคลิ๊กอ่านดูนะจ๊ะว่ามีอะไรบ้าง

เอาเป็นว่าเราดูแลและระมัดระวังตัวเองอย่างดีมา 7 ปีกว่า

เรียกว่าดูแลจริงๆนะไม่ใช่ทำวันเว้นห้าวันหรอก และ

ในที่สุดเมื่อเราได้ไปตรวจครั้งสุดท้ายเมื่อ วันที่ 20

มกราคม  2558 นี้ คุณหมอก็บอกข่าวดีว่า

เราหายขาดจากไวรัสตับอักเสบ บีแล้ว และร่างกาย

ได้สร้างภูมิคุ้มกันมาให้ 25% แล้ว เราจึงนำข่าวดีนี้

มาบอกกับทุกท่านที่เป็นโรคนี้ว่าอย่าท้ออย่าตกใจ

โรคนี้หายขาดได้แต่เราต้องไม่ตามใจตัวเราเองเท่านั้น

เราจะหลีกเลี่ยงการกินยาแผนปัจจุบันถ้าไม่จำเป็นจริงๆ

เพราะยานั้นมีทั้งคุณและโทษ

  เราจะใช้สมุนไพรที่ทำกินเอง

รักษาไปเรื่อยเปื่อยก็ได้ผลดี  เช่นคนเราเมื่อแก่แล้ว

มักจะเป็นโรคความดันโลหิตสูง เราก็สังเกตุตัวเราเอง

ว่าเหนื่อยบ่อยไม๊  เพราะความเหนื่อยเลือดสูบฉีดแรง

ก็อาจจะเป็นความดันได้ เราก็ศึกษาค้นคว้าจนรู้ว่า

นำใบมะกรูดมาต้มน้ำกินก็พอบรรเทาอาการของโรค

ความดันโลหิตสูงลงได้ ทุกวันนี้เราก็ต้มดื่ม และก็ได้ส่ง

วิธีทำเข้ามาให้ดูด้วย ลองคลิ๊กอ่านดูก็แล้วกันนะจ๊ะ

เราทำสารพัดน้ำสมุนไพรและจะทะยอยลงให้อ่านกัน

ที่แน่ๆน้ำนั้นจะต้องไม่หวาน ยกเว้นบางอย่าง

ที่ต้องเติมน้ำตาลช่วยบ้าง เช่น น้ำมะขาม และ น้ำกระเจี๊ยบ

เพราะถ้าไม่เติมน้ำตาลช่วย เธอก็เปรี้ยวได้ใจเชียวละ

เราไม่อยากเขียนมากแล้วเพราะกลัวคนอ่านจะเบื่อ

เอาแค่นี้แหละ  และขอเป็นกำลังใจให้คนที่เป็น

โรคไวรัสตับอักเสบบี  นี้หายเร็วๆนะจ๊ะ

สุดท้ายอีกสักนิด เมื่อเราได้ไปตรวจครั้งสุดท้ายนี้

อาจารย์หมอท่านไม่คิดค่าตรวจเรามารู้ก็ตอนเสียเงิน

ยังไม่ได้ขอบคุณท่านเลย  แต่ท่านก็ได้มอบหนังสือ

เรื่องไวรัสตับอักเสบเล่มล่าสุดมาให้หนึ่งเล่ม

เราจะทะยอยพิมพ์ลงให้อ่านกันนะ แต่ถ้าใจร้อน

ก็ไปหาซื้อได้ที่ร้านหนังสือทั่วไปนะจ๊ะ










Create Date : 21 มกราคม 2558
Last Update : 23 พฤษภาคม 2560 17:55:42 น.
Counter : 3262 Pageviews.

16 comment
### การดูแลตัวเองให้หายขาดจากไวรัสบี ###




ไชโย ฉันหายจากไวรัสบีแล้ว









เมื่อวานนี้ฉันได้เดินทางไปตรวจโรคตับกับอาจารย์หมอ

ดร.ปิยะวัฒน์ โกมลมิศร์ แห่งโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ 

 ฉันเป็นไวรัสบี และมีอาการมากจนกระทั่งต้องหยุดทำงาน 

 และเข้ารับการรักษาตัวกับอาจารย์หมอ เป็นระยะเวลากว่า 5 ปีแล้ว 

 อาการต่างๆที่เป็นฉันก็ได้เขียนให้ทุกท่านได้อ่านกันไปบ้างแล้ว 

  ฉันเริ่มตรวจกับอาจารย์หมอตั้งแต่ไปทุกอาทิตย์ จนนัดห่างเรื่อยๆ

จนสุดท้ายอาจารย์หมอได้นัดตรวจ 6 เดือนครั้ง 

  และทุกครั้งที่ตรวจฉันต้องเจาะเลือดตรวจ 

 เรียกว่าอาจารย์เคยตรวจขนาดนับตัวไวรัสกันเลยเชียวละ 

  และยังต้องอัลตร้าซาวร์แทบทุกครั้งเพราะผจญไขมันเกาะตับอีก 

 คุณหมอรักษาให้โดยไม่เคยกินยาเลย 

 นอกจากวิตามิน E เท่านั้นเวลาพบว่าไขมันเกาะตับฉัน 

  ฉันมีโอกาสได้พูดคุยกับคุณหมอทุกครั้งที่เข้าตรวจ 

 ขอคำแนะนำในการดูแลตัวเอง หากคุณหมอมีการจัดสัมมนา

เกี่ยวกับโรคตับที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ฉันก็ไปฟัง 

 ฉันซื้อหนังสือเกี่ยวกับโรคตับที่คุณหมอและเพื่อนๆหมอได้เขียน

แทบทุกเล่ม และยังได้นำมาเสนอให้ทุกท่านได้อ่านเพื่อรู้กันด้วย 

  ตลอดเวลาการรักษาตัวของฉัน ก่อนอื่นฉันได้เปลี่ยนนิสัย

ในการกินอาหารก่อน โดยอาหารทุกชนิดที่จะกินเข้าไปในร่างกายฉัน 

ฉันจะค้นหาในอินเตอร์เนทว่า ผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ ต่างๆนั้น 

 แต่ละชนิดมีคุณค่าและมีประโยชน์ และ

โทษอย่างไรกับร่างกายเราบ้าง 

บอกตรงๆฉันโชคดีที่เป็นคนแก่ที่เกษียณแล้ว

เลยมีเวลาดูแลตัวเองมากขึ้น    ฉันไม่ต้องการให้คนใกล้ชิด

ต้องเดือดร้อนกับอาการเจ็บป่วยของฉัน ฉันจึงต้องทำทุกอย่าง

เพื่อช่วยเหลือตัวเองให้พ้นจากโรคนี้ให้ได้ และสิ่งสำคัญอีกอย่าง

ที่คุณหมอแนะนำก็คือ การออกกำลังกาย 

 ฉันก็ออกกำลังกายตามอายุนั่นแหละไม่ได้หักโหมอะไรมากมายนัก 

แต่ต้องพยายามทำจิตใจให้สดชื่น รื่นเริง เข้าไว้ ฉันไม่ยึดติด

กับอะไรมากนัก แม้แต่การฟังเพลงเพื่อให้รู้สึกดีและมีความสุข

ฉันก็ฟังเพลงทุกประเภทที่ฉันฟังได้ไม่ว่าจะเป็นเพลงเก่า

สมัยรุ่นฉันยังวัยรุ่นหรือเป็นเพลงวัยรุ่นสมัยนี้ ฉันไม่เลือก

ถ้าเขาร้องเพราะถูกใจฉันก็ฟังและร้องตามหมด 

  นี่มันคือการให้ความสุขกับหัวใจฉันไม่ให้เครียด 

  แม้แต่ละครฉันก็จะเลือกดูเฉพาะละครที่สนุก

ไม่เครียด ไม่ต้องคิดมาก

  ฉันพยายามทำทุกอย่างให้ตัวเองมีแต่ความสุข สนุกสนานไปเรื่อยๆ

ระหว่างรักษาตัว ฉันยอมรับว่าบางครั้ง

ก็รู้สึกเหมือนกันว่าเราจะตายไม๊นะ  

แต่ฉันก็ไม่เก็บไปเครียด

แต่กลับเก็บไปสร้างเป็นความฝันอันแสนสุขอีก

  คิดเรื่อยเฉื่อยไปว่าถ้าตายไปเราจะได้ไปอยู่ที่ไหนนะ 

  ก่อนอื่นเราต้องทำกับข้าวเก่งๆ เผื่อจะได้โดนคัดเลือกไปเป็นแม่ครัว

ให้ยมฑูตได้ชิมฝีมือก็ได้ นี่แหละคือความคิดของฉันสร้างสรรมัน

ให้เกิดความสุข ไม่กลัวความตาย เพราะทุกคนต้องตาย

  แต่เตรียมตัวก่อนตายเพราะเราไม่รู้ว่าเราจะไปพบอะไร

หลังการตายบ้างก็เท่านั้น ฉันรักษาตัวกับคุณหมอมาตลอด 

 อาการหนักบ้างเบาบ้างก็ว่ากันไป ฉันมาได้คิดว่าอาการป่วยของเรา 

เราต้องช่วยตัวเองก่อนเป็นหลักใหญ่คุณหมอเป็นเพียงผู้แนะนำ

และให้การเยียวยารักษาเท่านั้น ถ้าเราไม่ร่วมมือด้วย

เราก็ไม่มีโอกาสหายแน่นอน ฉันช่วยเหลือตัวเองทุกอย่าง

จัดระเบียบอาหารการกิน 

 การออกกำลังกาย การทำให้จิตใจผ่องใสไม่เครียด 

 ฉันทำคนเดียวไม่ต้องมีตัวช่วย 

 ไม่มีใครสั่งเพราะฉันไม่ชอบอยู่ใต้อาณัติของใคร 

 ฉันจึงสั่งตัวเอง        ตลอดเวลาที่รักษาโรคไวรัสบีมานี้ 

  ฉันมีอุปสรรคอย่างหนึ่งคือฉันต้องระมัดระวัง

ไม่ให้มะเร็งกินตับฉันได้เด็ดขาด ดังนั้นฉันจึงต้องแยกแยะทุกอย่าง

ที่ต้องผ่านตับ ไม่ว่ายาอะไรก็ตามเพราะยานี่แหละตัวดีนัก 

  ฉันจึงต้องค้นหาพืชสมุนไพรมากินแทนยาตลอดเวลา 

 แต่บางครั้งฉันก็ยังมีโรคที่ผ่านมาและแวะเยี่ยมเยียนฉันในบางโอกาส 

 เช่น โรคกรวยไตอักเสบ 

 ถึงกับต้องเข้านอนในโรงพยาบาลทีเดียวแหละ

ซึ่งฉันก็ได้เขียนอาการไว้ให้อ่านกันแล้วในหัวข้อโรคภัยไข้เจ็บ 

 ย้อนไปอ่านกันได้ ชีวิตฉันเป็นปรปักษ์กับยาปฏิชีวนะที่สุด

   ฉันเป็นคนไม่ชอบกินยาฝรั่ง แต่บางครั้งฉันก็ต้องกิน

เมื่อเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล แต่ก็แค่นั้นเพราะเมื่อฉันหายแล้ว

อย่าหวังเลยว่าฉันจะกิน 

 เพราะไม่ว่าฉันจะปวดหัว ตัวร้อนฉันก็กินสมุนไพร

ยกตัวอย่างเช่นฟ้าทลายโจรเป็นต้น ฉันรักตับของฉันเท่าชีวิต

  ฉันจะไม่ยอมให้อะไรมาทำลายตับฉันหรอก แค่ไวรัสบีที่มันบังอาจ

สิงสถิตย์ในเลือดฉันฉันก็ระอากับมันเต็มทนแล้ว 

  ด้วยการดูแลตัวเอง การใส่ใจในโรคภัยไข้เจ็บของตัวเอง 

  การจัดชีวิตตัวเองเรื่องการกินอยู่ใหม่ 

 นี่แหละทำให้ฉันชนะเจ้าไวรัสบีได้  

ฉันไปตรวจก่อนหน้านี้ คุณหมอยังงงว่าไวรัสมันหายไปไหนหมด

  คุณหมอไม่เชื่อบอกว่ามันคงหลบซ่อนตัวเองอยู่ที่ไหนสักแห่ง

เพื่อรอโอกาสที่จะออกมาต่อสู้กับฉันอีก คุณหมอจึงได้สั่ง

ให้เจาะเลือดอีกครั้งและการเจาะครั้งนี้ฉันไม่รู้ว่าคุณหมอตรวจอะไร

เพราะคุณหมอสั่งให้ไปเจาะที่โรงพยาบาลจุฬาฯ

เพราะมีเครื่องตรวจเลือดตัวนี้ อ้อ.ลืมบอกไปว่า

ฉันเจาะเลือดที่โรงพยาบาลสมเด็จ ณ.ศรีราชา

  และนำผลไปให้หมอตรวจ มาได้สองปีแล้ว เพราะใกล้บ้านสะดวกกว่า

ฉันได้ไปเจาะเลือดทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลจุฬาก่อนถึงกำหนดนัดตรวจ

และได้อัลตร้าซาวร์ที่โรงพยาบาลสมเด็จ ณ.ศรีราชาไปด้วย  อ้อ.

ฉันต้องขอขอบคุณคุณหมอที่อัลตร้าซาวร์ให้ฉันด้วย

เพราะครั้งนี้คุณหมอทำเกินกว่าที่อาจารย์หมอสั่งโดยทำการ

อัลตร้าซาวร์ท้องฉันทั้งหมดจนถึงมดลูก  แถมยังรายงานผลตรวจ

ไปให้คุณหมออีกด้วย   ขอบพระคุณจริงๆ  คุณหมอหัวเราะและ

บอกว่าหมอซาวน์เกินสั่ง  

ฉันจึงถามคุณหมอว่าแล้วส่วนเกินที่ซาวน์น่ะ

มันดีหรือร้ายกันล่ะ  คุณหมอยิ้มและบอกว่าดีทั้งหมด  ฉันดีใจจริงๆ

และขอขอบคุณคุณหมอที่ทำการซาวน์

ที่โรงพยาบาลสมเด็จ ณ ศรีราชาด้วยนะคะ 

ขอให้คุณหมอประสบแต่โชคดี มีหน้าที่การงานที่เจริญ

ยิ่งๆขึ้นไปด้วยเถิด  เฮ้อ...มีจิตใจที่เมตตาจริงๆ ขอบคุณนะคะ

ครั้งนี้ที่ไปตรวจ  คุณหมอแปลกใจว่าทำไมฉันหายจากไวรัสบีเร็ว

เพียงแต่ตอนนี้คอยให้ไวรัสบีมันกลับมาเป็นภูมิคุ้มกันเท่านั้น

อาจายย์หมอได้แสดงความยินดี  แต่ท่านก็ไม่ทิ้งคนไข้ไร้สติคนนี้หรอก

ท่านยังนัดไปตรวจอีกเช่นเดิม  เพราะท่านก็ไม่ไว้วางใจเจ้าไวรัสบีนี้นัก

แต่มันก็ทำให้ฉันดีใจและมีความสุขขึ้นอีกตั้งมากมายเชียวละ

ตรวจครั้งนี้คุณหมอใจดีมากยกค่าตรวจให้กับฉันเป็นของขวัญด้วย

คราวหน้าว่าจะไปขอบคุณซะหน่อย   ใจดีและห่วงใจคนไข้จริงๆ

ขอบคุณนะคะคุณชายหมอสุดหล่อ 









Create Date : 30 กรกฎาคม 2557
Last Update : 7 สิงหาคม 2557 11:28:17 น.
Counter : 933 Pageviews.

0 comment
♦♦♦ เป็นไวรัสตับอักเสบบีแบบเฉียบพลัน.....จะตายไม๊เนี่ยะ ♦♦♦





ไม่ต้องตกใจและไม่ต้องสงสัยว่า เราจะเป็นหรือตาย
จากการเป็นไวรัสตับอักเสบบีแบบเฉียบพลัน
เพียงแต่อ่านข้อเขียนของคุณหมอ
นพ.ดร ปิยะวัฒน์ โกมลมิศร์ อย่างตั้งใจ
 ท่านก็จะหมดความวิตกกังวลได้
วันนี้เราจึงนำเสนอ เรื่อง 
 "เมื่อเป็นไวรัสตับอักเสบบีแบบเฉียบพลันจะเป็นอย่างไร "
ของ อาจารย์ นพ.ดร.ปิยะวัฒน์ โกมลมิศร์
  เราคัดลอกข้อเขียนของท่านมาทั้งหมด
เพราะเราไม่ใช่แพทย์เรารู้ไม่จริง 
 จึงไม่ควรจะต่อเติมเสริมแต่งข้อเขียนของท่านโดยเด็ดขาด
แต่เราได้ขออนุญาตจากท่านไว้แล้วว่าขอนำความรู้จากท่านนี้
มามอบให้แก่ทุกท่านที่สนใจสุขภาพของตัวเอง
ซึ่งท่านก็อนุญาต ใจดีจริงๆ ท่านเป็นผู้ให้โดยจิตวิญญานจริงๆ
  ต้องขอขอบพระคุณท่านมา ณ. ที่่นี้ด้วย
ขอบคุณค่ะอาจารย์ ข้อเขียนบทความของท่านมีดังนี้.........



ผู้คนมักจะใจหายใจคว่ำ หัวใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม 
  เมื่อมองกระจกเห็นตาของตัวเองเป็นสีเหลือง
ความจำ ความคิด ข่าวลือเกี่ยวกับโรคตับทั้งหลายแหล่ประดังเข้าสู่สมอง
 ที่จริงแล้วไม่ใช่ใจหายบางคนถึงกับตับหายไปภายในเวลาไม่กี่วัน
 ความเป็นจริงเป็นเช่นนั้นหรือ ช่วยกันดึงใจกลับมาก่อน
ลองคิดไตร่ตรองดูดีๆ สำหรับข้อมูลในบทนี้ อยากจะบอกว่า
น้อยรายนัก ที่จะเห็นตาตัวเองเหลือง
หรือไม่เกิดใหม่จากไวรัสตับอักเสบบีแบบเฉียบพลัน
 ตามที่ได้กล่าวมาในบทก่อนๆ ไวรัสบีในประเทศไทยนั้น
มักจะติดกันมาตั้งแต่เด็กแต่เล็กขณะผ่านช่องคลอดมานั้น
 มีแผลสัมผัสกับเลือดของมารดาที่มีเชื้อไวรัสบี
ถ้าไม่ได้รับการป้องกันด้วยการฉีดวัคซีน ก็จะติดเชื้อตรงนั้นเอง
 เป็นการติดเชื้อใหม่ เก้าสิบเก้าคนในร้อยคนที่ติดเชื้อมา
เชื้อจะไปอยู่ในตับจะอยู่แบบเรื้อรังต่อๆไปอีกนานหลายๆปี หรือตลอดชีวิต
 จะเห็นว่าเด็กเหล่านี้แม้ติดเชื้อมา
ก็ไม่มีอาการแสดงให้เห็นว่าตาเหลือง ตัวเหลือง
  หรือตับอักเสบแบบรุนแรง แต่ผลคือ ติดมาแล้วทำลายไม่ได้
กลายเป็นโรคแบบเรื้อรัง 
 ในทางกลับกัน ถ้าใครสักคนไปรับเชื้อไวรัสบีมาตอนโต
มักจะเกิดการอักเสบแบบเฉียบพลัน
ผ่านไปหกเดือนถึงหนึ่งปีไวรัสจะถูกทำลายไป
  แล้วร่างกายก็สร้างภูมิต้านทานต่อไวรัสบีตามมา
ถามว่า หายเองสักกี่เปอร์เซ็นต์ คำตอบคือ 99 เปอร์เซ็นต์
  หมายความว่าผู้ใหญ๋ร้อยคนที่ติดเชื้อมาใหม่แบบเฉียบพลัน
เก้าสิบเก้าคนหายเองและหายสนิท
    ทีนี้ถ้าใครสักคนไปรับเชื้อมาจะเกิดอาการอย่างไร
 เช่น นึกสนุกไปสักตามร่างกายไปเจาะจมูกด้วยเข็ม
ที่มีเชื้อไวรัสบีจากคนอื่นติดอยู่
 เชื้อก็จะเข้าไปเจริญเติบโตในตับออกลูกออกหลาน
ผ่านไปอีกหลายอาทิตย์จะเริ่มเกิดตับอักเสบ 
 ความรุนแรงนั้นมากน้อยแตกต่างกันไป
  ถามว่าคนส่วนใหญ่เป็นอย่างไร  ส่วนมากแล้ว
จะไม่มีตาเหลือง ตัวเหลืองออกมาให้เห็น
 จะมีก็แค่ตับอักเสบ ถ้าไปตรวจเลือดก็จะพบค่าการอักเสบของตับ
(AST/ALT) ขึ้นสูง มากน้อย
ตั้งแต่หลายสิบหลายร้อยไปถึงระดับสองสามพัน


อาการของการอักเสบส่วนใหญ่คือไม่มีอาการ 
    ฉะนั้นคนส่วนใหญ่จึงไม่ทราบว่าตัวเองติดเชื้อ
และมีอาการอักเสบของตับ
สำหรับคนที่มีอาการก็อาจจะรู้สึกเพลีย จุกๆท้อง
  คลื่นใส้ อาเจียน สังเกตเห็นปัสสาวะสีเข้มผิดปกติ
ถ้าไม่ทราบว่าตัวเองมีตับอักเสบก็จะไม่ทราบว่า
ตัวเองหายจากตับอักเสบไปเมื่อไร
 คนที่มีอาการมากหน่อย
อาการต่างๆของตับอักเสบมักจะค่อยๆดีขึ้น
ในระยะเวลาสองถึงสี่อาทิตย์ เวลาหายก็แบบหายสนิท
คือค่าการทำงานตับกลับมาปกติ 
     อย่างไรก็ตาม แม้ผลเลือดจะดีขึ้นแล้ว
บางท่านอาจจะรู้สึกเพลียเหนื่อยง่าย
ต่อไปอีกสามถึงหกเดือน ฉะนั้นอย่ากังวล


บางท่านซึ่งน้อยรายจะมีอาการรุนแรงมาก
ถึงขั้นที่ต้องนอนโรงพยาบาล
เมื่อใดควรนอนโรงพยาบาลขอให้ดูจากอาการ
  เช่น คลื่นใส้ อาเจียนมากจนทานอาหารไม่ได้ 
 มีอาการสับสน ซึม มีตาเหลือง ตัวเหลืองมาก
มีขาบวม ท้องโตขึ้น ตรวจเลือดพบว่า
ค่าความเหลือง(Bilirubin) ขึ้นไปมาก
  เช่น เกินระดับ 5 - 7 mg/dl ร่วมกับมีตับอักเสบมาก
โรคกำลังดำเนินไปในทางที่เป็นมากขึ้น
ตรวจพบค่าการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ (INR)
พบมีค่าโปรตีนแอลบูมิน (Albumin) ลดลงเร็ว
  เหล่านี้ ต้องอยู่ในดุลยพินิจของแพทย์ผู้ดูแล
ตามความเหมาะสมของระยะโรค ความรุนแรงของโรค
และจำนวนเตียงของโรงพยาบาลนั้นๆ


ตับอักเสบเฉียบพลันจากไวรัสบีทำให้ถึงแก่ชีวิตหรือไม่
  คำตอบคือ เป็นไปได้ แต่พบน้อย
เรียกว่าเกิดภาวะตับวาย ที่โรงพยาบาลจุฬาฯ
ในบางเวลาจะพบผู้ป่วยตับวายจากไวรัสบี หนึ่งถึงสองรายต่อเดือน
ไม่ได้หมายความว่าภาวะนี้พบบ่อย
  แต่ที่นั่นเป็นศูนย์กลางที่คอยรอรับผู้ป่วย
ที่ถูกส่งต่อมารักษาเป็นสถานที่ที่มีการเปลี่ยนตับ
ว้รองรับผู้ป่วยที่มีแนวโน้มจะเสียชีวิตจากภาวะตับวาย
 ไม่ว่าจากสาเหตุอะไรก็ตาม



เวลาที่ตับอักเสบเฉียบพลันแล้วมาพบแพทย์ ควรทำอย่างไรบ้าง
  ก่อนอื่นใจเย็นๆ  เล่าอาการต่างๆให้แพทย์ฟังโดยละเอียด 
 เนื่องจากตับอักเสบเฉียบพลันเกิดได้จากสาเหตุมากมาย
แม้จะทราบว่ามีไวรัสบีอยู่แล้วก็ตาม 
 คือรู้ว่าตัวเองมี HBsAg อยู่ในเลือด
  แพทย์จะต้องพยายามหาสาเหตุแยกโรคอื่นๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งยาแผนปัจจุบัน ยาสมุนไพร
   อาหารเสริมบำรุงร่างกาย
 ยาลดน้ำหนัก หรือยาที่เข้าสารสเตียรอยด์
นอกจากนี้ประวัติการดื่มสุรา ปริมาณการดื่มต่อสัปดาห์
   แพทย์จะตรวจเลือดเพิ่มเติมเพื่อหาสาเหตุอื่นๆทั้งไวรัส เอ บี ซี


มีข้อน่าสังเกตุอยู่ที่แพทย์จะพิสูจน์ได้อย่างไรว่า 
  ตับอักเสบครั้งนี้เกิดจากไวรัสบี
ส่วนมากแล้วแพทย์จะตรวจแอนตี้เอชบีคอร์ (AntiHBc) 
  ชนิดไอจีเอ็ม ถ้าผลเลือดตัวนี้ออกมาเป็นผลบวก (positive)
ก็หมายความว่าการอักเสบครั้งนี้เกิดจากไวรัสบีแน่
  ขอเสริมสักนิดฝากไปยังแพทย์
  แม้ผลเลือดตัวนี้จะออกมาเป็นลบ (negative)
ก็ยังมีโอกาสเป็นตับอักเสบจากไวรัสบีแบบเฉียบพลันได้
  โดยมากมักจะเกิดในผู้ที่ติดเชื้อไวรัสบีแบบเรื้อรังนำมาก่อน
แล้วครั้งนี้มาด้วยการอักเสบแบบเฉียบพลันแทรกซ้อน
  ภาษาแพทย์เราใช้คำว่าแฟลร์อัพ (Flair up)


ขอเพิ่มความสับสนให้กับผู้อ่าน เพื่อความเข้าใจที่แท้จริง

ตับอักเสบแบบเฉียบพลันจากไวรัสบีพอจะแบ่งได้เป็นสองกลุ่ม
1. ตับอักเสบเฉียบพลันจากไวรัสบีชนิดที่เป็นใหม่
(acute hepatitis)
  เพิ่งรับเชื้อมาแล้วเกิดการอักเสบขึ้น
พอผ่านไปหกเดือนถึงหนึ่งปีไวรัสก็หาย
เกิดภูมิต้านทานต่อไวรัสบีขึ้น เหมือนดังได้อธิบายมาข้างต้น
ถามความจริงในประเทศว่าพบบ่อยแค่ไหน 
  ต้องขอตอบว่าในผู้ใหญ๋พบน้อย

2. ตับอักเสบเฉียบพลันในผู้ที่มีไวรัสแบบบีเรื้อรังมาก่อน
 หรือเกิดตับอักเสบแบบแฟลร์อัพ (flair up hepatitis)
ชนิดนี้เกิดจากการสู้รบระหว่างไวรัสบี
กับภูมิต้านทานของร่างกายเดิมอยู่กันแบบถ้อยทีถ้อยอาศัย
วันดีคืนดีร่างกายก็เกิดอารมณ์
ที่จะยกทัพจับศึกสู้ไวรัสแบบเอากันให้ตาย
 เลยเกิดการอักเสบที่มากกว่าเดิมบางครั้งรุนแรงมาก 
 ที่สำคัญใครมีพื้นฐานของโรคตับเดิมที่เป็นมาก
  เช่น มีภาวะตับแข็งซ่อนอยู่ก่อน
พอมีการอักเสบแบบรุนแรง ตับก็จะพังเร็วขึ้น
  อาการจะรวดเร็วและรุนแรง
 แต่ถ้าเดิมเป็นแค่ตับอักเสบน้อยๆ
ไม่มีพังผืดแทรกอยู่ในตับมาก่อน
   ตับประเภทนี้ย่อมทนแดดทนฝน ถึงตับจะอักเสบมากแต่มีต้นทุนดี
ตับดีเหลืออยู่เยอะ ตับงอกใหม่ก็เร็ว จึงเกิดตับวายยาก


ที่พยายามอธิบายสร้างความงงงวยแก่ท่านผู้อ่าน
ก็เพื่อ ให้ท่านมีความเข้าใจที่ถ่องแท้
แพยทย์ที่ช่วยดูแลเราก็จะต้องพยายามใช้ความสามารถ
ประเมินให้ได้ว่า ตับเดิมนั้นดีอยู่หรือไม่
ตับนี้จะทนภาวะการอักเสบครั้งนี้ไปได้ถึงไหน 
 จำเป็นจะต้องส่งต่อไปรักษาในสถานที่อันควรหรือไม่










แล้วแพทย์จะรักษาตับอักเสบเฉียบพลันจากไวรัสบีอย่างไร


การรักษาตับอักเสบเฉียบพลันจากไวรัสบีโดยทั่วไป
คือการรักษาแบบประคับประคอง เพราะอะไร
ก็เพราะถึงไม่ทำอะไร โรคก็หายเองดีขึ้นเอง 
  เป็นไปตามธรรมชาติของการอยู่ร่วมกันระหว่างไวรัสกับร่างกาย
    แพทย์จะให้ยาช่วยลดอาการคลื่นใส้อาเจียน
  แนะนำเรื่องการทานยาต่างๆที่อาจมีอันตรายกับตับ
ถ้ามีไข้ การทานยาพาราเซตามอลก็ยังทานได้
   แต่ต้องลดขนาดและทานห่างขึ้น อย่าให้เกิน 4 - 5 เม็ดต่อวัน
ยาแก้ปวดลดไข้ชนิดอื่น เช่น บรูเฟน หรือ แอสไพริน นั้น
มีโทษมากกว่าประโยชน์
ควรพยายามรับประทานอาหารให้ได้เพียงพอ
  แม้จะเบื่ออาหารก็ตาม
   ดื่มน้ำให้พอเพียงอย่างน้อยสองลิตรต่อวัน
ถ้าทานไม่ได้เอาจริงแพทย์ก็อาจจะให้น้ำเกลือ
เพื่อทดแทนการขาดน้ำ
  และอาจมีกลูโคสผสมในน้ำเกลือ
เพื่อช่วยระวังเรื่องการขาดน้ำตาลขณะที่โรครุนแรง 
   คำว่าน้ำตาลหรือน้ำหวานนี้
เป็นอะไรที่ก่อปัญหาและประชาชนมีความเชื่อที่ผิดเอามากๆ 
  ท่านอาจจะเคยได้ยินว่า
เป็นโรคตับให้ดื่มน้ำหวาน
   พอใครรู้ว่าตัวเองมีไวรัสบีเข้าก็ดื่มน้ำหวานกันทุกวัน
   ความเชื่อเหล่านี้ใช่ว่าจะไม่มีที่มา
 เหตุเพราะว่าตับเป็นอวัยวะที่เก็บสะสมน้ำตาล
ขณะที่ยังไม่ได้ใช้ ตับก็จะเก็บน้ำตาลในรูปไกลโคเจน 
 เมื่อถึงเวลาที่จะใช้พลังงาน
 ตับก็จะเปลี่ยนไกลโคเจนกลับมาเป็นน้ำตาลกลูโคส
แล้วส่งออกไปสู่อวัยวะต่างๆเพื่อไปใช้เป็นพลังงาน 
 ทีนี้เมื่อตับเสียไปมากๆต้องมากจริงๆ
เช่น ในช่วงที่ตับอักเสบรุนแรง
ตับวาย ตับแข็งระยะท้ายๆ โรงเก็บน้ำตาลไม่พอ
 ถึงเวลานั้นจึงจำเป็นต้องใช้กลูโคสหรือของหวานเสริม
แต่ตับอักเสบธรรมดา ตับอักเสบเรื้อรัง 
 ตับแข็งระยะต้นหรือกลาง เหล่านี้ไม่ต้องไปดื่มน้ำหวาน
  ไม่ได้ช่วยทำให้โรคหาย


เดี๋ยวนี้มียาต้านไวรัสออกมามากมาย
   เวลาเกิดตับอักเสบแบบเฉียบพลันควรให้ยาหรือไม่
ประเด็นนี้ยังมีข้อถกเถียงพอควร 
  เพราะการให้ยาต้านไวรัสในเวลาที่ไม่เหมาะสม
อาจตามมาด้วยปัญหาการดื้อยา
หรือบางครั้งบางคราว เช่นกรณีตับอักเสบเฉียบพลันแบบแรก
  ถึงไม่ให้ยาโรคก็หายเองถึง 99 เปอร์เซ็นต์
ในตับอักเสบเฉียบพลันแบบแฟลร์อัพ (Flair up)
 กลุ่มนี้โรคมักไม่หายเอง พอหายอักเสบไวรัสก็ยังคงอยู่
ฉะนั้น การจะเริ่มยาขณะที่มีการอักเสบก็มีเหตุผลสมควร
   แต่ต้องมีการวางแผนการรักษาระยะยาวให้ดี
การให้ยาในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง 
  หรือผู้ที่จำเป็นต้องได้รับการเปลี่ยนตับ
 มีความจำเป็นเป็นอย่างยิ่งอย่างน้อยเป็นการลดจำนวนไวรัส
ก่อนที่จะได้รับการเปลี่ยนตับ
  เพื่อลดโอกาสการติดเชื้อซ้ำหลังการเปลี่ยนตับ




######################





การนำเสนอข้อเขียนของอาจารย์
นพ.ดร.ปิยะวัฒน์ โกมลมิศร์ 
 ในวันนี้ มีประโยชน์มากมาย
หากถ้าท่านสนใจอยากทราบเรื่องไวรัสบี มากกว่านี้ 
 ก็ไปหาหนังสือของอาจารย์อ่านได้
ชื่อเรื่อง จับเข่าคุยกันเรื่อง ไวรัสตับอักเสบบี 
 ภัยเงียบที่ป้องกันและรักษาได้
   ตามร้านหนังสือชื่อดังทั่วไป
ขอบอกว่ามีประโยชน์จริงๆ 
  และในวันนี้ผู้นำเสนอขอเสนอแค่นี้ก่อนนะ
   เพราะกำลังถูกไวรัสเล่นงานตับจนอักเสบเช่นกัน
แต่ยังไม่มากนัก เลยต้องขอพักผ่อนก่อน
  ไม่ใช่กลัวตายนะ แต่ยังไม่อยากตายต่างหากล่ะ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ








Create Date : 21 พฤษภาคม 2555
Last Update : 11 สิงหาคม 2557 12:14:45 น.
Counter : 8819 Pageviews.

54 comment
♦♦♦ ต้องอ่านกันนะจ๊ะ อย่าประมาทอาจถึงตาย ♦♦♦





เรื่องนี้ เขียนโดย ครูถือศีล ดิฐวัฒน์โยธิน 
 เธอถูกเรียกว่าคุณครูเพราะเธอเป็นครูโยคะ
คุณหมอได้นำข้อเขียนของเธอมาไว้ในหนังสือของคุณหมอเรื่อง
 "จับเข่าคุยกันเรื่อง ไวรัสตับอักเสบบี ภัยเงียบที่ป้องกันและรักษาได้"
เราจึงขอคัดมาให้ได้อ่านกัน เพื่อเป็นกำลังใจ และ
 จะได้ปฏิบัติตัวได้ถูกยามเจ็บป่วยไงจ๊ะ เธอให้ชื่อเรื่องไว้ว่า

"ชีวิตต้องสู้ของพี่รหัสไวรัสบี"



เธอชื่อ "พี่เปี๊ยก" เป็นผู้หญิงค่ะ หญิงเหล็กด้วย
  เธอรู้ตัวว่าเป็นไวรัสบี เมื่อเข้าสู่ระยะตับแข็ง
ตั้งแต่ 2530 ปีที่เขียนอยู่นี้ ก็นับได้ 18 ปีแล้ว 
 ที่ครูยกให้พี่เธอเป็นพี่รหัสไวรัสบี
เนื่องจากพี่เขามีประสบการณ์ในการเป็นไวรัสบีมานานมาก
 พี่เขาผ่านการรักษามาตั้งแต่ยุคที่ไม่มียากดไวรัส รักษากันตามอาการ
พี่เขาผ่านมาทีละยุค เคยฉีดอินเตอร์เฟียรอน มาแล้ว
 เคยกินยามาแล้ว เจออาการต่างๆมาแล้ว 
  แต่ที่ครูยกให้เธอเป็นกิติมศักดิ์
เพราะเธอเป็นคนไข้ที่น่าดูเป็นแบบอย่าง 
  น่าเลื่อมใส เธอผ่านอะไรมาตั้งมากมาย
  เธอใช้ชีวิตอยู่กับตับแข็งมาตั้ง 18 ปี
และเล่าเรื่องราวต่างๆให้ครูฟังอย่างสดใส ร่าเริง
 ไม่มีทีท่าจะท้อใจใดๆเลย
  อย่าว่าแต่ไม่มีใครรู้ว่าเธอตับแข็งเลย
คุณๆดูไม่ออกด้วยซ้ำว่าอายุเธอขึ้นด้วยเลข 6 แล้ว
(อ้าว....เขาเลยรู้กันหมดเลยทีนี้ แหะ แหะ )

ครูว่าเธอเหมือนกับแสงเทียนเล็กๆ
ที่มีความหมายสำหรับคนไข้รุ่นน้องที่เพิ่งเป็นไวรัสบี
 หรือเพิ่งรู้ว่าเป็น  บางคนมองไม่เห็นอนาคต มืดมน 
  มองไม่เห็นทางว่าเราจะเป็นอย่างไร
  บางคนหมองหม่น บางคนเศร้าบางคนกลัวจะเป็นนั่นเป็นนี่
  กลัวตาย กลัวลูกเป็นกำพร้า
 ต้องเอาลูกใส่ลังไปทิ้งหน้าบ้านคนอื่น
(ดูคนเขียนมันจินตนาการเข้า)
บางคนกลัวตับแข็ง กลัวนั่นกลัวนี่ 
  บางคนกลัวจนถอดใจและปล่อยให้ร่างกายทรุดโทรม

หากได้อ่านเรื่องของพี่เปี๊ยก คุณจะรู้เลยว่า 
 คนไข้ที่ไปถึงระดับที่ต้องเปลี่ยนตับ
  ตับถูกทำลายจนแทบใช้ไม่ได้เธออยู่กับมันอย่างน่ารัก 
  อย่างไม่กลัว เธอบอกมียาก็กินไป
  เธอยังบอกว่ายาทำให้อาการต่างๆดีขึ้น
และเธอพร้อมที่จะเล่าประสบการณ์ให้ครูฟัง
  เพื่อที่จะนำมาเล่าให้รุ่นน้องฟัง
  ทำนองว่า น้องๆจ๋าอย่ากลัวไวรัสบีเลย
พี่เป็นมาตั้งนาน พี่ตับแข็งมานานขนาดนี้ 
 พี่ยังไม่เห็นว่าโรคนี้จะมีอะไรให้ต้องทรมาน
 ไม่มีเจ็บ ไม่มีปวดมีเต่อ่อนเพลียนิดหน่อย 
  และมีอาการข้างเคียงบ้าง
 แต่พี่ว่า มันไม่ใช่อะไรร้ายแรงเลย 
 โรคอื่นเขารุนแรงกว่านี้เยอะพี่เปี๊ยกเขาบอกอย่างนั้นจริงๆนะ
   การที่พี่เปี๊ยกอยู่กับตับแข็งได้ขนาดนี้
 ส่วนหนึ่งครูว่าเป็นเพราะวงการแพทย์พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ
มียาดีๆ ใหม่ๆ มาเรื่อย และสอง เธอมีหัวจิตหัวใจที่เข้มแข็ง
 และมีสุขภาพจิตที่ดีมาก เธอมองโรคในแง่ดี และมองชีวิตในแง่ดี
ซึ่งหากคนไข้ทุกคนมองโลกและมองโรคได้อย่างพี่เปี๊ยกเขา
 ครูว่าไวรัสบีก็ไวรัสบีเหอะ มันจะทำอะไรเราได้นักหนา
เป็นโรคที่มีบทบาทน้อยจะตาย เจ็บก็ไม่มี ปวดก็ไม่มี 
  เป็นโรคที่ยังดีกว่าอีกหลายๆโรค


ตอนที่อาจารย์แนะนำให้ครูรู้จักกับพี่เปี๊ยก 
 อาจารย์บอกว่าพี่คนนี้ตับแข็งมา 18 ปี กำลังรอตับใหม่
ครูงงเหมือนกันนะ เพราะครูคิดว่าคนเป็นตับแข็งน่าจะเป็นมาก
  มีโทรม มีซูบ มีทรุดจนเห็นได้ชัด  บางคนทรุดจริง 
 ทรุดเพราะเครียด แต่ที่ครูเห็นเธอ
 สภาพไม่น่าจะเหมือนคนที่รอตับใหม่ 
 ทำไมเธอดูยิ้มแย้มแจ่มใส
รูปร่างหน้าตาท่าทางไม่เหมือนคนป่วยเลย 
 เธอยังให้ข้อคิดกับรุ่นน้องว่า
"โรคเนี่ยะ ถ้าเราไปกลัว ใจเราฝ่อเราไปคิดว่ามันหนัก
  เมื่อใจเราเป็นอย่างนั้น ร่างกายเรามันก็จะทรุดโทรม
  เรากลัวกันไปเอง ถ้าเราคิดว่ามันไม่มีอะไร
ทุกอย่างรักษาได้ ทุกอย่างแก้ไขได้ ม้นก็ไม่มีอะไร
  พี่อยู่ทุกวันนี้ก็ไม่มีอะไร
  หมอให้ยามาก็กินยาตามที่หมอบอกหมอนัดไปตรวจอะไร 
 พี่ก็ไปตามที่หมอนัด
 พี่จะทำหน้าที่ของพี่ ไม่เห็นมันจะน่ากลัวเลย" พี่เปี๊ยกกล่าว
เธอดูไม่เหมือนผู้ป่วยจริงๆนะ พี่เปี๊ยกเธอรอตับใหม่มาได้ปีหนึ่งแล้ว
 คือตับแข็งมา 17 ปี หมอถึงวินิจฉัยให้เปลี่ยนตับ
แต่ยังไม่ได้ตับที่ถูกใจ เอ๊ยที่ใช้ได้ตอนนี้เธอเป็นคิวแรก
  ที่ตับเธอได้ช้าเพราะกรุ๊ปเลือด เอบี หายากหน่อย
การจะนำตับใครมาใช้มันต้องมีกรุ๊ปเลือดที่ตรงกันด้วย
  เห็นไม๊ว่าให้รักษาตับเก่าเราไว้ เพราะตับใหม่มันต้องรอนาน


เธอเล่าถึงสิ่งที่เธอประสบ เล่าถึงอาการต่างๆ 
 แชร์ประสบการณ์ ได้อย่างตลกขบขัน
เธอบอกว่า เธอไม่เห็นจะกลัวอะไร ไม่มีอะไรให้เธอกลัว
 เธอบอกครูว่า ยังมีคนที่โชคร้ายกว่านี้ เช่น คนที่พิการ
ตาบอด ขาขาดจากอุบัติเหตุ คนเป็นไวรัสบีไม่ได้พิการ
  แม้ว่าจะทำให้ความสามารถในการทำงานลดลงบ้าง
ในช่วงที่มีอาการอักเสบมาก เช่นอาการอ่อนเพลีย
 แต่ถ้าการอักเสบดีขึ้น หรือได้รับยาช่วยบรรเทา
 ก็ใช้ชีวิตเหมือนคนปกติ
เท่าที่ครูดูก็เห็นว่าเธอดูปกติจริงๆด้วยแหละ
  "พี่น่ะตับแข็งมานานยังไม่เห็นมีอะไร 
 หลานชายพี่เขาเป็นผู้ชายอายุแค่สามสิบกว่านิดๆ 
 ไปหาหมอที่โรงพยาบาล..(สงวนนาม)
 แทนที่หมอจะอธิบายหรือตรวจอะไร ตรวจก็ยังไม่ทันตรวจ
แถมพาไปดูคนไข้อาการหนักๆแบบที่ต้องถือถุงปัสสะวะ
  คนไข้ระยะสุดท้ายใกล้ตาย
 หลานพี่เขาเลยหดหู่ใจกลับมาบ้านเจ็บตับทันที
  ใจมันไปแล้ว ใจกลัวไปก่อน
 เขาคิดว่าตัวเองเป็นอะไรเสียมากมาย ก็เลยเจ็บตับขึ้นมา"
พี่แกเล่ายิ้มๆต่อมาพี่เลยแนะนำให้แกมาหาอาจารย์
(อาจารย์ปิยะวัฒน์ ของเรา)
 อาจารย์แกก็จับตรวจและเจาะดูสภาพของตับ
ตรวจดูผลเลือด มีตับอักเสบเล็กน้อย 
 ไม่ได้จะตับแข็งหรือเป็นอะไรมากมายเลย
  แต่เขากลัวไปเองมันก็ทรุดเพราะความกลัว 
 พอเขารู้ว่าไม่เป็นอะไร เขาก็หายเจ็บตับ"


เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ใจคิดว่าเจ็บ มันก็เจ็บ
 (คนไข้ไม่ได้แกล้งเจ็บ หรือมารยา คือใจมันคิด
ร่างกายมันจะหลั่งสารออกมาตอบสนอง คนไข้จะรู้สึกเจ็บจริงๆ
 แต่ไม่ได้เจ็บจากโรค แต่เจ็บจากจิตเป็นตัวสั่ง)
หากใจคิดว่าหนัก กายก็หนัก ใจรู้ว่าไม่เป็นอะไร เราก็ไม่เป็นอะไร
  ดังนั้น คนไข้ไวรัสบีไม่ควรตีตนไปก่อนไข้
อย่ามัวแต่คิดมากเดี๋ยวเจ็บตับนะเอ้า แต่ถ้าท่านเจ็บตับ
และไม่แน่ใจว่าเจ็บเพราะโรคหรือเพราะกลัว 
 ไปตรวจจะดีที่สุดเพราะในบางระยะอาจมีเจ็บตับที่เกิดจากโรคจริง 
 เช่น มะเร็งตับที่มีเจ็บตับได้
 หรือตับอักเสบจนตับโตก็มีเจ็บตับได้
แต่ส่วนใหญ่จะเจ็บตับจากความเครียดมากกว่า
   ประสบการณ์ของพี่เปี๊ยกพี่เปี๊ยกพบว่าตัวเองเป็นไวรัสบี
เมื่อมีอาการมากแล้วพอเธอมาพบแพทย์
แพทย์ก็เจาะตัวอย่างชิ้นเนื้อตับ หรือที่เรียกสั้นๆว่า "เจาะตับ"
 พบว่าพี่เขาได้เข้าสู่ระยะตับแข็งแล้ว
จะว่าพี่เขาพบแพทย์ช้าไหม จริงๆแล้วก็เรียกว่าช้า
  แต่แพทย์ก็พยายามประคับประคองพี่เขาให้อยู่มาได้ตั้ง 18 ปี
และครูรู้ว่าพี่เขาจะยังอยู่อีกนาน 
 "สมัยแรกๆที่พี่เป็น เขายังไม่มียาเข้ามาเหมือนตอนนี้
 ตอนนั้นก็ไม่เรียกว่ารักษาคือมีอาการอะไรก็รักษากันไปตามอาการ
 เช่น เป็นไข้ก็กินยาลดไข้ ไม่ได้มียามาลดจำนวนไวรัสเหมือนสมัยนี้
การรักษาก็เป็นการเยียวยากันไป" 
  ต่อมาก็มียาใหม่ๆ มีวิวัฒนาการใหม่ๆเข้ามา
 พี่เขาก็ก้าวตามโดยเริ่มจากฉีดอินเตอร์เฟียรอน
  พี่เขาฉีดไปครบหกเดือนแรกแล้ว
อาการดีขึ้น หลายปีต่อมาก็มีอักเสบอีก
อาจารย์ก็แนะนำให้ฉีดอินเตอร์เฟียรอนอีกคอร์ส 
 แต่คอร์สที่สองต้องหยุดกลางคัน
 เพราะเม็ดเลือดขาวมันตกมากจนน่าเป็นห่วง
(หมอจะคอยเช็คเลือดเสมอ)
 อาจารย์จึงบอกว่าหยุดดีกว่า แล้วเปลี่ยนวิธีการรักษา
 โชคดีที่ตอนนั้่นมียากินเข้ามา
ยากินไม่มีผลข้างเคียง แล้วก็ช่วยควบคุมอาการให้ดีขึ้นตามลำดับ 
 จนใช้ชีวิตได้เป็นปกติ
แต่คนไข้ตับแข็งต้องเข้าใจอยู่เรื่องหนึ่ง คือ
ความรู้สึกอ่อนเพลียเบื่ออาหาร และไม่มีเรี่ยวแรง
มีพลังร้อยเปอร์เซนต์เหมือนคนอื่นเขา พี่เขาก็ทำใจได้ 
 แต่ไม่ต้องเจ็บปวดทรมานพี่เขาก็พอใจแล้ว
แม้พี่เขาต้องหยุดอินเตอร์เฟียรอนคอร์สที่สองกลางคัน
  พี่เขาก็ไม่เคยย่อท้อต่อการรักษา
ยากินสมัยใหม่นี้ดีกว่าอินเตอร์เฟียรอน
ในแง่ของผลข้างเคียงน้อยกว่า
 เธอก็ปรับมากินยา ตั้งแต่ลามิวูดีน กินไปเรื่อยๆ
พอเริ่มดื้อยาอาจารย์ก็ให้เธอเปลี่ยนยาตัวใหม่เป็นอเดโฟเวีย
  ยิ่งมีการคิดค้นยาใหม่ ก็ยิ่งมีพัฒนาการขึ้น
ยากินนี้ทำหน้าที่กดจำนวนไวรัส ไปตัดวงจร
ที่สายพันธุกรรมของไวรัส
ทำให้มันไม่สามารถเกิดใหม่หรือเพิ่มจำนวนได้
พูดภาษาชาวบ้านง่ายๆคือ "ทำหมันไวรัส" พอมันถูกทำหมัน
 ไวรัสมันก็ออกลูกออกหลานไม่ได้
และตัวไวรัสเองมันก็มีอายุขัยของมัน มันก็จะตายไป 
 ตายไปโดยไม่ออกลูกหลาน
  ก็ทำให้ไวรัสในร่างกายลดจำนวนลง
นี่คือหน้าที่ของยากิน อย่าลืมว่าไวรัสมันไม่หมดไป 
 แต่การกินยาลดจำนวน
  ต้องการลดให้มันเหลือน้อยที่สุดเท่าที่จะน้่อยได้
พี่เปี๊ยกได้นับจำนวนไวรัสก่อนและหลังกินยา 
 ผลเลือดออกมาปรากฎว่า
  จำนวนไวรัสลดลงมากจนอยู่ในระดับที่อาจารย์ปิยะวัฒน์พอใจ 
 พี่เขาก็พอใจ ครูก็พอใจ
  ถ้าคุณหลวงทราบเรื่องก็คงจะพอใจ
แกบอกว่า ยาใหม่ทำให้แกอยู่อย่างสบายๆ
   หมายเหตุ คุณหลวงในที่นี้คือไอ้ตัวเล็ก(สุนัข)
ที่บ้านแกหน้าตาน่ารักมาก เธอตั้งชื่อเองค่ะ บอกแล้วพี่เขาน่ารัก
  แม้พี่เขาจะมีจำนวนไวรัสน้อยลงแต่ด้วยความที่พี่เขาเริ่มต้นรักษา
เมื่อเข้าสู่ระยะตับแข็งแล้ว 
 ทำให้บางครั้งต้องพบอาการข้างเคียงของตับแข็ง
กล่าวคือ มีท้องมานบ้างในบางโอกาส 
 และบางครั้งมีอาการทางสมอง
และมีบวมขาบ้าง ส่วนอาการทางสมองก็มีเป็นพักๆ
พอเป็นแล้วก็หายไป เพราะหมอเขามียาให้กินลดอาการ 
 พี่เขาบอกว่า ทุกอย่างมันมาแล้วมันก็ไป
พี่เขาไม่เคยไปกลุ้มกับมัน
 คำพูดแต่ละคำที่พี่เขาพูดน่านับถือยิ่งนัก
จริงเนอะ อะไรก็ตาม มันมาแล้วมันก็ไป











อาการทางสมองเป็นยังงี้ค่ะ 
  พี่เปี๊ยกเล่าเรื่องนี้อย่างสนุก น่ารัก ทั้งๆที่เรื่องมันไม่สนุกเลย
แกบอกว่าตอนที่มีอาการนั่้นมันไม่สนุก ไม่ตลก
  แต่พอผ่านมาแล้วมันตลก
 พี่เปี๊ยกมองโลกในแง่ดีเสมอเหลือเชื่อเขาเลย
  มิน่าทำไมคนรอบข้างถึงได้รักพี่เปี๊ยก
 คุณหลวงก็รักพี่เปี๊ยก จะมีเคืองๆกันบ้าง
ก็ตอนที่พี่เขาจับคุณหลวงแปรงฟันนั่นแหละ
 "เรื่องที่พี่เล่าน่ะไม่ละเอียดหรอกนะ เพราะมีบางครั้ง
ก็ไม่รู้ตัวเหมือนกันต้องไปถามสามีพี่
  เขาคงพูดว่า...อ๋อ อาการของหล่อนน่ะเหรอชั้นไม่อยากจะพูด!"
อาการทางสมองเกิดจากการที่ตับขับของเสียออกไม่ได้ 
 เพราะตับไม่ทำงาน มันจึงไปคั่งค้างที่สมอง
ทำให้เกิดอาการสับสน
(ไม่ได้เกิดขึ้นทุกวันหรอกนะ นานๆพี่เขาจะเป็นที)
"สับสนยังไงหรือพี่ หลงทาง หรือว่าบวกลบเลขไม่ได้" ครูถาม
"มันไม่ใช่แค่นั้นน่ะซิ มันสับสนและน่ารำคาญ
และหงุดหงิดมาก" แล้วพี่ก็เล่าเป็นฉากๆ


อาการทางสมองของคนไข้ตับแข็งเป็นแบบนี้ 
 "บางครั้งเมื่ออาการของพี่หายไปแล้ว
 ญาติเล่าว่าพี่จะเหมือนตื่นตัวจะเที่ยวโทรหาคนนั้นคนนี้ 
 จะคุยกับคนนั้นคนนี้
 เอาสมุดโทรศัพท์เอาหมายเลขมาวางข้างหน้า
แต่ก็กดไม่ถูก กดผิดกดถูก ไปติดบ้านคนอื่นบ้าง บ่อยไป 
 พอมีคนกดโทร.ให้ พี่ก็พูดกับญาติใหญ่เลย
แต่ญาติบอกว่าพี่พูดไม่รู้เรื่อง คือทางปลายสายฟังไม่รู้เรื่อง
 จับประเด็นไม่ได้ เหมือนพูดไปอย่างนั้น
อยากคุยกับคนนั้นคนนี้ แต่สับสนไปหมด
  ไม่รู้เนื้อความทั้งเราทั้งเขา


"พี่เข้าห้องน้ำจะอาบน้ำ พี่ร้อน พี่เปิดน้ำไม่ได้
  ไม่รู้ว่าการเปิดน้ำมันเป็นอย่างไร
 เห็นอยู่ว่ามีก๊อกน้ำก๊อกที่เคยเปิดอยู่ทุกวี่วัน
  แต่วันนั้นไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรให้น้ำมันออกมา
 ไม่รู้ว่าจะบิดหัวก๊อกไปทางไหน ทำอะไรไม่ถูกเลย
พี่จะฉี่ พี่เห็นว่าโถมันอยู่ข้างหน้า แต่ไม่รู้จะฉี่ยังไง !
  ไม่รู้ว่าจะฉี่มันต้องทำยังไง
 พี่ก็ถามแฟนพี่ว่าจะฉี่ยังไงเขาก็คงหงุดหงิดพี่น่าดู" 
  พี่เขาเล่าแล้วหัวเราะสามีพี่เขานั่งอยู่ข้างๆ ก็นั่งอมยิ้ม
 (บางจังหวะก็แอบค้อนเล็กน้อยถึงปานกลาง)


พี่มองนาฬิกาเห็นว่าเข็มสั้นอยู่เลข 3 เข็มยาวอยู่เลข 12 
 ได้แต่ดูแต่ไม่รู้ว่ามันกี่โมง ต้องถามคนอื่นว่ากี่โมง
ทั้งๆที่ใส่นาฬิกาอยู่ต้องแกล้งบอกคนอื่นว่าตาไม่ดี 
 มองไม่เห็นคือถ้าพี่ปกติดี พี่ก็รู้ว่ามันคือบ่ายสามโมง
แต่เวลาที่พี่เป็น พี่ไม่รู้จริงๆว่ามันกี่โมง 
  พี่ร้อนพี่ก็บอกคนในบ้าน
  แต่พี่พูดว่า พี่หนาว คนในบ้านก็ไม่เข้าใจ
พี่ก็โมโหที่ทำไมคนรอบข้างไม่เข้าใจเขาเล่าว่าพี่บอกว่า
พี่หนาว  แต่พี่ถอดเสื้อผ้าออกแล้วก็เป่าพัดลม
พอคนในบ้านไม่เข้าใจพี่ก็หงุดหงิดเมื่อก่อนสามีพี่เขาไม่เข้าใจ
 เขาก็พลอยหงุดหงิดตวาดพี่กลับมา ทำให้พี่น้อยใจมาก
เขาน่าจะเข้าใจนะว่าพี่ไม่รู้เรื่องจริงๆ พี่สับสนและเครียดมาก
 "บางทีพี่หงุดหงิดอยากจะถอดกำไลที่สวมอยู่
พี่ถอดมันไม่ออกเพราะพี่ไม่เข้าใจว่าจะถอดอย่างไร
  การถอดของออกจากตัวต้องทำอย่างไร
พี่เอามือดึงกำไลเข้าหาตัวกระชากแรงๆ
คนในบ้านก็ถามว่าพี่จะทำอะไร พี่บอกว่าพี่จะถอด
ในใจพี่ก็จะถอดจริงๆ แต่แทนที่พี่จะดึงไปทางด้านมือ
ให้ออกทางมือแต่พี่กลับดึงมันเข้าดึงขึ้นเข้าหาศอก
   พอถอดไม่ออกก็ยิ่งหงุดหงิด พอพี่จะแต่งตัวก็ไม่รู้ว่า
เสื้อตัวไหนมันต้องใส่กับกางเกงตัวไหน
  ไม่รู้ว่าอันไหนมันต้องใส่ด้วยกัน สามีพี่ก็ส่งกางเกงให้
พี่ก็บอกว่าไม่ใช่กางเกงของพี่ ทั้งๆที่มันเป็นกางเกงของพี่
 คือมันสับสนไปหมด สามีพี่ก็คงลำบากใจอยู่"


"บางครั้งพี่นอนแบบมาราธอน คือนอนติดต่อกัน 4 วัน
 ไม่กินอะไรแล้วก็ไม่เข้าห้องน้ำ ที่บ้านเรียกก็ไม่ลุก
เขาก็ไม่อยากรบกวน คิดว่าพี่คงต้องการพักผ่อน
  แต่พอพี่ตื่นขึ้นมาวันที่ 4 ก็หิวมาก
  คนมันไม่ได้กินข้าวมาตั้ง 4 วัน
ทีนี้พี่จะบอกคนที่บ้านว่าพี่หิว พี่ก็พูดคำว่าหิวไม่ถูก
  ไม่รู้จะพูดอย่างไร นึกคำว่าหิวไม่ออก
  ได้แต่หงุดหงิดเหมือนโวยวาย
คนที่บ้านก็ถามว่าจะเอาอะไร พี่ก็พูดไม่ถูก 
 แค่คำว่า "หิว" คำเดียวพี่พูดไม่ถูก
 รู้สึกแต่ว่ามันหิวมาก แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าหิว 
 ไม่สามารถกลั่นมันออกมาเป็นคำพูดได้
  มันเป็นความรู้สึกที่ทรมานมากจริงๆ


ปกติพี่เป็นคนที่ใจดีนะ เวลาพี่ใจดี พี่ใจดีมาก 
 แต่พอมีอาการทางสมอง
พี่จะกลายเป็นอีกคนที่ญาติไม่กล้าเข้าใกล้ด้วยซ้ำ
พี่จะโมโหร้ายควบคุมตัวเองไม่ได้ 
  ซึ่งพี่ก็ไม่ได้อยากเป็นอย่างนั้น แต่มันเครียดจริงๆ"

จากที่พี่เขาเล่ามา ใครอ่านก็คงเข้าใจพี่เขา 
 เป็นครูต่อให้ครูใจเย็นอย่างไร
 ใจดีอย่างไร ครูก็คงโมโหอยู่เหมือนกัน
การที่เราเคยทำอะไรได้แล้วอยู่ๆมันทำไม่ได้ มันสับสน 
 พูดก็ไม่ได้ ไม่รู้จะพูดว่าอย่างไร
  ต่อให้เขียนยังไม่ได้เลยเพราะไม่รู้ว่าหิวมันเรียกว่าหิว
 แค่ครูฟังอาการต่างๆของพี่เขาแล้ว ครูก็รู้สึกว่า
 "ถ้าเป็นฉัน ฉันก็โมโห"
คุณอ่านมาลองนึกดูซิ ว่าถ้าคุณมีอาการอย่างพี่เขา 
 คุณจะโมโหตัวเองมั๊ย


ครูจึงต้องฝากคำขอร้องมายังญาติผู้ป่วยทุกคน 
 ต้องเห็นใจเขานะคะ
 ถ้าได้อ่านเรื่องที่พี่เปี๊ยกเล่าคุณคงรู้ว่ามันน่าโมโห
  น่าหงุดหงิดขนาดไหนที่มีอาการทางสมองเช่นนี้ 
 อยากให้ญาติเข้าใจถึงความรู้สึก
ทุกข์ทรมานของผู้ป่วยมากๆ อย่าไปดุหรือตวาดผู้ป่วยเลย
 จริงอยู่ว่าผู้ป่วยแสดงสิ่งที่ก้าวร้าวรุนแรงหรือโวยวาย
ทำให้ท่านรำคาญใจหรือโมโหบ้าง แต่นั่นคืออาการป่วยของเขา
 และเกิดจากความทรมานของเขา เขาไม่ได้ตั้งใจ
เมื่อของเสียที่คั่งค้างในสม่องหมดไป 
 เขาก็จะกลับมาเป็นคนเดิมเอง
  ช่วงที่เขามีปัญหา ญาติต้องไม่ดุเขา
อย่าไปตะคอกเขากลับเพราะ
นอกจากจะไม่ทำให้อาการเขาดีขึ้นแล้ว
 ยังทำให้เขาน้อยอกน้อยใจอีกต่างหาก


และมีปัญหาอีกอย่าง หากญาติไม่เข้าใจว่า
เป็นอาการของคนไข้ตับแข็ง
  ก็มักจะคิดว่าคน่ไข้ "เป็นบ้า" 
อาจจะส่งตัวไปโรงพยาบาลทางจิต
  มีบ้างที่หลุดไปแผนกจิตเวช สุดท้าย
ก็ถูกหมอตามกลับมาว่าเขาไม่ได้เป็นบ้า
แต่เป็นอาการทางสมองของผู้ป่วยตับแข็ง และที่เป็นห่วงก็คือ
 จิตแพทย์มือใหม่ที่ไม่รู้จักอาการของโรคนี้
เกิดคิดว่าเป็นโรคจิต จะทำให้หลงทางในการรักษา


หลายคนฟังเรื่องราวพี่เปี๊ยก คงไม่เข้าใจกับคำบางคำ
หรือบางสถานการณ์เช่น อินเตอร์เฟียรอน คืออะไร
อาการทางสมองเกิดจากอะไร ตับแข็งคืออะไร 
 ทำไมจึงเรียกว่าตับแข็ง
 และอ่านไปเรื่อยๆก็จะเจอศัพย์แปลกๆ
ไม่ต้องกังวลไปค่ะ เดี๋ยวอาจารย์จะค่อยๆอธิบายเป็นคำๆไป
  เป็นเรื่องๆไป



#########################



เป็นไงกันบ้างคะ อ่านเรื่องจริงไม่ใช่อิงนิยายแล้ว
รู้สึกอย่างไรบ้าง เป็นหนทางเดียวที่เราจะพ้นจากโรคนี่้ได้คือ
ต้องหาหมอตรวจเลือดเช็คไวรัสซะ 
  ว่าเธอแอบหลบเข้ามาอาศัยอยู่ในตับเราหรือไม่
  ถ้ามีจะได้ช่วยกันกำจัดได้ทันท่วงที
อย่าทิ้งไว้จนเป็นมากสุดจะเยียวยานะ 
  เพราะอาจจะแก้ไขไม่ทันกาารณ์
 ท่านยมจะพาเราไปอยู่ด้วยก็ได้นะจ๊ะ

คนนำมาให้ท่านอ่านนี่ก็เถอะ 
 ยังไม่รู้ว่าวันใดจะโดนแจ๊คพ็อตเลย
  ไม่ว่ากันนะถ้าต่อไปอาจจะมีอาการเพี้ยนบ้าง
นึกว่าเมตตา อโหสิกันไปก็แล้วกันนะจ๊ะ 
 คนอ่านทีน่ารักทุกท่าน ฮ่าๆๆๆๆๆ
รักษาสุขภาพกันถ้วนหน้านะจ๊ะ








Create Date : 17 พฤษภาคม 2555
Last Update : 7 สิงหาคม 2557 16:40:57 น.
Counter : 1487 Pageviews.

5 comment
♦♦♦ คุณแน่ใจหรือว่า........คุณไม่ได้ซุกซ่อนน้องไวรัสไว้ในตับคุณ.?????? ♦♦♦




วันนี้ยังคงเสนอข้อเขียนของคุณหมอ
  นพ.ดร.ปิยะวัฒน์ โกมลมิศร์ 
 นายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคตับ
ของโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ อีกเช่นเคย 
ตอนนี้คุณหมอท่านตั้งคำถามไว้ว่า 
" ไวรัสแอบอยู่ในตับนานๆ และเกิดอะไรขึ้น"


คุณหมอมีคำตอบให้แล้ว
เราขอคัดลอกข้อเขียนของคุณหมอมาให้ท่าน
ได้อ่านกันเป็นความรู้ แต่ถ้าหากท่านต้องการรู้ให้มากยิ่งขึ้น
ควรจะไปหาซื้อหนังสือ
" จับเข่าคุยกันเรื่องไวรัสตับอักเสบบีภัยเงียบ
ที่ป้องกันและรักษาได้"
ของคุณหมอมาอ่านซะนะ มีขายตามร้านหน้งสือ
ลองไปหาซื้ออ่านดู  คุณหมอเขียนไว้ดังนี้


มันแอบอยู่ในตับ ! แอบซ่อนตัวจนผู้ที่ถูกสิงสู่แทบไม่รู้ตัว 
 จนถึงวันยกทัพจับศึกของไวรัสออกมาสู้กับร่างกายครั้งใหญ่
หรือมาแบบนิ่มนวล มันกัดมันกร่อนคล้ายสนิม
  คร่าชีวิตของเซลตับไปทีละน้อย
ถึงเวลานั้นไวรัสก็ประกาศช้ยชนะ
ชีวิตจริงของผู้ที่ไม่หมั่นตรวจเช็คร่างกาย
ของผู้ที่รู้ตัวอยู่แล้วว่ามีไวรัสบีซ่อนอยู่ 
แต่ขาดความเอาใจใส่
ในบทนี้จะสรุปรวมให้เห็นถึงแผนที่ชีวิตของการสู้รบ
ระหว่างไวรัสกับร่างกาย ตับของผู้ที่มีไวรัสบีแอบซ่อนอยู่
จะมีความเป็นไปอย่างไร มีชีวิตอยู่อย่างราบรื่น
หรือล้มลุกคลุกคลาน


กรุณาอ่านบทนี้เพื่อเป็นพื้นความรู้เบื้องต้น 
  ในบทถัดไปผู้เขียนได้ขอให้ "ครูถือศีล"
  รับหน้าที่ตีแผ่ชีวิตของคุณวันทนาผู้กล้าท้าสู้กับไวรัสบี
  เมื่อเธอพบกับไวรัสครั้งแรกก็ทราบจากแพทย์ว่า
    ตับเธอได้แข็งไปแล้ว เธอเหลือเวลาอีกไม่นาน
เธอทำอย่างไรจึงยื้อชีวิตต่อมาได้ถึง 17 ปี 
  ชีวิตแห่งการต่อสู้ 
 เกิดอะไรกับคุณวันทนาบ้าง ท้ายที่สุดของชีวิต
เธอเหลือเพียงสองทาง ทางที่ไม่มีวันกลับ 
  กับ หนทางสุดท้าย......


คนไทยส่วนใหญ่ได้รับเชื้อไวรัสมาตั้งแต่เด็กๆ 
  และส่วนใหญ่จะเป็นการติดเชื้อมาจากมารดาขณะคลอด
เป็นเรื่องแปลกแต่จริง ถ้าเราติดเชื้อไวรัสบีตั้งแต่วัยเด็ก 
 ยิ่งเล็กก็ยิ่งมีโอกาสการติดเชื้ออย่างเรื้อรังสูง
ถ้าได้รับเชื้อมาหนึ่งร้อยคน 
  เก้าสิบเก้าคนไวรัสจะอยู่ต่อไปแบบเรื้อรัง 
  ถ้ามาติดตอนโตแล้ว  ในหนึ่งร้อยคน 
 เก้าสิบเก้าคนโรคจะหายเอง 
  มีเพียงหนึ่งคนทีจะติดเชื้อแบบเรื้อรัง
ขอให้ลองทำความเข้าใจกับกราฟชีวิต 
  เพื่อให้ท่านได้เห็นความเป็นไปของตับ
เมื่อไวรัสอยู่กับเราแบบเรื้อรัง


คนที่ได้เชื้อมาใหม่ๆจะเกิดการอักเสบแบบเฉียบพลัน
  ซึ่งที่จริงแล้วมักไม่มีอาการให้รู้ถ้าผ่านไปหกเดือนถึงหนึ่งปีแล้ว
   เชื้อยังตรวจพบอยู่ ก็เรียกว่าติดเชื้อแบบเรื้อรัง
ไวรัสบีที่อยู่แบบเรื้อรังมีวงจรชีวิตผันแปร
ไปตามความแข็งแกร่งของภูมิคุ้มกันของร่างกาย
มีทั้งแบบอยู่กับร่างกายแบบไม่มีปัญหา 
 โดยเฉพาะช่วงอายุไม่เกิน 20 - 30 ปี
  ต่อมาก็จะอยู่กันแบบมีการอักเสบของตับ
ระยะแบบอีบวก ถ้าร่างกายสู้รบสำเร็จ
ก็จะเข้าสู่ระยะที่เรียกว่า พาหะแบบเชื้อน้อย  
หรือ อินแอคทีฟแคร์ริเออร์ (inactive carrier) 
 บางคนเข้าสู่ระยะหาย คือ HBsAg หายไป
  เกิดมีภูมิต้านทาน AntiHBs เกิดขึ้น
แต่ถ้าไวรัสยังอยู่รอดและฟื้นตัวขึ้นใหม่จากระยะ
  inactive carrier ก็จะเข้าสู่ตับอักเสบเรื้อรังระยะ "อีลบ"
ระยะนี้เกิดปัญหากับตับมาก รักษาก็ยาก 
  เรื่องของวงจรชีวิตของไวรัสท่านเป็นแบบใด 
 ขอให้อ่านและทำความเข้าใจในบทต่อๆไป



ขอเริ่มที่ผู้ป่วยซึ่งมีไวรัสซ่อนอยู่แล้ว
ก่อให้เกิดตับอักเสบเรื้อรัง
จะเป็นแบบ "อีบวก" หรือ "อีลบ" ก็ตาม
จะเกิดการอักเสบข้างในเนื้อตับ อาจจะมีหรือไม่มีค่าของ
 SGOT (AST) หรือ SGPT (ALT) เพิ่้มขึ้นร่วมด้วยก็ได้









ดูจากแท่งกราฟในช่วงที่สอง 
  ระยะนี้เมื่อเวลาผ่านไป 10 - 20 ปี 
 ระหว่างนั้นตับจะเกิดการอักเสบซ้ำแล้วซ้ำอีก
อักเสบมากบ้างน้อยบ้างเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา 
  บางคนที่อักเสบรุนแรงก็มาด้วยอาการอ่อนเพลีย 
 ตาเหลืองตัวเหลืองบางครั้งมาคล้ายกับแบบเฉียบพลัน
และรุนแรง ถ้ารักษาไม่หายก็เสียชีวิต แต่คนส่วนใหญ่แล้ว
มักจะเป็นแบบกัดกร่อนไปทีละน้อยไม่รู้ตัว
  ขอให้สังเกตให้ดี จากแท่งกราฟในช่วงที่สองสู่ช่วงที่สาม
  จะเห็นว่ามี 50 ถึง 60 คนจาก 100คน
ของผู้ที่มีตับอักเสบเรื้อรัง 
 (50 - 60 %) ที่เข้าสู่ระยะตับแข็ง
เมื่อเวลาผ่านไปเกิน 10 ปี ถ้ามองในมุมกลับ
มองโลกในแง่ดี จะเห็นว่า 40 ถึง 50 คนใน 100 คน 
 ของช่วงที่สอง จะมีชีวิตอยู่ต่อไปแบบสบายๆ
 ไม่เกิดตับแข็ง
มีชีวิตยาวเหมือนคนทั่วๆไป แต่ปัญหาคือ 
 เหมือนกับเรากำลังโยนเหรียญเสี่ยงดวง 
 ใครจะได้หัว ใครจะได้ก้อยใครจะโชคดี 
 แล้วใครล่ะจะโชคร้ายได้โรคตับแข็ง


เมื่อผ่านเข้าช่วงที่สาม เริ่มแรกจะเป็นตับแข็งระยะต้น 
 คำว่าตับแข็ง นี้หมายถึง
การเกิดแผลเป็นในเนื้อตับกระจายไปทุกส่วนของตับ 
 ตับแข็งระยะต้นถึงระยะกลางๆ
คือผ่านไป 5 - 10 ปี มักจะไม่แสดงอาการอะไรทั้งสิ้่น 
  ตรวจเลือดก็พบเพียงค่าการอักเสบขึ้นๆลงๆ
หรือหลายกรณีจะเห็นว่าค่า AST และ ALT 
 จะมีค่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ 
 ตรวจอัลตราซาวนด์  ก็เห็นสีของตับขาวขึ้น 
 คล้ายๆกับมีไขมันในตับ 
 บอกไม่ได้ว่ามีตับแข็งซ่อนอยู่ ไม่เท่านั้น 
 ทั้ง CT scan และ MRI
ก็บอกไม่ได้ว่ามีตับแข็ง ถ้าจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน 
 ไม่รีบให้ยารักษา ผ่านไปสิบกว่าปี 
 โรคตับแข็งจะเข้าสู่ระยท้าย
เห็นได้จากกราฟแท่งที่สี่ ผู้ป่วยจะค่อยๆทยอยเป็นไป 
 เป็นมากขึ้น มากขึ้น จนลาจากไปภายในระยะหนึ่งถึงสามปี


ตับแข็งระยะท้าย ที่ว่าเป็นไป เป็นมากขึ้นๆ 
 จนจากไปนั้น เป็นอะไรกันแน่!

ตับแข็งที่เป็นมากขึ้น จะมีแผลเป็นหรือพังผืดกระจาย
ตัวแทนที่เนื้อตับที่ดี ซึ่งเหลือน้อยลงไปทุกที
การที่มีพังผืดมาก การไหลเวียนของหลอดเลือดในตับ
จะเกิดการตีบแคบ เลือดต้องหาทางวิ่งใหม่
โดยวิ่งย้อนกลับทางไปสร้างทางไหลเวียนใหม่ 
 ทำให้เกิด หลอดเลือดโป่งพองในหลอดอาหาร
หรือกระเพาะอาหาร
คล้ายๆกับหลอดเลือดขอดที่ขาที่เห็นกันบ่อยๆ 
 วันดีคืนดีหลอดเลือดนี้ก็แตกออก ผู้ป่วยจะอาเจียนเป็นเลือด
เลือดออกได้เป็นลิตรๆถ้ามาโรงพยาบาลทันก็ช่วยทัน

เนื้อตับดีที่เหลือน้อยลงไปทำงานไม่พอ 
 สร้างโปรตีนแอลบูมิน ออกมาน้อย
  โปรตีนนี้มีหน้าที่ดึงน้ำกลับเข้ามาในหลอดเลือด 
พอโปรตีนลดลง น้ำจะเริ่มซึมออกจากหลอดเลือด
ไปอยู่ข้างนอกทำให้เกิดขาบวมชนิดกดบุ๋ม 
  ลองเอานิ้วไปกดจะบุ๋มลงไปตามนิ้ว
แล้วไม่คืนกลับโดยเร็ว เป็นมากเข้าก็จะมีน้ำในช่องท้อง
มีตั้งแต่น้อยจนมากถึงกับแน่นหายใจไม่ออก 
 พอมีน้ำอยู่ในท้องก็จะตามมาด้วย
การติดเชื้อแบคทีเรียในช่องท้อง 
 ซึ่งอันตรายมากเชื้อโรคเหล่านี้
มักจะหลุดออกมาจากอุจจาระ
ในลำใส้ใหญ่ผ่านมาทางกระแสเลือด


เนื้อตับดีที่เหลือน้อยลง 
 ก็สร้างโปรตีนที่ช่วยในการแข็งตัวของเลือดลดลง
  เลือดจึงแข็งตัวยากทำให้เลือดออกง่าย ออกแล้วหยุดยาก 
 เลือดที่ไหลเวียนผ่านตับไม่ดี 
 ทำให้ความดันในหลอดเลือดดำของตับสูงขึ้น
เลือดก็ไหลย้อนกลับไปที่ม้าม 
  ซึ่งเป็นอวัยวะอยู่ในช่องท้องด้านขวาบน ม้ามจะโตขึ้น
ม้ามมีหน้าที่จับกินเชื้อโรคและจับกินเม็ดเลือด
ทั้งเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว 
 และเกล็ดเลือด จะทำให้เม็ดเลือดเหล่านี้ลดลง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกล็ดเลือดที่ต่ำลง 
  จะทำให้เลือดออกง่ายออกแล้วหยุดยาก
  มีจุดเลือด จ้่ำเลือดตามร่างกาย
เลือดกำเดาออกง่ายเลือดซึงออกตามไรฟัน


เนื้อตับดีที่เหลือน้อยลง
จะไม่เหลือพอที่จะขับพิษออกทางท่อน้ำดี 
 ของเสียต่างๆจากภายในร่างกาย
หรือของเสียที่เกิดจากยาหรือสมุนไพร ยาบำรุง 
 อาหารเสริมต่างๆที่ทานเข้าไป ของเสียจากเศษอาหาร
อุจจาระในลำใส้ใหญ่ เช่น แอมโมเนีย ยิ่งมีท้องผูก 
 ของเสียเหล่านี้ จะถูกดูดซึมกลับเข้ามาในร่างกายผ่านตับ
จากนั้นจะเกิดทางลัดผ่านขึ้นสมอง 
 โดยที่ตับไม่สามารถทำลายพิษเหล่านี้ได้
ในที่สุดจะเกิด อาการทางสมองจากโรคตับ
ผู้ป่วยจะเริ่มด้วยอาการอารมณ์ผิดปกติสังเกตยากในระยะต้น
  บางคนนอนไม่หลับตอนกลางคืน มาหลับตอนกลางวัน
คิดคำนวนเลขคณิตง่ายๆไม่ได้ อารมณ์เปลี่ยนแปลง ฉุนเฉียว
  หรืออารมณ์ดีผิดปกติ ซึม สับสน จำคนใกล้ชิดไม่ได้
ในที่สุดจะซึมมากจนหมดสติ แน่นิ่งไม่ขยับตัว 
 ภาวะแทรกซ้อนของโรคตับแข็งยังมีอีก และมีอีกหลายอาการ
ไม่สามารถกล่าวได้หมด ขอให้เป็นหน้าที่ของแพทย์
ต้องคอยตรวจรักษาให้เมื่อถึงภาวะนั้น


คนเป็นไวรัสบีแบบเรื้อรังและตับแข็งมีโอกาสเป็นมะเร็งตับสูง

ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสบีแบบเรื้อรังมีโอกาสเกิดมะเร็งตับแบบปฐมภูมิ
ได้เกือบทุกระยะของโรคแม้ยังไม่เกิดตับแข็งก็ตาม
ผู้ที่อยู่ในระยะพาหะแบบเชื้อน้อย
  มีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับน้อย
  แต่ก็ยังมากกว่าคนที่ไม่มีไวรัสบี
ผู้ที่มีตับอักเสบเรื้อรังร่วมกับมีไวรัสจำนวนมาก 
 ยิ่งไวรัสมีจำนวนมากเท่าใดยิ่งมีโอกาสเป็นมะเร็งสูงขึ้น
เห็นได้จากกราฟรูปวงกลมในส่วนบนของภาพ
  ยิ่งเข้าสู่ระยะตับแข็ง โอกาสยิ่งสูง พอจะสรุปได้ง่ายๆก็คือ
เมื่อเข้าสู่ระยะตับแข็งแล้ว ถ้าติดตามผู้ป่วยไปสิบปี 
 หนึ่งในสามคนจะตรวจพบโรคมะเร็งตับ
ถ้าอยากรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับมะเร็งตับ
  กรุณาหาอ่านต่อในหนังสือ
 "รู้ทันโรคตับ รู้ลึกเรื่องเปลี่ยนตับ"



##########################



อ่านแล้วรู้สึกอย่างไรบ้างวันนี้รู้สึกว่ายิ้มไม่ออก
  มันเป็นภัยเงียบที่น่ากลัวมาก
ทางที่ดีเราควรจะไปตรวจเลือดหาไวรัสกันซะแต่เนิ่นๆนะ 
  อย่าให้มันแอบแฝงเข้ามารุกรานตับอันเป็นที่รักของเราได้
แต่ที่แน่ๆ เราน่ะโดนเต็มเปาเข้าไปแล้ว 
 ทุกวันนี้ยังเข้าออกโรงพยาบาลจุฬาอยู่เลย
   แต่ก็อดสบายใจนิดๆ ไม่ได้   เมื่อได้ยินคุณหมอพูดว่า 
 มาถึงมือหมอแล้วไม่ต้องกลัว
  หมอจะร่วมต่อสู้ไวรัสกับเราด้วย เหอๆๆๆๆ
ได้แต่ตั้งจิตอธิษฐานว่าขอให้คุณหมอชนะขาดลอยด้วยเทอญ 
   เพราะร่างกายของเรานั้น
จะได้อยู่ยงคงกระพันในโลกศิวิไลนี้ต่อไปอีกหน่อย.....
ขอมากไปหรือเปล่าก็ไม่รู้.......ฮ่าๆๆๆ
แต่ถ้าได้ก็ดีไม่ขัดข้องหรอกนะจ๊ะ ชิ้วๆๆ ไปซะนะเจ้าไวรัสตัวแสบ 
 ถึงอย่างไรเราก็ไม่รักเธอหรอกย่ะ








Create Date : 16 พฤษภาคม 2555
Last Update : 8 มิถุนายน 2558 11:29:02 น.
Counter : 1000 Pageviews.

5 comment
1  2  3  

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ