Group Blog
|
<<< ชีวิตต้องเทียมด้วยควายสองตัว >>>
1. ชีวิตต้องเทียมด้วยควายสองตัว (ท่านพุทธทาสภิกขุ ได้แสดงธรรมบทนี้ วันนี้เป็นวันบรรยายวันแรกของพวกเรา คือเริ่มเรื่องทั่วๆไปสำหรับจะได้เข้าใจเรื่อง ผมก็รวบรวมใจความออกมาดู ว่ามีเรื่องอะไรบ้าง จะปฏิบัติอย่างไรจึงจะป้องกันมิให้ความทุกข์เกิด การที่ต้องการจะทราบเรื่องสำหรับฆราวาส จึงอยากจะทราบในฐานะที่จะแก้ปัญหาของพวกฆราวาส แต่ควรพูดในฐานะเป็นเรื่องทั่วไปสำหรับมนุษย์ คุณต้องเข้าใจว่าจะเป็นฆราวาส เพียงแต่ว่าเรื่องของฆราวาสนั้น ถ้าจะมีทุกข์แล้วก็มีเพราะความยึดมั่นถือมั่น และบางทีมันก็เหมือนกันเสียด้วย มันไม่้มีพระ ไม่มีฆราวาส มันเป็นเรื่องของจิตใจคน คนนั้นแม้ว่าเป็นพระไปนึกคิดอย่างฆราวาสก็ได้ ยิ่งพระสมัยนี้ด้วยแล้ว ก็มีอะไรที่คิดนึกเหมือนฆราวาสมาก ความโลภ ความโกรธ ความหลงก็ตาม มันเกิดความทุกข์ขึ้นมาจากกิเลสนั้น แล้วที่จะไปแบ่งแยกเป็นพระเป็นฆราวาสนั้น เพราะฉะนั้นเราพูดกันถึงเรื่องของมนุษย์ สำหรับปัญหาที่ถามว่าจะป้องกันความทุกข์ จะพูดกันโดยหลักกว้างๆอย่างที่เรียกว่า อารัมภกถา เกี่ยวกับข้อนี้จะพูดเป็นหลักไว้ก่อนว่า คนไทยเราใช้ควายไถนา ชีวิตของคนเราต้องเทียมด้วยควายสองตัว ผมอยากจะเล่าเรื่องควายที่ไถนา ผมเกิดก่อนคุณในสมัยที่เห็นเขาไถนาด้วยควายสองตัว ปู่ย่าตายายของเราไถนาด้วยควายสองตัว ควายตัวหนึ่งฉลาด ตัวเล็กก็ได้ ผอมก็ได้ แล้วควายอีกตัวหนึ่งแข็งแรงตัวใหญ่ เขาพูดกับควายตัวที่หนึ่งทั้งนั้น เขาบอกให้ควายตัวที่หนึ่งเบียดไปทางซ้าย บอกให้หยุดควายตัวที่สองก็ยังเดินเรื่อย นี่แหละให้รู้ไว้ว่า ควายนั้นไม่ได้ทำหน้าที่ ตัวต้นเป็นควายที่ฉลาดเรียกว่า "ตัวรู้" (ความรู้) ฉะนั้น จะเห็นว่า ตัวหนึ่งมันฝากแรงไว้กับอีกตัวหนึ่ง ตัวหนึ่งเป็นตัวรู้ อีกตัวหนึ่ง เป็นตัวแรง ชีวิตของคนเราก็ต้องเทียมด้วยควายสองตัวเหมือนกัน ถ้าชีวิตไหนเทียมด้วยควายแต่ตัวเดียวมันก็มีปัญหา และขาดตัวที่รู้แล้วชีวิตนั้นอันตรายมาก ไม่มีตัวที่เป็นแรง นี้ยังไม่อันตราย ถ้าชีวิตนี้มันเทียมด้วยควายตัวต้นตัวเดียว แต่ถ้าเผอิญมันไปเทียมด้วยควายตัวที่สอง ที่กำลังมีควายเพียงตัวเดียว แล้วก็มีควายตัวแรงนั้น ในที่นี้จะชี้ให้เห็นชัดลงไปอีกว่า spiritual-enlightenment นี้ คุณจะเห็นได้ว่าศาสนาทุกศาสนานั้นเกิดในทางตะวันออก ศาสนาพุทธ ศาสนาพราหมณ์ ศาสนาเล่าจื้อ ขงจื้อ ดังนั้นตะวันออกจึงรุ่งเรืองไปด้วย เดี๋ยวนี้มีวิวัฒนาการมากจนเรียกว่า เทคโนโลยี่ เขาว่าพระเจ้าตายแล้วเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้ไม่ต้องถืออะไร นี่ฟังดูให้ดี คือมันมีแต่ควายตัวที่สอง ซึ่งมีแต่เรี่ยวแรง หรือจะเอาเรื่องปากเรื่องท้องกันเท่าไรก็ได้ แต่แล้วมันไม่มีความสว่างไสวทางวิญญาณ นี่แหละดูข้อนี้ให้เข้าใจกันก่อน โลกนี้กำลังน่ารื่นรมย์หรือไม่? น่าบูชาหรือไม่ ? มันเลวลงทุกที มันสกปรกลงทุกที อย่างเรื่องเล็กๆน้อยๆ เช่นว่า เดี๋ยวนี้ไม่กล้านอน เพราะมีคนมายิงตาย เมื่อก่อนนี้เขานอนใต้ถุนบนแคร่ตากลมจนสว่างได้ เดี๋ยวนี้กำลังลักพาหญิงไปหาประโยชน์ ผมเคยพบหนังสือข่าวแบบนั้น อย่างนี้ไม่เคยมีในสมัยโบราณ นั่นแหละคือผลของเทคโนโลยี่ ซึ่งมีแต่ให้เอร็ดอร่อยทางปาก ทางท้อง หรือว่าจะเอาอะไรก็ได้ในทางฝ่ายวัตถุ ไปโลกพระจันทร์ก็ได้ จะทำอะไรก็ได้ ฝ่ายตะวันออกเรา พวกเรานี้มันมี แล้วก็ค่อยๆจางไปเลือนไปในเวลานี้ ส่วนเรามีสมบัติเดิมคือ พวกคุณก็คือพวกที่กำลังจะไปตามก้นฝรั่ง จะไปเมืองนอกเมืองนา ไปหาวิชาความรู้ คุณต้องดูให้ดีว่าเดี๋ยวนี้ศาสตร์(science) ทั้งหลาย จะเป็นคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ อะไรศาสตร์ ก็ตาม คือมันมุ่งหมายที่จะใช้เพื่อเทคโนโลยี่แต่อย่างเดียว หรือความสว่างไสวทางวิญญาณก็ได้ หรืออะไรศาสตร์ก็ตาม ศาสตร์ทั้งหลายที่มนุษย์กำลังเรียนกันอยู่ในโลกนี้ ไม่เคยนำไปใช้เป็นอุปกรณ์ ปู่ ย่า ตา ยาย ของเราไม่เคยประสบความทุกข์ เขายึดหลักในทางความสว่างไสวทางวิญญาณ เขามีวิชาความรู้เรื่องการทำมาหากิน หรือว่าไม่ต้องการจะทำอะไรมากกว่าที่จำเป็น อติโลโภ แปลว่า โลภเกิน หิ - ก็ ปาปโก - ลามก พวกที่เป็นทาสของเทคโนโลยี่นั้น ต้องการจะไปโลกพระจันทร์ โลกพระอังคาร นี่มันเข้าบทพระพุทธภาษิตที่ว่า คุณไปค้นเถอะจะพบว่า ที่ทำสงครามกันอยู่ที่นั่นที่นี่ จะเป็นคนชาติไหนก็ตามใจ ขอให้รู้ว่า ศาสนาทุกศาสนาเขาถือหลักเดียวกันหมด ของเรามีชัดอยู่ว่า เป็น sinful คือมีบาป ฉะนั้นจึงให้แสวงหาหรือมีไว้แต่เพียงพอเหมาะพอดี ในศาสนาไหนๆก็เหมือนกัน เพราะมันเป็นเรื่องก่อให้เกิดความทุกข์ จึงว่าลามก ทีนี้เรามีความรู้หรือแสงสว่าง โลภพอดี ฝ่ายพวกฝรั่งมาเห็นเข้าก็ว่า อย่างนี้ขี้เกียจ เลยลูกหลานของตายาย นั่นแหละดูให้ดีว่าปู่ย่าตายายของเรานั้น แล้วก็พอเหมาะพอดีที่มนุษย์คนหนึ่งจะมีความสุข นอนตากลมบนแคร่ใต้ถุนเรือนได้จนสว่าง คือวัฒนธรรมแห่งการที่่ชีวิตนี้เทียมอยู่ด้วย เทคโนโลยี่ขนาดน้อยๆ ตามที่เขาจะทำได้นี้ พวกฝรั่งนั้นเผลอตัว ตกไปเป็นทาสของวัตถุ ดำทมึนสูงกว่าภูเขา มันเป็นควายขนาดยักษ์ นี่มันผิดกันกับปู่ ย่า ตา ยาย ของเราอย่างนี้ จะเอาอย่างไหนก็ได้ แต่ผมกำลังบอกพวกคุณว่า จะแก้ความทุกข์ที่เกิดแล้วอย่างไร? เช่นนี้ ตือ ชีวิตที่มีควายสองตัวนั่นแหละ ไม่ยุ่งยากลำบาก ลามกอนาจาร เหมือนลูกหลานสมัยนี้ นี่แหละคือ อารัมภกถา คุณฟังดูให้ดี ปู่ ย่า ตา ยาย ไม่เคยมีปัญหานี้ เกี่ยวกับร่องรอยต่างๆของวัฒนธรรมอันสูงสุด แม้ที่สุดแต่บทกล่อมลูกให้นอน นั้นก็เป็นซากหรือร่องรอยขอ พวกคุณเองเสียอีกจะยังไม่รู้ว่า สมัยที่พระพุทธศาสนายังรุ่งเรืองอยู่ในถิ่นนี้ พวกเราจะสามารถมีชีวิตชนิดที่ สำหรับเรื่องทฤษฎีนั้นมันก็หมดไปแล้ว เราจะสามารถทำได้หรือไม่ คือ เทคโนโลยี่ ทีนี้พวกคุณก็จะถามขึ้นว่า ผมก็ยอมรับว่ามันเป็นความรู้ พวกฝรั่งเท่านั้นที่ทันสมัย เขากลับมองเห็นว่าตะวันออกนี้มีของประเสริฐวิเศษ คือมาเรียนศาสนาของตะวันออก ที่พวกฝรั่งเอาไปสอนกันในมหาวิทยาลัยอังกฤษ แล้วก็เป็นปรัชญาเพ้อเจ้อ ก็ควรจะสอนว่าทำอย่างไร เมื่อมันได้รับอารมณ์คือ ต้องฝึกฝนอย่างนั้นจึงจะเป็นตัวศาสนา แม้แต่เรื่องนิพพาน เรื่องอนัตตา สุญญตา สอนอย่างนี้ ให้สอนกันจนตายอีกกี่ชาติ พวกฝรั่งที่ฉลาดบางคนเขาจึงอุตส่าห์มาทางบ้านเรา คือให้รู้ว่าทำอย่างไร เราจึงจะชนะ ทางโน้นเขามัวแต่สอนกันแต่เรื่องในรูปของปรัชญา ทำไมเป็นอย่างนั้น ทำไมเป็นอย่างนี้ ทำไมจึงเป็นอย่างนั้นอีก นี้เป็นปรัชญาเพ้อเจ้อ เช่นว่าเราจะดับทุกข์ ก็ต้องรู้เท่าที่จะดับทุกข์ ทำไมต้องเป็นอย่างนั้นอีก? ต้นไม้ก็งาม เมื่อปลูกต้นไม้ได้งาม ได้กินผล ไม่ต้องรู้ว่า ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น เดี๋ยวนี้เรามันไปรู้ส่วนเพ้อเจ้อ เรื่องอะไรก็ตาม ม้นเป็นไปในรูป กำลังสอนพุทธศาสนากันอยู่ตามมหาวิทยาลัยต่างๆ ไม่ใช่ตัว religlon แต่มันเป็นตัว philosophy รู้จนหาบกันไม่ไหวหรืออะไรก็ตาม ความรู้ก็รู้เท่าที่จะต้องรู้ เรี่ยวแรงก็มีเท่าที่จะต้องมี นี่คุณระวังให้ดี คุณอย่าเข้าไปหลงแต่ควายตัวใหญ่ คุณจะมีเรี่ยวมีแรงในการแสวงหาอะไร เรื่องประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน มีตี มีฆ่า มีอะไรกัน ในมหาวิทยาลัย เดี๋ยวนี้มันมีแล้ว มันก็มีเชื้อโรคมาจาก ไม่มีควายตัวที่สำคัญตัวต้น ซึ่งคุณก็เห็นอยู่ ก็ประจักษ์อยู่ในจิตใจ ในแง่ของฝ่าย spiritual - enlightenment มันก็เท่ากับไม่รู้หรือรู้ผิดอยู่เรื่อยไป ที่สอนเรื่องคนเรานี้เกิดมาทำไม ? ซึ่งเป็นตัวรู้ มีแต่ตัวแรง มันเป็นเสียอย่างนี้ วิชาความรู้ที่คุณมีกันเกือบจะท่วมหัวอยู่แล้วนี้ เพราะคุณไม่รู้ในข้อที่ว่า เกิดมาเกิดมาทำไม ฉะนั้นวิชาความรู้ที่คุณมีอยู่ทั้งหมด อย่างดีที่สุดก็เอามาใช้กับเรื่องปากเรื่องท้อง ได้เงินมาหล่อเลี้ยงความต้องการของเรา ถ้าเรารู้ว่าเกิดมาทำไมอย่างถูกต้อง อย่างผมมักจะพูดอย่างกำปั้นทุบดินว่า ฉะนั้นที่อุตส่าห์ปลุกปล้ำอยู่ทั้งวันๆในการเล่าเรียน นอกจากเพื่อเอร็ดอร่อยทางปากทางท้องนั่นแหละเ ไม่มีเรื่องของควายตัวที่หนึ่ง ที่รู้ว่าเกิดมาทำไม? ในเรื่องคลำนี้มันก็มากออกไปทุกทีๆ อย่างที่ฝรั่งบางคนเขาพูดว่า ความจริงเขาอาจจะรู้ว่า แต่เขาก็ต้องพูดว่า ไปโลกอื่นโลกไหนก็ตามใจ ก็คลำๆ คลำๆ อยู่นั่นแหละ คุณจะต้องทำ "วิปัสสนา" ในข้อนี้กันเสียก่อน พิจารณาว่า โลกนี้มันอยู่ในสภาพอย่างไร? ที่ว่ามีมนุษย์ขึ้นมาทำไม? นิยายปรัมปราที่เราเอามาทำเป็นสไล้ด์เรื่องล้อคน พระเจ้าสร้างมนุษย์ขึ้นมาในโลก เพื่อให้โลกนี้มันดีขึ้น พระเจ้าสร้างมนุษย์ขึ้นมาในโลกนี้ มากขึ้นๆ แล้วมันทำให้โลกนี้น่าอยู่ ให้งดงาม ลองไปนั่งทำวิปัสสนา ของความบ้าหลังของมนุษย์สมัยนี้กันเสียก่อน แล้วเรากำลังจะเป็นอย่างไร? นั่นแหละจะเรียกว่า คุณกำลังเข้าร่องเข้ารอย คือต้องมองเห็นตัวปัญหา หรือตัวความทุกข์ ต้องมองให้เห็นปัญหานั้นให้ถูกต้องเสียก่อน อย่างน้อยเราต้องรู้เรื่องความเจ็บ ความไข้ ถ้าคุณมองไม่เห็นตัวปัญหาหรือตัวความทุกข์ บางทีจะเป็นเรื่องหลับตากันทั้งคุณและผม แล้วก็พูดกันถึงเรื่องวิธีแก้ปัญหา ที่กรุงเทพฯ ก็ตาม ที่ไหนก็ตาม ดูประเสริฐสูงสุดอะไรดี เรื่องธรรมะอย่างนั้นอยางนี้ ขอให้ตั้งต้นด้วยการรู้จักตัวความทุกข์กันเสียก่อน จึงจะรู้สภาพตรงกันข้าม คือความดับทุกข์นั้นเป็นอย่างไร? มีอยู่ 4 หัวข้อว่า ความทุกข์คืออะไร? แล้วจะทำโดยวิธีใดจึงจะได้มา? เดี๋ยวนี้มันอยู่ในลักษณะอื่นคือ พวกไปวัดไปวาเข้าวัดเข้าวาก็เป็นอย่างนี้เสียโดยมาก คือไม่ได้พบตัวปัญหา ก็เป็นเรื่องทฤษฏี ปรัชญา ทั้งนั้นเลย หรือว่าปนกันยุ่ง ในทางวิญญาณมากขึ้น จนผู้เรียนจับอะไรไม่ได้ ผมไปพูดที่คุรุสภาว่า มันไม่มีเหตุผลยิ่งไปเรียนพระไตรปิฏก พอไปเรียนเข้ามันเพลินไป เมื่อจิตใจไม่พบปัญหาความทุกข์แล้ว ที่จริงแท้นั้นมันต้องเรียนชีวิต เรียนธรรมชาติ แต่มันมากนักจนคนจับไม่ได้ แต่ถ้าไปมัวเรียนอย่างอักษรศาสตร์วรรณคดี เป็นมหาเปรียญแล้วก็ยังไม่รู้อะไรเลย ฉะนั้นเรียนพระไตรปิฏกจะไม่รู้พุทธศาสนา พระพุทธเจ้าท่านสอนอย่างนั้น เราตถาคตบัญญัติอยู่ในร่างกายที่ยาววาหนึ่งนี้ ในร่างกายนี้มันมีโลก มีเหตุให้เกิดโลก หมายความว่าพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ตรัสว่า นี่คือข้อที่ผมพูดว่า ต้องเรียนจากชีวิตโดยตรง จึงจะรู้พุทธศาสนาชนิดที่ว่าเป็นพุทธศาสนาจริงๆ ในแง่ของวรรณคดี อักษรศาสตร์ อะไรต่างๆนานา นี่เรียกว่าเราจะมองกันอย่างกว้างๆ เมื่อ protoplasm ในเซลล์หนึ่งๆยังสดอยู่ มันไม่เกี่ยวข้องกันเลยกับพุทธศาสนา ศาสนาไหนก็เหมือนกันแหละ ยังไม่ตายก็เรียกว่ามีชีวิต อย่างนั้น เพราะเขาอาจจะพูดได้ว่า แกนี่ไม่มีชีวิตแล้ว คือ ไม่มีชีวิต ตามความหมายของคำว่า "ชีวิต" ในคัมภีร์ของพวกคริสเตียน พระเยซูพูดว่า พวกคริสเตียนเองก็คงฟังไม่ถูก แล้วก็จะได้ชีวิตนิรันดรของพระเจ้า คำว่า "life" นั้นมันมีความหมายมากมาย ไปหลงควายตัวทีสองเรื่อยไปเสียก่อน แล้วก็ดำเนินชีวิตไปถูกทาง แล้วก็ไปถึงพระเจ้าได้ ชีวิตที่แท้จริงนั้นต้องไม่รู้จักตาย นี่เรารู้จักชีวิตกันแต่ในแง่ของวัตถุ เดี๋ยวนี้เราเรียกว่า ชีวิตทางฝ่ายวิญญาณ คำว่า spiritual - enlightenment. enlightenment มีความรู้อย่างสว่างไสวนั้นแล้ว ดังนั้นความรู้ทางฝ่ายวัตถุนี้มันช่วยไม่ได้ คุณอ่านหนังสือ เรียนหนังสืออย่างในมหาวิทยาลัยนี้ มันก็คือความรู้เท่านั้น คุณก็จะได้ understanding อาศัยตำรับตำราศึกษาเล่าเรียน (studying) มันก็อาศัยเหตุผล (reasoning) ทีนี้คุณเอาความรู้ understanding คือเอาประสพการณ์ (experlence) ต่างๆในชีวิต ต้องเป็น experience ทาง spiritual แล้วมันผ่านอะไรมาในชีวิต? เหล่านั้นแหละเขาเรียกว่าเป็น spiritual experience ทาง reasoning อะไรต่างๆ อย่างที่เรียกว่า realization ฉะนั้นพวก knowledge ยังพึ่งไม่ได้ ฉะนั้นต้องเหนื่อยจากเหตุผล พอเกิดความกำหนัด เกิดราคะขึ้นมา ถึงแม้ความรู้ในหนังสือจะบอกว่า มันก็เป็นการคาดคะเนเท่านั้นเอง เรียกว่า spiritual experience เราจะเอาแต่แขนงที่เกี่ยวกับเรื่องทางจิต อย่างนี้เคยมีเต็มไปหมด กระทั่งมีเล่าจื้อ ขงจื้อ กระทั่งมีคริสเตียน แต่แล้วเราก็ไม่เข้าใจศาสนาเหล่านั้น เราจึงเลยสูญเสีย ของประเสริฐวิเศษ ผมพูดอย่างนี่ไม่กลัวพวกฝรั่งโกรธ เพราะถือว่าพูดความจริงนี้อย่างหนึ่ง ซึ่งเวลานี้กำลังจะแหกคอก ให้โลกนี้ไม่มีสันติภาพ ดึงมาสู่สภาพเดิมของเรา ด้วยการขอร้องให้คนๆนั้นดูเสียใหม่ มนุษย์จะได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์จะได้รับนี้ ได้โดยวิธีใด? เดี๋ยวนี้ผมกำลังพูดกับพวกคุณ พวกคุณอย่าเห่อทะนงตัวว่ามีความรู้ในขั้นอุดมศึกษา คุณยังไม่รู้แม้แต่ว่าตัวเองนี้ เกิดมาทำไม? สิ่งที่เรียนๆอยู่นั้นถ้าว่าเป็นอุดมศึกษา คือเป็นอุดมศึกษาของมนุษย์ที่รู้จัก ที่มีแต่เรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติ การที่ยืมเอาคำว่า "อุดมศึกษา" ไปใช้นั้น มันหมายถึงปฏิบัติไปจนถึง มันหมายถึงบรรลุ มรรค ผล นิพพาน แล้วเรื่องบรรลุ มรรค ผล นิพพาน มันยังเป็นอุดมศึกษาของเด็กอมมือ ผมอยากจะเรียกว่า เด็กอมมือ ในสังคมทั่วไปนั้น คุณก็เป็นนิสิต เพราะว่า คุณยังไม่รู้ว่า เกิดมาทำไม? ทำอย่างไรจึงจะป้องกันไม่ให้ความทุกข์เกิดขึ้นมา? นี่แหละเป็นอุดมศึกษาจริงๆ เป็นปัญหาทางอุดมศึกษา ผมก็เลยตอบอย่างคร่าวๆ กว้างๆ รวมๆกันไป คือ ทั้ง เทคโนโลยี่ และ ทั้ง spiritual - enlightenment ในวันนี้เราจะพูดกันถึงเรื่องอารัมภกถา แล้ววันหลังเราก็จะพูดถึงโดยรายละเอียดอย่างใด จะดับมันได้โดยวิธีใดเป็นต้น ว่าเราจะต้องเจริญทั้งวิชาฝ่ายเนื้อหนัง และคำพูดภาษาพระอริยเจ้าพูด ซึ่งคุณจะได้รู้ภาษาสองภาษาเพื่มขึ้น แต่ภาษาธรรมเขาหมายว่า คำว่าความเกิดมีความหมายต่างกันอยู่อย่างนี้ เมื่อนั้นแหละ จึงรู้จักควายสองตัวอย่างถูกต้อง เรื่องอารัมภกถาของเราก็พอกันทีสำหรับวันนี้ ...คำนำ...จากท่านพุทธทาส ...23 ตุลาคม 2514
.....เกริ่นสักนิด.... ธรรมโฆษณ์ ฉบับ ฆราวาสธรรม นี้ เนื้อหาที่ท่านพุทธทาส ได้แสดงธรรมไว้นี้ ได้พบหนทางที่จะนำพาไปสู่ บางท่านอาจจะได้เคยอ่านแล้ว เราจะนำเสนอเป็นตอนๆเพื่อง่ายต่อการอ่าน จะคัดลอกบทความธรรมะ " คำนำ " ที่ท่านพุทธทาสได้เขียนไว้ หนังสือเรื่องนี้คือคำบรรยายที่บรรยายขึ้นไว้ ฆราวาสไม่ต้องสนใจธรรมะ คติที่ว่าให้ฆราวาสสนใจ เมื่อมีผู้ไปทูลถามพระพุทธองค์ว่า พระองค์ได้ตรัสตอบว่า -บรรดาสุตตันตะทั้งหลาย นี้เป็นหลักที่แสดงว่า นั้นเป็นธรรมที่เป็น " ประโยชน์เกื้อกูล" คนเราจะอยู่ในโลก โลกเต็มไปด้วยความสกปรกเศร้าหมอง คิดดูให้ดีในข้อนี้ ก็จะเข้าใจได้ทันทีว่า คำว่า "โลกุตตรา" ซึ่งแปลว่า "เหนือโลก" ถึงอย่างไรเสียก็คงจะฟังเรื่องนี้ไม่เข้าใจ เราจะต้องพยายามอยู่เหนือความครอบงำของโลก พระพุทธองค์ทรงหมายความว่า ไม่สามารถจะแก้ปัญหาตกนรกทั้งเป็นได้. คำว่า "ฆราวาส" แปลว่าครองเรือน แล้วจะต้องเอาชนะโลกหน้าให้ได้ใน "วัยดึก" ทำได้เช่นนี้ จึงจะเรียกว่า ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์ คำบรรยายชุดนี้มีเจตนาพิเศษ พร้อมไปกับการที่เรามีความก้าวหน้า ทางโลกิยธรรม, นี้ทำให้เราไม่ต้องรับทุกข์จากโลกียธรรม ในการที่จะไม่ต้องมีความทุกข์อีกต่อไป เพราะมันเป็นเครื่องป้องกัน ถ้าทำอะไรผิดพลาดลงไป ในลักษณะที่ใครๆจะช่วยทำเช่นนั้นไม่ได้ ในยุคที่โลกเต็มไปด้วยคนอันธพาลเช่นนั้นยิ่งขึ้น ขอให้ทุกคนสังเกตุดูให้ดีๆว่า เราต้องทำงานหนัก หรือส่วนของร่างกาย ถ้ามีไม่สมดุลกันแล้ว ที่เรียกว่ามีอะไรดีอยู่นั้น เขาต้องเป็นโรคภัยไข้เจ็บประจำตัว หรือตายไปอย่างไม่มีสติสมปฤดี อย่างที่ตรัสไว้ว่า "เย ปมตฺตา ยถา มตา - ถึงแม้จะเป็นฆราวาสอย่างไร ชีวิต คือ การเดินทาง มันเป็นการเดินทาง คนเราจะต้องไต่เต้า ฆราวาสก็เป็นสัตว์มีชีวิต ทุกคนน่าจะเห็นว่า การทำงานคือโลกิยธรรม สำหรับฆราวาสผู้ไม่ถอยหลัง ดั่งที่พระองค์ตรัส ซึ่งได้นำมากล่าวไว้แล้วข้างต้น พยายามจะให้ฆราวาส พุทธบริษัท คนจะเป็นฆราวาสหรือเป็นบรรพชิต มิฉะนั้นแล้วก็หมดความเป็นมนุษย์ที่แปลว่าสัตว์มีใจสูง ล้วนแต่ต้องมีจิตใจสูง ก็จะถอยหลังกลับไปเป็นสัตว์ เป็นการเดินไปข้างหน้าด้วยกันกับบรรพชิตแล้ว พุทธทาส อินทปัญโญ โมกขพลาราม, ไชยา 23 ตุลาคม 2514 |
tangkay
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?] (‿✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้ แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ .... สิบปีผ่านไป....... อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์ แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ Link |