Group Blog
All Blog
<<< "วันเข้าพรรษา" >>>










"วันเข้าพรรษา"

วันนี้เป็นวันเข้าพรรษาเป็นวันที่พระพุทธเจ้า

พระบรมศาสดาได้ทรงบัญญัติ

ให้พระภิกษุทุกๆ รูปอยู่จำพรรษากัน

คือให้อยู่กับที่ตลอดระยะเวลาสามเดือน

 ตั้งแต่วันแรม ๑ ค่ำเดือน ๘

จนถึงวันแรม ๑ ค่ำเดือน ๑๑

เป็นระยะเวลาสามเดือน

ที่พระภิกษุจำเป็นจะต้องอยู่กับที่

ไม่จาริกไปไหนมาไหน

 ยกเว้นมีภารกิจฉุกเฉินจำเป็นสำคัญ

 เช่น บิดามารดาอุปัชฌาย์ครูบาอาจารย์

ไม่สบายเจ็บไข้ได้ป่วยก็สามารถไปดูแลท่านได้

หรือถ้ากุฎิศาลาเกิดชำรุดขึ้นมา

จำเป็นจะต้องหาวัสดุซ่อมแซมก็ไปได้

 หรือญาติโยมศรัทธาทำบุญ

จะนิมนต์ไปงานบุญก็ไปได้

 หรือถ้าสหธรรมิกนักบวชเพื่อนนักบวช

เกิดมีความกระสันอยากจะลาสิกขา

ถ้าไประงับได้ก็อนุญาตให้ไปได้

 แต่ให้ไปไม่เกินเจ็ดวันเจ็ดคืน

ก็จะต้องกลับมาอยู่ต่อ

สาเหตุที่จำเป็นจะต้องให้พระภิกษุอยู่กับที่

เพราะในช่วงฤดูฝนเป็นช่วงฤดูที่ชาวนาชาวไร่

ทำการเพาะปลูก ปลูกข้าวปลูกพืชต่างๆ

 เวลาที่พระภิกษุท่านจาริกเดินทางไปไหน

ท่านก็เดินด้วยเท้าท่าน ก็มักจะเดินลัดทุ่งนากัน

 ก็ไปทำให้พืชที่เพิ่งปลูกใหม่นั้น

เกิดความเสียหายได้ ชาวบ้านเดือดร้อน

จึงได้มากราบทูลพระพุทธเจ้าให้ทรงทราบ

 หลังจากที่ได้พิจารณาแล้วก็เลยมีคำสั่งพระบัญชา

ให้ระงับการจาริกไปไหนมาไหนของภิกษุ

ตลอดระยะเวลาสามเดือนด้วยกัน

จึงเป็นธรรมเนียมของชาวพุทธเรา

ที่จะหาที่อยู่หรือที่ปฎิบัติธรรมกัน

ในช่วงฤดูเข้าพรรษานี้ เป็นธรรมเนียม

ที่ชาวพุทธเราจะแสวงหาบุญกัน

จะเร่งความเพียรกันจะปฎิบัติธรรมกัน

ด้วยการตั้งจิตตั้งใจว่า

จะทำอะไรอย่างไรอย่างหนึ่ง

หรือหลายๆ อย่าง บางท่านก็อธิฐาน

ขอระงับการเสพอบายมุขต่างๆ เช่นสุรายาเมา

 การเล่นการพนัน การเที่ยวกลางคืน

การเที่ยวดูของละเล่นต่างๆ จะขอระงับไว้

ตลอดระยะเวลาสามเดือนด้วยกัน

 เพราะรู้ว่าเป็นความประพฤติ

ที่นำมาซึ่งความเสื่อมเสีย

บางท่านก็ขออธิษฐาน

จะรักษาศีล ๕ ไปตลอดทั้งพรรษา

 บางท่านก็ขอรักษาศีล ๘ ไปทั้งพรรษา

บางท่านก็ขอบวชไปทั้งพรรษา

ก็ไปบวชเป็นพระบวชเป็นชีกัน

เพื่อที่จะได้ปฏิบัติตามพระธรรม

คำสอนของพระพุทธเจ้า

 ที่มีประโยชน์ต่อผู้ปฏิบัติโดยถ่ายเดียว

เพราะจะกำจัดความทุกข์ต่างๆ

ให้หมดไปจากใจ

 และจะสร้างความสุขต่างๆให้มีมากขึ้นไป

จนถึงความสุขที่สูงสุดที่เรียกว่า

 "นิพพานัง ปรมัง สุขัง"

ความสุขของพระนิพพานเป็นบรมมาสุข

 เป็นความสุขอย่างยิ่ง

ไม่มีความสุขอย่างใดในโลกนี้

จะดีเท่ากับความสุขของพระนิพพาน

 เพราะผู้ที่ได้ไปถึงพระนิพพานแล้ว

จะไม่ต้องกลับมาทุกข์

กับการเกิดแก่เจ็บตายอีกต่อไป

 ตราบใดถ้ายังไม่ได้ไปถึงพระนิพพาน

ตราบนั้นก็ยังจะต้องมีการกลับมาเกิด

ในภพต่างๆ ต่อไป

ยกเว้นพระอริยบุคคลขั้นต่างๆ

ที่ถึงแม้จะกลับมาเกิด

ก็จะกลับมาเกิดในภพที่ดี เช่น พระโสดาบัน

ก็จะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ไม่เกินเจ็ดชาติ

 แต่จะไม่ไปเกิดในอบายโดยเด็ดขาด

 พระสกิทาคามีก็กลับมาเกิดอีกชาติเดียว

ส่วนพระอนาคามีนี้

ก็ไม่ต้องกลับมาเกิดเป็นมนุษย์

แต่ยังต้องไปเกิดเป็นพรมอยู่

 และก็จะบรรลุเป็นพระอรหันต์

เข้าสู่พระนิพพานไปต่อไป

นี่คือประโยชน์ของผู้ที่มีศรัทธาความเชื่อ

ในพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า

แล้วน้อมนำเอาคำสอน

อันประเสริฐของพระพุทธเจ้า

มาปฏิบัติกันอย่างเคร่งครัดกันอย่างเต็มที่

 ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ

ถ้าใครปฏิบัติดีปฏิบัติชอบได้

การบรรลุมรรคผลนิพพาน

ย่อมเป็นผลที่จะตามมาอย่างแน่นอน.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

............................

ธรรมะบนเขา

วันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๖๐

"วิถีทางเดินของชาวพุทธ"








ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 10 กรกฎาคม 2560
Last Update : 10 กรกฎาคม 2560 5:35:39 น.
Counter : 1740 Pageviews.

0 comment
<<< "อาสาฬหบูชา" >>>










"อาสาฬหบูชา"

วันอาสาฬหบูชา หรือวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘

เป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง

พระธรรมที่ตรัสรู้เป็นครั้งแรก

 จึงถือได้ว่าวันนี้เป็นวันเริ่มต้น

ประกาศพระพุทธศาสนาแก่ชาวโลก

 และด้วยการที่พระพุทธเจ้าทรงสามารถ

แสดง เปิดเผย ทำให้แจ้ง แก่ชาวโลก

ซึ่งพระธรรมที่ตรัสรู้ได้ จึงถือได้ว่า

พระองค์ได้ทรงกลายเป็น

สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยสมบูรณ์

คือทรงสำเร็จภารกิจแห่งการเป็นพระพุทธเจ้า

ผู้เป็น "สัมมาสัมพุทธะ" คือเป็นพระพุทธเจ้า

ผู้สามารถแสดงสิ่งที่ตรัสรู้ให้ผู้อื่นรู้ตามได้

 ซึ่งแตกต่างจาก "พระปัจเจกพุทธเจ้า"

ที่แม้จะตรัสรู้เองได้โดยชอบ

 แต่ทว่าไม่สามารถสอน

หรือเปิดเผยให้ผู้อื่นรู้ตามได้

 ด้วยเหตุนี้วันอาสาฬหบูชา

จึงมีชื่อเรียกว่า "วันพระธรรม"

วันอาสาฬหบูชา เป็นวันที่ท่านโกณฑัญญะ

ได้บรรลุธรรมสำเร็จพระโสดาบัน

เป็นพระอริยบุคคลคนแรก

 และได้รับประทานเอหิภิกขุอุปสมบท

เป็นภิกษุองค์แรกในพระศาสนา

 และด้วยการที่ท่านเป็น

พระอริยสงฆ์องค์แรกในโลกดังกล่าว

 พระรัตนตรัยจึงครบองค์สามบริบูรณ์

เป็นครั้งแรกในโลก ด้วยเหตุนี้

วันอาสาฬหบูชาจึงมีชื่อเรียกว่า "วันพระสงฆ์"

ดังนั้น วันอาสาฬหบูชาจึงถูกจัดขึ้น

เพื่อเป็นการระลึกถึงวันคล้ายวันที่

เกิดเหตุการณ์สำคัญ

ของพระพุทธศาสนาดังกล่าว

 ซึ่งควรพิจารณาเหตุผลโดยสรุป

จากประกาศสำนักสังฆนายก

เรื่องกำหนดพิธีอาสาฬหบูชา

ที่ได้สรุปเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้น

ในวันอาสาฬหบูชาไว้โดยย่อ ดังนี้

๑.เป็นวันแรกที่พระพุทธเจ้า

ทรงประกาศศาสนาพุทธ

๒.เป็นวันแรกที่พระบรมศาสดาทรงแสดง

พระธรรมจักร ประกาศสัจธรรม

อันเป็นองค์แห่งพระสัมมาสัมโพธิญาณ

๓.เป็นวันที่พระอริยสงฆ์สาวกองค์แรก

บังเกิดขึ้นในโลก คือ พระอัญญาโกณฑัญญะ

 ได้รับประทานเอหิภิกขุอุปสัมปทา ในวันนั้น

๔.เป็นวันแรกที่บังเกิดสังฆรัตนะ

 สมบูรณ์เป็นพระรัตนตรัย

คือ พระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ พระสังฆรัตนะ
............................
:ท่านสามารถอ่านบทความเพิ่มเติมได้จาก
https://th.wikipedia.org/wiki/อาสาฬหบูชา

"บัว ๔ เหล่า"

พระองค์ทรงเห็นมนุษย์เรานี้ก็มีอยู่ ๔ ประเภท

 ประเภทที่ ๑ ก็เป็นประเภทที่เป็นบัวเหนือน้ำ

 เป็นบัวที่พร้อมที่จะรับคำสอนของพระพุทธเจ้า

 คือมีฐานรองรับคำสอน คือมีศีล มีสมาธิ

ก็คือพวกนักบวชทั้งหลาย

 พวกนักบวชนี้เขาจะรักษาศีลกันบริสุทธิ์

 แล้วเขาก็นั่งสมาธิจนจิตรวมเป็นฌาน

 เป็นรูปฌาน เป็นอรูปฌาน

 เหมือนกับตอนที่พระองค์ทรงบำเพ็ญก่อนหน้านี้

พระองค์ก็ทรงบำเพ็ญรักษาศีล

ทรงนั่งสมาธิจนจิตรวมเป็นอัปปนาสมาธิ

 ได้รูปฌาน ได้อรูปฌาน บุคคลเหล่านี้

พระองค์ทรงเห็นว่าเป็นบุคคลที่พร้อม

ที่จะรับปัญญาคือ การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า

 คืออริยสัจ ๔ รับว่าความทุกข์นี้

เกิดจากความอยากต่างๆ

 และการจะดับความทุกข์ต่างๆ

การจะยุติการเกิดแก่เจ็บตาย

 ต้องยุติที่ความอยาก ๓ ประการ

ถ้าตัดได้ จิตก็จะไม่ต้องทุกข์อีกต่อไป

แล้วก็ไม่ต้องเกิดมาแก่มาเจ็บมาตาย.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

....................................

สนทนาธรรมะบนเขา

วันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๖๐







ขอบคุณที่มา fb พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 08 กรกฎาคม 2560
Last Update : 8 กรกฎาคม 2560 5:15:33 น.
Counter : 523 Pageviews.

0 comment
<<< "กายวิเวก" >>>








"กายวิเวก"

กุฏิของวัดป่าจะมองไม่เห็นกัน เพื่อให้มีความวิเวก

 ให้มีความรู้สึกว่า อยู่คนเดียว

 เพราะการจะเจริญความสงบของจิตใจ

กายต้องอยู่ในสภาพที่สงบก่อน

คือสงบก็คือหมายความว่าอยู่ตามลำพัง

อยู่ห่างไกลจากบุคคลต่างๆ เหตุการณ์ต่างๆ

 ห่างไกลจากเเสงสีเสียง

ห่างไกลจากรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ

 ที่จะมารบกวนใจ ทำให้ใจคิดฟุ้งซ่าน

ทำให้ใจเกิดอารมณ์อยากต่างๆ ขึ้นมา

ถ้ามีอารมณ์แล้วก็จะเป็นนิวรณ์

ก็คืออุปสรรค ที่จะทำให้ใจสงบ

นิวรณ์ตัวนี้เรียกว่ากามฉันทะ

ความยินดีในรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ

 โดยปกติจิตใจของพวกเราทุกคน

 จะมีความยินดีในรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ

ถ้าอยู่ใกล้แล้วมันก็เหมือนกับไฟกับน้ำมัน

 มันจะลุกขึ้นทันที ถ้าไม่อยากจะให้ไฟลุก

 เขาจึงมักจะเก็บน้ำมันกับไฟไว้ห่างไกลกัน

 ถ้าอยู่ใกล้กันแล้วไฟจะลุก

ฉันใดถ้าตาหูจมูกลิ้นกาย ไปอยู่ใกล้กับ

รูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ ก็จะเกิดกามารมณ์ขึ้นมา

 เกิดกามฉันทะขึ้นมา พอเกิดกามฉันทะ

ก็จะเกิดความุรุ่มร้อนขึ้นมา ความฟุ้งซ่านตามมา

 ก็จะทำให้ไม่สามารถทำใจให้สงบได้

การบวช หรือการปฏิบัติธรรมนี้

 เป้าหมายของเราก็อยู่ที่การทำใจให้สงบ

เพราะไม่มีความสุขอันใด ที่จะดีเท่ากับ

ความสุขที่เกิดจากความสงบ

ผู้ที่บวชหรือผู้ที่ปฏิบัติธรรมนี้

มีจุดมุ่งหมายมีเป้าหมาย อยู่ที่การหาความสุขอันนี้

 หาความสุขที่เกิดจากความสงบของใจ

 จึงจำเป็นต้องทิ้งความสุข

ที่ได้จากการเสพรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ

 เพราะเคยเสพมาแล้วตั้งแต่เกิดจนถึงปัจจุบัน

 ก็ไม่เคยอิ่มไม่เคยพอ ไม่เคยดับความทุกข์ต่างๆ

 ที่มีอยู่ภายในใจให้หมดไปได้เลย

จึงต้องสละความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย

 ทางรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ

แล้วก็ออกไปปลีกวิเวกไปบวชบ้าง

 ไปอยู่ถือศีล ๘ ถือศีล ๑๐ บ้าง สุดแท้แต่กรณี

ความเหมาะสมของแต่ละบุคคล

แต่เป้าหมาย ก็มีเป้าหมายอันเดียวกัน

ก็คือจะแสวงหาความสุขจากความสงบของจิตใจ

 เพราะเป็นความสุขที่สะอาดบริสุทธิ์

เป็นความสุขที่ไม่มีความทุกข์ตามมา

 ไม่เหมือนกับความสุขที่ได้รับ

จากรูปเสียงกลิ่นรสโผกฐัพพะ

เป็นความสุขที่ปนไปด้วยความอยาก

 เมื่อเสพแล้ว แทนที่จะเกิดความอิ่มความพอ

ก็จะเกิดความอยาก ที่จะเสพเพิ่มมากขึ้นไปเรื่อยๆ

 เมื่อมีความอยากขึ้นมากไปเรื่อยๆ

ก็จะมีความทุกข์เพิ่มมากขึ้นไปเรื่อยๆ

เพราะความอยากนี้เป็นต้นเหตุของความทุกข์ใจ

ดังนั้นการเสพความสุขทางตาหูจมุกลิ้นกาย

จึงไม่ได้เป็นการเสพความสุข

 แต่เป็นการเสพความทุกข์

ผู้ที่ฉลาดถึงมีปัญญาจะเห็นโทษของการเสพ

รูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ

จึงต้องเจริญเนกขัมมบารมี ก็คือออกจากกามสุข

 ออกจากรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ

ด้วยการถือศีล ๘ ถือศีล ๑๐ ศีล ๒๗๗

 เป็นศีลของนักบวช แล้วก็ออกไปปลีกวิเวก

ไปหาสถานที่สงบ สงัด ห่างไกล

จากรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ ชนิดต่างๆ

ที่จะคอยหลอกล่อให้เกิดอารมณ์

เกิดกามารมณ์เกิดความอยาก

 เกิดกามฉันทะขึ้นมา ถ้ามีกามฉันทะ

ก็จะอยากต่อการที่จะทำใจให้สงบได้

 แต่ถ้าไปอยู่ที่ห่างไกลจากรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ

 โอกาสที่จะเกิดกามฉันทะขึ้นมาก็จะน้อยมาก

และถ้ามีความระมัดระวังคอยควบคุมความคิด

อยู่ทุกเวลานาที ไม่ให้ปล่อยไปคิดถึง

เรื่องรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ

กามฉันทะก็จะเกิดขึ้นมาไม่ได้

ความสงบก็จะปรากฏขึ้นมาแทน

 ถ้าไม่มีกามฉันทะ กามฉันทะสงบลงไป

 ความฟุ้งซ่านก็สงบลงไป ความสงบก็จะปรากฏขึ้นมา

นี่คือสาเหตุที่วัดป่านี้จะตั้งกุฏิไว้ให้ห่างไกลกัน

 ไม่ให้เห็นกัน ไม่ให้ได้ยินเสียงกัน

ถ้าเห็นกันปั๊บ มันจะเกิดอารมณ์ปรุงเเต่งขึ้นมา

ถ้าได้ยินเสียงปั๊บมันก็จะเกิดอารมณ์ปรุงเเต่ง

เกิดความคิดขึ้นมา แล้วก็จะเป็นเรื่องเป็นราวยาวไป

 เกิดอารมณ์ขึ้นมาได้ บางครั้งก็ต้องไปคุยกัน

 เห็นหน้ากันแล้วก็อดที่จะต้องทักทายกันไม่ได้

ถามถึงสารทุกข์สุขดิบกันไม่ได้

 เกิดเป็นห่วงเป็นใยกันขึ้นมาทันที

ทั้งที่นานทีปีหนไม่เคยสนใจกันเลย

แต่พอไปอยู่คนเดียวนี้

มันเกิดอาการเหงาว้าเหว่เศร้าสร้อย

 พอเห็นคนสักคนนี้เหมือนกับต้นไม้ได้น้ำ

 มันดีอกดีใจ โอ๊ยได้เจอเพื่อนแล้วได้มีเพื่อนแล้ว

 มีเพื่อนคุยแก้เหงาแล้ว นี่คือเป็นธรรมชาติของใจ

ที่ยังไม่มีความสงบ จะเป็นอย่างนั้น

 จะชอบคิดปรุงเเต่ง อยู่คนเดียวก็คิด

ยิ่งมีคนมาอยู่คุยด้วยยิ่งสนุกใหญ่

 เพราะจะได้มีเรื่องคุยกันยาวแก้เหงาฆ่าเวลาผ่านไป

 แต่จะไม่ได้รับประโยชน์จากการทำใจให้สงบ.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

........................

ธรรมะบนเขา

วันที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๕๖

“ศัตรูของนักบวช”







ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 06 กรกฎาคม 2560
Last Update : 6 กรกฎาคม 2560 9:08:09 น.
Counter : 743 Pageviews.

0 comment
<<< "ธรรมะดับทุกข์ " >>>









"ธรรมะดับทุกข์ "

เรื่องของ "อัตตาหิ อัตตโน นาโถ"

จิตใจของแต่ละคนนี้ ต้องตนเองเป็นผู้รักษา

 เป็นผู้ช่วย ช่วยอะไร

 ก็ช่วยเพื่อให้พ้นจากความทุกข์ต่างๆ

 จิตใจของพวกเราทุกคนนี้มีความทุกข์อยู่เรื่อยๆ

 ร่างกายของพวกเรานี้เราดูแลกันได้

 เรารู้จักดูแลกัน

ทำให้ร่างกายเราไม่ค่อยทุกข์เท่าไร

 ร่างกายเราสุขสบาย แต่ใจของเรานี้แต่ละวัน

รู้สึกว่าจะไม่สุขสบายเหมือนร่างกาย

 หรือไม่ต้องทุกข์กับเรื่องนั้นก็ต้องทุกข์กับเรื่องนี้

ไม่ทุกข์กับเรื่องนี้ก็ไปทุกข์กับเรื่องโน้น

คนนั้นคนนี้ สิ่งนั้นสิ่งนี้

มันมีเรื่องให้ทุกข์อยู่ตลอดเวลา

 เพราะเราไม่รู้จักวิธีทำให้มันไม่ทุกข์นั่นเอง

 เรารู้แต่วิธีสร้างความทุกข์

แต่เราไม่รู้จักวิธีดับทุกข์กัน

 ถ้าไม่ได้พบกับธรรมะคำสอนของพุทธเจ้านี้

 ไม่มีวันที่จะรู้วิธีดับความทุกข์ได้เลย

ต่อให้ร่ำรวยขนาดไหนก็ตาม

ต่อให้เป็นใหญ่เป็นโตขนาดไหนก็ตาม

 ความทุกข์ก็ยังจะมีเหมือนเดิม

 หรือมากกว่าเดิมเสียอีก

ถ้าไม่มีธรรมะแล้วจะไม่รู้จักวิธีดับความทุกข์

จะรู้แต่วิธีสร้างความทุกข์

โดยที่ไม่รู้ว่ากำลังสร้างความทุกข์อยู่

เวลาเกิดความทุกข์ ก็ไม่รู้ว่าตนเองเป็นผู้สร้าง

ความทุกข์ให้ตนเอง

 นี่คือปัญหาของจิตใจของพวกเราทุกคน.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

........................

สนทนาธรรมะบนเขา

วันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๖๐







ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 04 กรกฎาคม 2560
Last Update : 4 กรกฎาคม 2560 5:30:42 น.
Counter : 482 Pageviews.

0 comment
<<< "โทษของการทำตามความอยาก" >>>










"โทษของการทำตามความอยาก"

เป็นมหาลาภมหาโชคสำหรับเรา

สำหรับผู้ที่มาเกิด มาพบพระพุทธศาสนา

 เพราะจะสามารถเข้าสู่ทรัพย์ภายใน

 ระดับโลกุตรทรัพย์หรืออริยะทรัพย์ได้

สามารถที่จะหลุดออกจาก

การเวียนว่ายตายเกิดในภพต่างๆ ได้

ถ้าไม่ได้พบกับพระพุทธศาสนา

จะไม่สามารถที่จะหลุดพ้น

จากการเวียนว่ายตายเกิดได้

ถึงแม้ว่าจะเวียนว่ายตายเกิดในสุขคติ

คืออยู่ในโลกของเทวดา หรือโลกของพรหม

 แต่ก็ยังต้องเสื่อมกลับมาเกิดเป็นมนุษย์

 กลับมาทำบุญ มารักษาศีล

 มานั่งสมาธิกันอยู่เรื่อยๆ

นี่คือเรื่องของทรัพย์ภายใน

ที่พวกเราอาจจะยังไม่ได้สัมผัสกัน

หรือยังไม่รู้กัน ก็จะได้รู้กัน

ถ้าเราได้มาฟังเทศน์ฟังธรรม

 มาฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า

 เพราะถ้าเราไม่ฟัง

 เราก็อาจจะไม่รู้ว่าเราเป็นใคร

 เราอาจจะเข้าใจผิด

 ไปคิดว่าเราเป็นร่างกายก็ได้

 และก็คิดว่าเมื่อร่างกายตายไปแล้ว

 ใครเล่าจะไปเป็นผู้รับผลบุญรับผลบาปต่างๆ

 ใครจะไปนิพพานกัน

แต่ถ้าเราได้ฟังเทศน์ฟังธรรม

ฟังความรู้ของพระพุทธเจ้า เราจะได้เรียนรู้ว่า

เรานี้ไม่ได้เป็นร่างกาย เราเป็นใจ

 เป็นผู้รู้ผู้คิด ผู้สั่งให้ร่างกายทำอะไรต่างๆ

สั่งให้ทำบุญ สั่งให้ทำบาป

และเป็นผู้ที่จะไปรับผลของบุญของบาปต่อไป

 ถ้าเราไม่ได้พบกับพระพุทธศาสนา

 เราก็จะไม่เห็นความสำคัญในเรื่องของการทำบุญ

ในเรื่องของการละบาป

ในเรื่องของการชำระใจให้สะอาดบริสุทธิ์

 คือกำจัดความอยากต่างๆ

ละกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา

ให้หมดไปจากใจ เพราะเราเห็นว่า

ความสุขของเรานี้ขึ้นอยู่กับกามตัณหา

 ภวตัณหา และวิภวตัณหานั่นเอง

เวลาเราเกิดความอยากเสพรูปเสียงกลิ่นรส

 เราก็ไปเสพกัน พอเราเสพเราก็ได้ความสุขกัน

 เราก็เลยไม่เห็นโทษของการเสพ

 ของการทำตามความอยาก

 เพราะเราเห็นว่าเวลาเราอยากได้

 เราได้สิ่งที่เราอยาก เรามีความสุขกัน

 เวลาแต่งงานนี้จัดงานเลี้ยงฉลองกันใหญ่โต

 เสียเงินเสียทองไปเช่าที่โรงแรมหรูหรา

 ทุกคนมีความสุข ผู้คนไปร่วมงาน

 ก็เลยเห็นว่าการมีความอยาก

 การทำตามความอยากนี้ เป็นการหาความสุข

เป็นการสร้างความสุขกัน

 แต่มองไม่เห็นผลที่ตามมา

หลังจากที่ได้ทำตามความอยากแล้ว

 ไม่เห็นเวลาที่หลังจากแต่งงานกันแล้ว

 เริ่มเกิดการทะเลาะเบาะแว้งกัน

 เริ่มเกิดการผิดใจกัน ขัดใจกัน

 เริ่มเกิดความโกรธความเกลียดกัน

จนในที่สุดก็อาจจะนำพาไปสู่การหย่าร้างกัน

 อันนี้ก็เป็นผลรับผลที่ตามมา

 หลังจากที่ไปทำตามความอยากกัน

ได้ความสุขจากความอยากกันแล้ว

 พอเหตุการณ์เปลี่ยนไปคนเปลี่ยนไป

 เคยรักกันเคยเอาอกเอาใจกัน

 ก็กลับมาไม่เอาอกเอาใจกัน ไม่รักกัน

 ก็เลยกลายเป็นศัตรูกัน ทะเลาะเบาะแว้งกัน

 ทำร้ายกัน นี่ก็คือ อนิจจัง

คือความไม่เที่ยงแท้แน่นอน

 ของ ความสุขที่เกิดจากการทำตามความอยาก.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

................................

ธรรมะบนเขา

วันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๖๐







ขอบคุณที่มา fb.พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 03 กรกฎาคม 2560
Last Update : 3 กรกฎาคม 2560 5:13:07 น.
Counter : 639 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ