Group Blog
All Blog
### หัวใจของการปฏิบัติธรรม ###








“หัวใจของการปฏิบัติธรรม”

สตินี้เป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างมาก อย่างยิ่งทีเดียว

 พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าสตินี้ มีความยิ่งใหญ่

เหมือนกับรอยเท้าช้าง

รอบเท้าช้างนี้จะเป็นรอยเท้าที่ใหญ่

กว่ารอยเท้าของสัตว์ทั้งหลาย 

นี่คือความสำคัญของสติ

มีความสำคัญยิ่งกว่าธรรมทั้งหลาย

ถึงแม้ว่าสติเองนั้นไม่สามารถที่จะทำลาย กิเลสตัณหา

ไม่สามารถที่จะทำให้บรรลุมรรคผลนิพพานได้ก็ตาม

 แต่ธรรมอื่นๆ ที่จะทำให้เกิดมรรค ผลนิพพานขึ้นมาได้

ก็จะเป็นจะต้องมีสติเป็นผู้ทำให้เกิดขึ้นมาก่อน

เช่นสมาธิและปัญญา ถ้าไม่มีสติแล้วนั่งสมาธิไป

ไม่ว่าจะนานสักเท่าไรก็จะไม่ได้ผล

แล้วถ้าไม่มีสมาธิแล้วจะพิจารณาทางปัญญา

 จะฟังเทศน์ฟังธรรมมามากน้อยเพียงไรก็ตาม

ก็จะไม่เป็นปัญญา จะไม่สามารถนำมาทำลาย

กิเลสตัณหา ที่เป็นต้นเหตุของความทุกข์

ที่เป็นต้นเหตุของการเวียนว่ายตายเกิดได้

ดังนั้นเราจึงต้องเจริญสติอย่างต่อเนื่อง

 อันนี้เป็นหัวใจของการปฏิบัติเลย

 ถ้าไม่มีสติแล้วก็อย่าไปปฏิบัติ ให้เสียเวลา

 นั่งสมาธิไปใจก็จะลอยคิดถึงเรื่องนั้นคิดถึงเรื่องนี้

 นั่งไปได้ไม่นานก็จะทนนั่งต่อไม่ได้

เพราะเกิดความอยาก อยากจะไปทำสิ่งนั้น

อยากจะไปทำสิ่งนี้ อยากจะไปพบคนนั้นพบคนนี้

 อยากจะไปดื่มอยากจะไปรับประทาน

นั่งก็จะรู้สึกอึดอัดรู้สึกเครียดขึ้นมา

ก็จะทนนั่งต่อไปไม่ได้แล้ว ก็จะไม่อยากนั่ง

 เพราะนั่งทีไรก็จะไม่เกิดผลสักที

ก็เลยไปโทษว่าบุญน้อยไปบ้าง

หรือกรรมฐานไม่ถูกจริตบ้าง นั่งแล้วไม่เกิดผล

 ความจริงสิ่งที่เป็นปัญหาก็คือสตินี้เอง ไม่มีสติ

ไม่มีกำลังที่จะหยุดความคิดปรุงแต่งของตน

 ไม่มีกำลังที่จะให้จิตบริกรรมพุทโธๆไปเรื่อยๆ

หรือสวดมนต์ไปเรื่อยๆ หรือเฝ้าดูการเคลื่อนไหว

 ของร่างกายไปเรื่อยๆ การกระทำของร่างกาย

นี่คือวิธีที่เราใช้สร้างสติ จะบริกรรมพุทโธก็ได้

จะเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของร่างกายก็ได้

 จดจ่อเฝ้าดูกับการกระทำของร่างกาย

ไม่ว่ากำลังทำอะไรอยู่ ก็ให้เฝ้าดู

กับการกระทำของร่างกายเท่านั้น

 ไม่ให้ไปคิดถึงเรื่องนั้นเรื่องนี้

 เช่นกำลังอาบน้ำก็ให้อยู่กับการอาบน้ำ

 กำลังล้างหน้าก็ให้อยู่กับการล้างหน้า

หวีผมก็ให้อยู่กับการหวีผม

 แปรงฟันก็อยู่กับการแปรงฟัน

 ทำอะไรก็ตามให้ใจเฝ้าดูการกระทำของร่างกาย

 เหมือนเป็นยามเฝ้านักโทษไม่ให้คลาดไปจากสายตา

 อย่างนี้เขาเรียกว่าเป็นการเจริญสติในรูปแบบหนึ่ง

 อีกรูปแบบหนึ่งก็คือบริกรรมพุทโธๆไป

 หรือสวดมนต์ไปภายในใจ จะสวดบทสั้นก็ได้

สวดบทยาวก็ได้ สุดแท้แต่ว่าจะชอบแบบไหน

ก็ทำแบบนั้นไป ถ้าเราสามารถควบคุมจิต

ไม่ให้คิดปรุ่งแต่งได้ เวลานั่งสมาธิ

จิตก็จะเข้าสู่ความสงบได้อย่างง่ายดาย และรวดเร็ว

 ภายใน ๕ นาที ๑๐ นาที จิตก็จะรวมได้

นี่คือความสำคัญของสติ

 ผู้ที่ต้องการจะนั่งสมาธิเพื่อให้เกิดผล

 จึงจำเป็นจะต้องเจริญสติอย่างต่อเนื่อง

ต้องเจริญตั้งแต่ตื่นจนหลับ

 และการที่จะเจริญสติได้อย่างต่อเนื่อง

 ก็ต้องอยู่คนเดียว

ต้องอยู่ในสถานที่สงบสงัดวิเวก

ถ้าอยู่ในสถานที่ที่มีสิ่งต่างๆ คอยรบกวนใจ

จะไม่สามารถรักษาสติได้

เพราะจะถูกสิ่งต่างๆฉุดลากไป

 ฉุดลากให้จิตไปวิพากษ์วิจารณ์กับสิ่งต่างๆ

ที่มารบกวนใจ เช่นเมื่อกี้มีเสียงเข้ามา

 เราก็จะไม่สามารถตั้งสติอยู่กับการฟังเทศน์ฟังธรรมได้

พอเสียงเข้ามาเสียงมันดังมันก็เลยมากลบเสียงธรรม

 เราก็ต้องไปฟังเสียงนั้น

แล้วก็เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมา เกิดอารมณ์ขึ้นมา

นี่คือเหตุปัจจัยที่จะเอื้อต่อการเจริญความสุข

คือสันติสุขที่เกิดจากความสงบของใจ

ต้องเจริญสติตั้งแต่ตื่นจนหลับ

ไม่มีเวลาใดที่เราไม่รักษาจิต

 ไม่มีเวลาใดที่เราไม่เจริญสติ

ถ้าเราทำได้แล้วรับรองได้ว่า

เวลานั่งสมาธิจะสงบได้อย่างรวดเร็ว

 แล้วเวลาจิตมีความสงบแล้วก็จะมีกำลัง

 ที่จะใช้ปัญญาต่อสู้กับความอยากต่างๆ ได้

 เพราะความอยากนี่แหละเป็นตัวที่ทำให้จิตใจไม่สงบ

 พอไม่มีความอยากแล้วจิตใจก็จะสงบโดยธรรมชาติ

 โดยที่ไม่ต้องเข้าสมาธิ

โดยที่ไม่ต้องควบคุมจิตด้วยสติ แต่อย่างใด

พอไม่มีความอยากแล้วก็จะไม่มีความคิดปรุงแต่ง

 ถ้าคิดก็ไม่ได้คิดด้วยความอยาก คิดด้วยเหตุด้วยผล

 ถ้าคิดด้วยเหตุด้วยผลก็ไม่ฟุ้งซ่านและไม่เรื่อยเปื่อย

 คิดเท่าที่จำเป็น เวลามีความจำเป็นที่จะต้องคิดก็คิด

 พอหมดความจำเป็นแล้วก็หยุดคิด

 เพราะไม่มีความอยาก

 จิตก็จะมีความสงบอยู่ตลอดเวลา

โดยที่ไม่ต้องเจริญสติ ไม่ต้องเข้าสมาธิ

ไม่ต้องเจริญปัญญา

เพราะจิตได้กลับสู่ความเป็นตัวของตัวเอง

กลับสู่ธรรมชาติของตนแล้ว กลับสู่ความบริสุทธิ์ของจิต

 ปราศจากความโลภ ความโกรธ

ความหลง ความอยากต่างๆ

จิตของพระพุทธเจ้ากับของพระอรหันต์

จึงไม่ต้องปฏิบัติธรรมอีกต่อไป

ไม่ต้องเจริญสติ ไม่ต้องนั่งสมาธิ

 ไม่ต้องเจริญปัญญา

 เพราะว่าปัญหาได้ถูกแก้แล้ว

 ปัญหาก็คือความอยากที่ทำให้จิตวุ่นวาย

ส่ายแส่ ฟุ้งซ้าน  ได้ถูกทำลายไปหมดแล้ว

 พอตัณหาความอยากถูกทำลายไปหมดแล้ว

จิตก็จะสงบเป็นปกติ ไม่ต้องทำอะไร

จิตจะไม่มีวันที่จะฟุ้งซ่านอีกต่อไป

เหมือนกับคนไข้ที่ได้รับการรักษา

ได้รับประทานยาเข้าไปทำลายเชื้อโรค

ที่ทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บ พอไม่มีโรคภัยไข้เจ็บแล้ว

ก็ไม่จำเป็นจะต้องรับประทานยาต่อไป

ธรรมะที่เราปฏิบัติกัน เช่น ทาน ศีล สติ สมาธิ ปัญญา

 อันนี้ก็เป็นเหมือนยารักษาโรคใจ โรคใจคืออะไร

ก็คือความทุกข์ ความวุ่นวายใจ

ความฟุ้งซ่านความเครียด

 ความวิตกกังวล ความว้าวุ่นขุ่นมัว

ความเศร้าสร้อยหงอยเหงา ความเศร้าโศกเสียใจ

ที่เกิดจากความอยากต่างๆ

พอความอยากต่างๆ ถูกทำลายไปหมดแล้ว

ความทุกข์เหล่านี้ ก็จะไม่มีหลงเหลืออยู่ภายในใจ

 ใจก็จะอยู่ในความสงบไปตลอด ไม่มีวันสิ้นสุด

 ใจก็จะเป็นปรมัง สุขัง มีแต่ความสุขอยู่ตลอดเวลา

อันนี้คือหัวใจของพระพุทธศาสนา

 เป้าหมายของการปฏิบัติไม่ว่าจะเป็นการทำทานก็ดี

 เป็นการรักษาศีลก็ดี เป็นการเจริญสติก็ดี

เป็นการนั่งสมาธิก็ดี เป็นการเจริญปัญญาก็ดี

ก็มีเป้าหมายอยู่ที่การทำใจให้สงบนี่เอง

ให้หยุดความอยากต่างๆ เสีย

เช่นเบื้องต้นที่พวกเราทำกันอยู่

ในขณะนี้ก็คือการทำทาน

 การบริจาคแบ่งปันทรัพย์ส่วนหนึ่ง

 แทนที่เราจะเอาทรัพย์ส่วนนี้ไปใช้กับความอยาก

เช่นไปซื้อของที่เราอยากได้

หรือไปดูไปฟังไปดื่มไปรับประทาน

ไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ เราก็เอาทรัพย์อันนี้

มาทำทานเอามาทำบุญ มาซื้อข้าวของ

แล้วก็เอามาถวายพระ เราจะเอาไปคนอื่นก็ได้

 ผู้รับนี้ไม่สำคัญ สำคัญที่ผู้ให้

 การกระทำนี้เป้าหมายอยู่ที่ผู้ให้มากกว่าผู้รับ

คือต้องการให้ผู้ให้หยุดความอยากใช้เงิน

ไปในทางที่ไม่ถูก

ใช้เงินไปในทางที่จะทำให้เกิดความหิว

 เกิดความอยากเพิ่มมากขึ้น

 เช่นถ้าเราเอาเงินก้อนนี้ไปเที่ยว

 เดี๋ยวพรุ่งนี้เราก็อยากจะไปเที่ยวอีก

 เพราะมันไม่ได้ทำให้เราเลิกอยากเที่ยว

แต่กลับทำให้เกิดมีความอยากเที่ยว เพิ่มขึ้นมาอีก

 แต่ถ้าเราเอาเงินก้อนนี้มาทำบุญ

ความอยากเที่ยวมันก็จะอ่อนกำลังลงไป

และถ้าทุกครั้งเวลาที่เราอยากเที่ยว

 เราก็เอาเงินไปทำบุญ เอาไปทำทาน

 ต่อไปเราก็ไม่ต้องเที่ยวก็ได้

เพราะว่าเวลาเราทำทาน

 เราก็จะได้ความอิ่มใจ ได้ความสุขใจขึ้นมา

 ที่ดีกว่าการเอาเงินไปเที่ยว

อันนี้ก็คือเจตนารมย์ของการทำทาน

ของการบริจาคทรัพย์ ก็เพื่อให้เราหยุดใช้ทรัพย์

ไปทำตามความอยากนั่นเอง

พอเราไม่ได้ทำตามความอยากแล้ว

 ความอยากก็จะอ่อนกำลังลงไป

เช่นถ้าเราจะเอาทรัพย์ไปซื้อสุรามาดื่ม

เราเอาทรัพย์นี้ไปให้ผู้อื่น จะให้ใครก็ได้

 ให้พ่อให้แม่ให้เพื่อนให้ญาติสนิทมิตรสหายให้โรงเรียน

 โรงพยาบาลให้วัดให้อะไรก็ได้

ขอให้เราเอาไปให้เพื่อเราไม่เอาเงินนี้

มาซื้อสุรามาดื่มเท่านั้นเอง

พอทุกครั้งที่เราต้องการจะดื่มสุรา

 เราก็เอาเงินนี้ไปซื้อของแล้วก็เอาไปให้คนอื่น

หรือเอาเงินก้อนนี้ไปให้คนอื่น ต่อไปเราก็จะไม่ดื่มสุรา

 เราก็จะเลิกดื่มสุราได้

อันนี้คือเจตนารมย์ของการทำทาน

 เพื่อให้เราหยุดความอยาก

ในการใช้เงินทองซื้อความสุขต่างๆ

 เพราะถ้าเราใช้เงินทองซื้อความสุขต่างๆ

 เราก็ต้องวุ่นวายกับการหาเงินทองอยู่เรื่อยๆ

เพราะเมื่อเราใช้เงินทองไปแล้วเดี๋ยวมันก็หมด

 หมดแล้วเราก็ต้องไปหามาใหม่

 หามาใหม่แล้วก็มาใช้ให้มันหมดอีก แล้วก็ไปหามาอีก

 ก็จะเป็นวัฏจักรแบบนี้ เป็นวงจรแบบอุบาทว์

 เพราะเวลาใดที่เราไม่สามารถหาเงินหาทองได้

 เวลานั้นเราก็จะเดือดร้อน เพราะความอยากมันไม่ได้

หมดไปกับการไม่มีเงินทอง

 เราก็อาจจะต้องไปทำบาปทำกรรม

 ไปทำอาชีพที่ไม่ถูกกฎหมาย

 ก็จะทำให้เราต้องไปเสี่ยง

กับการติดคุกติดตะราง

 เสี่ยงกับการที่จะต้องไปมีปัญหา

ไปมีเรื่องราวกับผู้อื่น

อันนี้ก็เป็นขั้นแรกที่พวกเราทำกันอยู่ในตอนนี้

ก็คือเราทำทานเพื่อหยุดความอยากต่างๆ

 ทุกครั้งที่เราอยากจะซื้อของที่ไม่จำเป็น เช่นสุรา บุหรี่

 หรือไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ หรือซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่

ทั้งๆ ที่เรามีเสื้อผ้าอยู่เต็มตู้แล้ว รองเท้าคู่ใหม่

 กระเป๋าใบใหม่ หรือไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ

เราเอาเงินนี้มาทำบุญ

จะทำกับการกุศลแบบไหนก็ได้ที่เราชอบใจ

ถ้าเราชอบช่วยเด็กก็ทำกับเด็ก

 ชอบช่วยคนแก่ก็ทำกับคนแก่

ชอบช่วยโรงพยาบาลก็ทำกับโรงพยาบาล

 ชอบช่วยวัดก็ทำกับวัด เลือกทำเอาได้ทั้งนั้น

ผลอยู่ที่ใจของเรา คือทำให้บั่นทอน

หรือตัดกำลังของความอยาก

ให้มันน้อยลงไปอ่อนลงไป

ถ้าเราสามารถทำได้ทุกครั้ง รับรองได้ว่าต่อไป

เราจะอยู่บ้านอย่างมีความสุข

ไม่ต้องออกนอกบ้านก็ได้ เช่นหยุด ๔ วันนี้

เราไม่ต้องไปไหนก็ได้ อยู่บ้าน จิตอยู่เฉยๆ

ไม่อยากออกไหน ก็จะมีเวลามาเจริญสติได้

 มีเวลารักษาศีลให้สะอาดบริสุทธิ์ได้

พอเราเจริญสติได้ มีเวลานั่งสมาธิ ใจก็จะสงบได้

 เราก็จะเข้าสู่ความสุขที่ดีกว่าเหนือกว่า

การออกไปหาความสุข

ด้วยการไปเที่ยวตาม สถานที่ต่างๆ

 และเราก็ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยกับการเดินทาง

ช่วงนี้เดินทางไปไหนมาไหนก็มีรถติดยาว

ไปไหนก็มีคนมากก็ต้องไปแย่งกันชุลมุน

ไปซื้อของก็ไปแย่งกันซื้อ

 ไปรับประทานอาหารก็ไปแย่งกันรับประทานอาหาร

 เพราะว่าทุกคนมีวันหยุดวันเดียวกัน

 แล้วก็มีความอยากเหมือนกันก็เลยไปที่เดียวกัน

 พอคนหลายๆคนไปที่เดียวกัน

ก็ต้องเกิดการแก่งแย่งกันขึ้นมา

 แทนที่จะมีความสุขกลับ

มี ความโกลาหลมีความวุ่นวายใจ

 แทนที่จะมีความสุขกลับไม่มีความสุข

บางทีก็คิดว่าไม่น่ามาเลย สู้อยู่บ้านดีกว่า

แต่อยู่บ้านก็อยู่ไม่ได้เพราะสู้ความอยากไม่ได้

 เพราะเราไม่เคยทำบุญกัน

ไม่เคยเอาเงินที่เราจะทำตามความอยากนี้มาทำบุญกัน

 ถ้าทุกครั้งที่เราอยากแล้วเราเอาเงิน ที่เราจะใช้

กับความอยากนี้มาทำบุญมาทำทาน

ต่อไปความอยากจะไปข้างนอกไปหาความสุข

จากรูปเสียงกลิ่นรส ไปหาความสุขจากสถานที่ต่างๆ

นี้จะจางหายไป ก็จะทำให้เราอยู่บ้านได้

อยู่บ้านเราก็สามารถที่จะเจริญสติ นั่งสมาธิได้

 ฟังเทศน์ฟังธรรมได้ ฟังเทศน์ฟังธรรม

ก็จะเกิดปัญญาขึ้นมา แล้วเราก็จะเอาปัญญา

ที่ได้จาก การฟังเทศน์ฟังธรรมนี้มาใช้กับการปฏิบัติ

มาหยุดความอยาก.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

..........................

ธรรมะบนเขา วันที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๕๖

“ความสงบ”






ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุขาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 16 กันยายน 2559
Last Update : 16 กันยายน 2559 12:48:36 น.
Counter : 636 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ