Group Blog
All Blog
### ตนเป็นที่พึ่งของตน ###









“ตนเป็นที่พึ่งของตน”

พวกเราต้องยึดหลัก อัตตาหิ อัตตโน นาโถ

 ตนเป็นที่พึ่งของตน เพราะพึ่งคนอื่นไม่ได้

เพราะไม่เที่ยงแท้แน่นอน

 แต่เราพึ่งเราได้ตลอดเวลา

เราเป็นที่พึ่งของเราอย่างแท้จริง

ที่พึ่งอื่นเป็นที่พึ่งชั่วคราว ไม่แน่นอน

 บางทีก็พึ่งได้ บางทีก็พึ่งไม่ได้

แต่ไม่เป็นปัญหาอะไร เพราะที่พึ่งอื่น

ไม่สามารถแก้ปัญหาที่แท้จริงของเราได้

 คือความทุกข์ใจ ไม่มีใครแก้ให้เราได้

 เราต้องแก้ด้วยตัวเราเอง แต่เราต้องอาศัยสิ่งอื่น

 เช่นอาศัยร่างกาย ร่างกายก็ต้องอาศัยปัจจัย ๔

 ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค เครื่องนุ่งห่ม อาหาร

 ถ้ายังต้องพึ่งร่างกายก็ต้องพึ่งปัจจัย ๔

ถ้ายังต้องทำบุญให้ทาน

รักษาศีล ภาวนา เพื่อดับทุกข์ใจ

 ก็ยังต้องใช้ร่างกายเป็นเครื่องมือ

 ถ้าภาวนาจนถึงขั้นตัดกามตัณหาได้

ก็ไม่ต้องใช้ร่างกายอีกต่อไป

 เช่นพระอนาคามี ถ้าตายไปก่อนจะบรรลุ

เป็นพระอรหันต์ ท่านก็ไม่ต้องกลับมาเกิดเป็นมนุษย์

 มามีร่างกาย เพราะท่านสามารถปฏิบัติธรรมได้

 โดยไม่ต้องใช้ร่างกาย

 เพราะมีกิเลสเหลืออยู่แต่ภายในจิต

ส่วนใหญ่พวกเราจะใช้ร่างกาย

ไปในทางกามตัณหากัน

 ถ้ายังมีกามตัณหาอยู่ภายในใจ ก็ต้องมีร่างกาย

 มีตาหูจมูกลิ้น เพื่อเสพรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพ

ะ ถ้าไม่มีร่างกาย ไม่มีตาหูจมูกลิ้น

ก็จะไม่สามารถเสพได้ จึงต้องไขว่คว้าหาร่างกาย

กลับมาเกิดใหม่ ถ้าตัดกามตัณหาได้แล้ว

ก็จะไม่อยากเสพรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ

ไม่ต้องมีตาหูจมูกลิ้นกายเป็นเครื่องมือ

 ถ้าเป็นพระอนาคามี

ก็ไม่ต้องใช้ร่างกายเป็นเครื่องมือ

 แต่ยังต้องใช้ธรรมะเป็นเครื่องมือ

 เพราะยังมีกิเลสตัณหาส่วนละเอียด

ที่ยังติดค้างอยู่ภายในจิต คือรูปราคะ

 อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา

 เป็นสังโยชน์เบื้องบน

จะเป็นพระอรหันต์ได้ก็ต้องชำระ

สังโยชน์ เบื้องบนให้หมดไป

แต่ไม่จำเป็นต้องใช้ร่างกายเป็นเครื่องมือ

พระอนาคามีถ้าท่านตายไปก่อน

ที่จะได้บรรลุเป็นพระอรหันต์

ท่านก็สามารถเจริญวิปัสสนาภาวนาต่อได้เลย

 หลังจากที่ร่างกายของท่านดับไปแล้ว

 ใจของท่านไม่ได้ดับไปกับร่างกาย

ใจของท่านก็ทำงานต่อ

ใช้ธรรมะ ใช้สติ ใช้สมาธิ ใช้ปัญญา

เพื่อกำจัดรูปราคะความติดในรูปฌาน

 อรูปราคะความติดในอรูปฌาน

อุทธัจจะความฟุ้งซ่าน มานะความถือตัว

และอวิชชาความไม่รู้ไม่เห็นพระอริยสัจ ๔

ที่ยังมีอยู่ภายในจิต เป็นการปฏิบัติจิตล้วนๆ

 ถ้าจะดูจิตก็ดูกันตอนนี้

 เพราะร่างกายไม่มีปัญหาแล้ว

ตัดได้แล้ว อุปาทานในขันธ์ ๕ คือ

ร่างกาย เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ตัดได้แล้ว

 ตัดกามตัณหาได้แล้ว แต่ยังตัดรูปราคะ

 อรูปราคะ อุทธัจจะ มานะ อวิชชาไม่ได้

รูปราคะก็คือความติดอยู่กับรูปฌาน

 จิตของผู้ที่ตัดกามราคะได้แล้ว

จะสงบละเอียดเท่ากับจิตที่อยู่ในรูปฌาน

หรืออรูปฌาน เวลาอยู่ในความสงบก็มีความสุข

 แต่เวลาออกจากรูปฌานหรืออรูปฌานมาแล้ว

 ใจก็จะหงุดหงิด เนื่องจากมานะ อวิชชา

 ที่ผลิตความทุกข์อันละเอียดอยู่ภายในใจ

 ถ้าไม่ใช้ปัญญาพิจารณา ก็จะติดอยู่กับรูปราคะ

 อรูปราคะ เวลาไม่สบายใจก็กลับเข้าไปในรูปฌาน

ในอรูปฌาน ถ้าใช้ปัญญาพิจารณาก็จะเห็นว่า

ไม่ใช่วิธีดับความทุกข์ที่ถาวร

พอออกจากรูปฌานหรืออรูปฌานก็จะคิดปรุงแต่ง

ไปในทางมานะ ไปในทางอวิชชา

ก็ต้องใช้ปัญญาพิจารณา

 ถึงจะละมานะละอวิชชาได้

 ถ้าพิจารณาอย่างไม่หยุดยั้ง

พิจารณาอย่างเลยเถิด

 เพื่อกำจัดมานะ กำจัดอวิชชา

ก็จะเกิดอุทธัจจะ เกิดความฟุ้งซ่านขึ้นมา

แต่เป็นความฟุ้งซ่านที่ต่างกับอุทธัจจะในนิวรณ์

ในนิวรณ์จะฟุ้งซ่านเกี่ยวกับลาภยศสรรเสริญ

เกี่ยวกับความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย

 แต่อุทธัจจะในระดับของพระอนาคามีนี้

เป็นความฟุ้งซ่านที่เกิดจากการพิจารณา

ด้วยปัญญาแบบเลยเถิด

 พิจารณาจนไม่มีกำลังตัดกิเลส

ถ้าจิตเกิดความฟุ้งซ่าน

พิจารณาไม่เห็นความจริง

 ไม่เห็นมานะ ไม่เห็นอวิชชา ก็ต้องหยุดพัก

 เข้าไปพักในสมาธิ ในรูปฌานหรืออรูปฌาน

 แต่ไม่ได้พักเพื่อหนีความทุกข์ พักเพื่อเอาแรง

 เหมือนเวลาทำงาน พอทำจนเหนื่อยแล้ว

ไม่มีเรี่ยวไม่มีแรง ไม่ได้ผลงาน

ก็ต้องหยุดทำงานชั่วคราว

 กลับมาพักผ่อนที่บ้าน มาอาบน้ำอาบท่า

 รับประทานอาหาร หลับนอน พอได้พักผ่อนแล้ว

 ตื่นขึ้นมามีกำลังวังชาก็กลับไปทำงานต่อ

 เหมือนคนตัดไม้ด้วยมีด เวลาตัดใหม่ๆ

มีกำลังมาก มีดก็คม ตัดไม้ได้อย่างง่ายดาย

 พอตัดไปนานๆเข้า แรงก็จะหมดไป

ความคมของมีดก็จะหมดไป

 จนไม่สามารถตัดไม้ให้ขาดได้

ถึงตอนนั้นก็ต้องหยุดพักการตัดไม้ชั่วคราว

ไปรับประทานอาหาร ไปนอนเอากำลัง

ไปลับมีดให้คม พอได้พัก ได้รับประทานอาหาร

ได้ลับมีดแล้ว พอกลับมาตัดไม้ใหม่

ก็ตัดได้อย่างง่ายดาย

การพิจารณามานะ พิจารณาอวิชชา

ก็ต้องพิจารณาสลับกับการพักอยู่ในสมาธิ

ทำอย่างนี้ไม่เป็นการติดสมาธิ

การติดในสมาธิก็คือ

เวลาออกมาจากสมาธิแล้ว ใจวุ่นวาย

 ก็กลับเข้าไปในสมาธิ

ไม่ใช้ปัญญาแก้ความวุ่นวายใจ

 เวลาออกจากสมาธิแล้วมีความวุ่นวายใจ

เพราะมานะหรืออวิชชาเป็นเหตุ

 ต้องใช้ปัญญาพิจารณา ถึงจะไม่ติดในสมาธิ

ถ้าพิจารณาแล้วยังตัดมานะตัดอวิชชาไม่ได้

มีกำลังไม่พอ ก็ต้องเข้าไปพักในสมาธิก่อน

 พอออกจากสมาธิแล้ว ก็พิจารณาใหม่

 พิจารณามานะใหม่ พิจารณาอวิชชาใหม่

 จนกว่าจะตัดได้

ถ้าไม่พักเลยก็จะเกิดอุทธัจจะขึ้นมา

 พิจารณาแบบไม่หลับไม่นอน ทั้งวันทั้งคืน

 ด้วยความเพลิดเพลิน จนลืมพักจิต ลืมเข้าสมาธิ

นี้คือการพึ่งตนเองด้วยการปฏิบัติธรรม

 ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงวาระสุดท้าย

 พอสติปัญญาได้ทำลายกิเลสตัณหา

จนหมดสิ้นไปแล้ว

 ก็จะไม่มีความทุกข์อีกต่อไป

พอไม่มีความทุกข์ก็ไม่ต้องมีที่พึ่ง

ที่เราต้องพึ่งธรรมะ พึ่งมรรค ๘ พึ่งทานศีลภาวนา

 พึ่งสติสมาธิปัญญา ก็เพื่อดับความทุกข์ใจ

ที่เกิดจากตัณหาความอยากต่างๆ

พอความทุกข์ใจได้ถูกทำลายจนหมดสิ้นไปแล้ว

ก็ไม่ต้องพึ่งอะไรอีกต่อไป อยู่อย่างสบาย

 อยู่อย่างไม่มีความทุกข์ไปตลอด

นักปฏิบัติจึงต้องพึ่งตนเอง

 ทำทุกสิ่งทุกอย่างด้วยตนเอง

 เช่นการดูแลรักษาอัตภาพร่างกาย

และการภาวนา ต้องชำระจิตเอง ต้องภาวนาเอง

แต่ต้องอาศัยคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นผู้บอกทาง

 การปฏิบัติจึงมีที่พึ่ง ๒ ส่วนด้วยกันคือ

 ๑. อัตตาหิ อัตตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งของตน

 ต้องเป็นผู้ปฏิบัติเอง

 ๒. พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่เป็นผู้นำทาง

ถ้าไม่มีพระธรรมคำสอนเป็นผู้นำทาง

 ก็จะไม่สามารถปฏิบัติให้บรรลุมรรคผลนิพพานได้

 เพราะสติปัญญาของปุถุชน

จะไม่สามารถทำให้บรรลุมรรคผลนิพพานได้

ยกเว้นพระโพธิสัตว์เท่านั้น

ที่มีสติปัญญาบารมี ที่สามารถค้นหาทาง

สู่การหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดได้

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.......................

กัณฑ์ที่ ๔๕๓ วันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖

 (จุลธรรมนำใจ ๓๒)

“ตนเป็นที่พึ่งของตน”






ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 26 ตุลาคม 2559
Last Update : 26 ตุลาคม 2559 11:40:35 น.
Counter : 763 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ