Group Blog
<<< ชีวิตต้องเทียมด้วยควายสองตัว >>>







1. ชีวิตต้องเทียมด้วยควายสองตัว

(ท่านพุทธทาสภิกขุ ได้แสดงธรรมบทนี้
ไว้เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2513)


วันนี้เป็นวันบรรยายวันแรกของพวกเรา 
 ในวันนี้จะพูดแต่เรื่องที่เป็นอารัมภบท
คือเริ่มเรื่องทั่วๆไปสำหรับจะได้เข้าใจเรื่อง
เฉพาะเรื่อง ที่พวกคุณต้องการจะทราบ
จากบันทึกที่พวกกคุณเขียนให้
ผมก็รวบรวมใจความออกมาดู ว่ามีเรื่องอะไรบ้าง
ที่จะต้องพูดกันอย่างไร ในเรื่องอารัมภบทนี้ 
 ก็คือหัวข้อที่คุณอยากจะทราบว่า
จะปฏิบัติอย่างไรจึงจะป้องกันมิให้ความทุกข์เกิด
  หรือแก้ไขความทุกข์ที่เกิดอยู่แล้วสำหรับพวกฆราวาส
การที่ต้องการจะทราบเรื่องสำหรับฆราวาส
  ก็ถูกเหมือนกัน คือว่าเราไม่ได้อยู่เป็นพระตลอดไป 
 จะต้องออกไปเป็นฆราวาส
จึงอยากจะทราบในฐานะที่จะแก้ปัญหาของพวกฆราวาส
  แต่ผมอยากจะพูดไปอีกทางหนึ่งว่า
  ไม่ต้องพูดถึงพระถึงฆราวาสกันก็ได้
แต่ควรพูดในฐานะเป็นเรื่องทั่วไปสำหรับมนุษย์

คุณต้องเข้าใจว่าจะเป็นฆราวาส
หรือจะเป็นบรรพชิตก็ตาม
 เรื่องของกิเลสและความทุกข์นั้น
มันเป็นเรื่องเดียวกัน อย่างเดียวกัน
เพียงแต่ว่าเรื่องของฆราวาสนั้น
มันออกจะหยาบๆต่ำๆ แต่ก็เป็นเรื่องเดียวกัน
คือว่า ฆราวาสก็ตาม บรรพชิตก็ตาม
ถ้าจะมีทุกข์แล้วก็มีเพราะความยึดมั่นถือมั่น
  ด้วยกันทั้งนั้น คือมาจากตัณหาอุปาทานด้วยกันทั้งนั้น
 ไม่ว่าพระไม่ว่าฆราวาส
และบางทีมันก็เหมือนกันเสียด้วย
จนไม่รู้ว่าสำหรับพระหรือฆราวาสกันแน่ 
 เพราะว่า กิเลสก็ดี ความทุกข์ก็ดี
มันไม่้มีพระ ไม่มีฆราวาส มันเป็นเรื่องของจิตใจคน

คนนั้นแม้ว่าเป็นพระไปนึกคิดอย่างฆราวาสก็ได้
  ฆราวาสนึกคิดอย่างพระก็ได้ บางทีก็ตรงกัน
ยิ่งพระสมัยนี้ด้วยแล้ว ก็มีอะไรที่คิดนึกเหมือนฆราวาสมาก
  แต่ขอให้ดูเป็นพิเศษตรงที่ว่า กิเลสนั้นมันเหมือนกัน
ความโลภ ความโกรธ ความหลงก็ตาม
ตัณหาอุปาทานก็ตาม 
 ทั้งของพระของฆราวาสนี้มันเหมือนกัน
มันเกิดความทุกข์ขึ้นมาจากกิเลสนั้น
มันก็เหมือนกันอีก นี่ขอให้ดูในวงกว้างๆอย่างนี้กันก่อน
แล้วที่จะไปแบ่งแยกเป็นพระเป็นฆราวาสนั้น
  เป็นเรื่องเล็กน้อย เมื่อพูดถึงความทุกข์แล้ว
ก็แทบจะเหมือนกันเลย
เพราะฉะนั้นเราพูดกันถึงเรื่องของมนุษย์
  หรือขอคนรวมรวมกันไปดีกว่า

สำหรับปัญหาที่ถามว่าจะป้องกันความทุกข์
และแก้ไขความทุกข์กันอย่างไร?
  เราจะไม่พูดกันโดยรายละเอียด
จะพูดกันโดยหลักกว้างๆอย่างที่เรียกว่า อารัมภกถา
 ดังที่กล่าวแล้ว แต่ว่าก็เป็นการตอบปัญหาที่ตรงเหมือนกัน

เกี่ยวกับข้อนี้จะพูดเป็นหลักไว้ก่อนว่า
  "ชีวิตของคนเรานี้ต้องเทียมด้วยควายสองตัว"
  เปรียบเหมือนการไถนาด้วยควาย
คนไทยเราใช้ควายไถนา 
 ก็เลยเอาเรื่องควายไถนานี้มาพูด
เหมือนกับเป็น symbolic ช่วยความจำให้แม่นยำว่า...
ชีวิตของคนเราต้องเทียมด้วยควายสองตัว 
  นั่นแหละจึงจะดับทุกข์ที่เกิดอยู่ได้
  และป้องกันความทุกข์ที่ยังไม่เกิดได้

ผมอยากจะเล่าเรื่องควายที่ไถนา
  เพราะว่าพวกคุณเป็นเด็กไม่รู้เรื่องนี้ และยิ่งนับวันจะไม่รู้
ผมเกิดก่อนคุณในสมัยที่เห็นเขาไถนาด้วยควายสองตัว 
 เดี๋ยวนี้เขาไถตัวเดียว หรือบางทีก็ใช้เครื่องจักร์ไปเสียเลย
ปู่ย่าตายายของเราไถนาด้วยควายสองตัว
  และอย่าไปเข้าใจว่า ควายสองตัวนี้ มันเป็นควายเหมือนกัน
ควายตัวหนึ่งฉลาด ตัวเล็กก็ได้ ผอมก็ได้
  ไม่ค่อยมีแรง แต่ตัวนี้ฉลาด เขาเรียกมันว่า "ควายตัวต้น"
แล้วควายอีกตัวหนึ่งแข็งแรงตัวใหญ่ 
 เขาเรียกว่า "ควายตัวปลาย" 
 ที่เจ้าของเคาะไม้เรียวหรือพูดอะไรดังลั่นอยู่ในทุ่งนานั้น
เขาพูดกับควายตัวที่หนึ่งทั้งนั้น
    ควายตัวที่สองหูหนวกก็ได้ คือ ไม่ต้องรับฟังคำพูดนั้น
  เมื่อเขาพูดว่าซ้ายหรือขวานั้น
เขาบอกให้ควายตัวที่หนึ่งเบียดไปทางซ้าย
 หรือเบียดไปทางขวา ส่วนตัวที่สองมันโง่
  ให้ควายตัวที่หนึ่งหยุด
บอกให้หยุดควายตัวที่สองก็ยังเดินเรื่อย 
 เพราะฉะนั้น มันก็เลี้ยวได้

นี่แหละให้รู้ไว้ว่า ควายนั้นไม่ได้ทำหน้าที่
เหมือนกันทั้งสองตัว
  ไม่ได้ฟังคำสั่งทีเดียวพร้อมกันทั้งสองตัว
ตัวต้นเป็นควายที่ฉลาดเรียกว่า "ตัวรู้" (ความรู้)
  ตัวที่สองแข็งแรง เรียกว่า "ตัวแรง" (หรือตัวมีแรง)
ฉะนั้น จะเห็นว่า ตัวหนึ่งมันฝากแรงไว้กับอีกตัวหนึ่ง
  การไถนาก็เป็นไปได้จนสำเร็จ เราก็แยกออกไปได้ว่า
ตัวหนึ่งเป็นตัวรู้ อีกตัวหนึ่ง เป็นตัวแรง 
 การไถนาประกอบอยู่ด้วยลักษณะอย่างนี้ แล้วก็ดีมาก

ชีวิตของคนเราก็ต้องเทียมด้วยควายสองตัวเหมือนกัน
  คือตัวหนึ่งรู้และตัวหนึ่งแรง 
 ตัวหนึ่งคือความรู้ ตัวหนึ่งคือกำลัง
ถ้าชีวิตไหนเทียมด้วยควายแต่ตัวเดียวมันก็มีปัญหา
   ถ้าเผอิญว่ามันไปเทียมด้วยควายเพียงตัวเดียว
คือตัวมีแรง มีกำลัง
และขาดตัวที่รู้แล้วชีวิตนั้นอันตรายมาก 
  กลายเป็นอันตรายมาก
  แต่เผอิญว่ามีแต่ตัวเดียวคือตัวที่เป็นตัวรู้
ไม่มีตัวที่เป็นแรง นี้ยังไม่อันตราย
  แต่ว่ามันทำอะไรได้น้อยหน่อย 
 แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ปลอดภัย
ถ้าชีวิตนี้มันเทียมด้วยควายตัวต้นตัวเดียว
   คือมีความรู้มันก็ยังปลอดภัย ไปได้ช้าๆ
หรือพอเหมาะพอดีก็ได้
แต่ถ้าเผอิญมันไปเทียมด้วยควายตัวที่สอง
   คือตัวมีแรงเพียงตัวเดียว มันก็อันตราย
ระวังให้ดีและก็ได้แก่พวกคุณทั้งหมดนี่เอง
ที่กำลังมีควายเพียงตัวเดียว แล้วก็มีควายตัวแรงนั้น
และก็ได้แก่คนในโลกทั้งหมดส่วนมากในเวลานี้ด้วย

ในที่นี้จะชี้ให้เห็นชัดลงไปอีกว่า
  ชาวตะวันออกเรารุ่มรวยไปด้วย
ความสว่างไสวทางวิญญาณคุณแปลเองก็ได้ว่า
spiritual-enlightenment นี้
คือสมบัติของทางฝ่ายตะวันออก 
 เป็นความรุ่งเรืองสว่างไสวแจ่มแจ้งในทางฝ่ายวิญญาณ
คุณจะเห็นได้ว่าศาสนาทุกศาสนานั้นเกิดในทางตะวันออก 
  ศาสนาคริสเตียนเกิดในปาเลสไตน์ ก็เป็นแดนตะวันออก
ศาสนาพุทธ ศาสนาพราหมณ์ ศาสนาเล่าจื้อ ขงจื้อ
  โซโรอัสเตอร์ อะไรก็ตาม มันตะวันออกทั้งนั้น
ดังนั้นตะวันออกจึงรุ่งเรืองไปด้วย
ความสว่างไสวทางวิญญาณ 
 พวกตะวันตกมีแต่ความรู้เรื่องปากเรื่องท้อง
เดี๋ยวนี้มีวิวัฒนาการมากจนเรียกว่า เทคโนโลยี่
  ที่พวกคุณกำลังบูชากันอยู่ พวกฝรั่งเขาบูชาเทคโนโลยี่ 
 หายใจเป็นเทคโนโลยี่ก็คือเรื่องปากเรื่องท้อง 
  ความสว่างไสวทางวิญญาณหายไปหมด 
 ที่เคยนับถือศาสนากันบ้างก็ละทิ้งหมด
เขาว่าพระเจ้าตายแล้วเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้ไม่ต้องถืออะไร
  พวกฝรั่งก็เหลือแต่ เทคโนโลยี่ พวกฝรั่งมีแต่เทคโนโลยี่
นี่ฟังดูให้ดี คือมันมีแต่ควายตัวที่สอง ซึ่งมีแต่เรี่ยวแรง
 จะบันดาลอะไรก็ได้ ไปโลกพระจันทร์ก็ได้
หรือจะเอาเรื่องปากเรื่องท้องกันเท่าไรก็ได้
เกี่ยวกับเทคโนโลยี่ ซึ่งมันเจริญมาก
แต่แล้วมันไม่มีความสว่างไสวทางวิญญาณ
คือ spiritual-enlightenment.

นี่แหละดูข้อนี้ให้เข้าใจกันก่อน 
 มิฉะนั้นเราจะไม่รู้อะไรอีกมากมาย
และข้อสำคัญก็คือไม่รู้ว่าโลกนี้กำลังเป็นอย่างไร
โลกนี้กำลังน่ารื่นรมย์หรือไม่? น่าบูชาหรือไม่ ? 
 คุณลองไปคิดดูเอาเอง
มันเลวลงทุกที มันสกปรกลงทุกที
อย่างเรื่องเล็กๆน้อยๆ เช่นว่า
   แต่ก่อนนี้ประชาชนแถวนี้ร้อนๆอย่างนี้
ก็นอนบนแคร่ใต้ถุนเรือนได้สบายจนสว่างเลย
เดี๋ยวนี้ไม่กล้านอน เพราะมีคนมายิงตาย
นอนอยู่บนเรือนซึ่งปิดประตูหน้าต่างแล้วก็ยังไม่ปลอดภัย
เมื่อก่อนนี้เขานอนใต้ถุนบนแคร่ตากลมจนสว่างได้
  ทีนี้คุณดูที่กรุงเทพฯ ปล้นจี้อนาจารกลางวันแสกๆทั้งนั้น
เดี๋ยวนี้กำลังลักพาหญิงไปหาประโยชน์
  ยิ่งดูเมืองนอกมันก็ยิ่งกว่ากรุงเทพฯ 
 คดีลามกอนาจารในบางประเทศมีอยู่ทุกหนึ่งวินาที
ผมเคยพบหนังสือข่าวแบบนั้น อย่างนี้ไม่เคยมีในสมัยโบราณ
นั่นแหละคือผลของเทคโนโลยี่
ซึ่งมีแต่ให้เอร็ดอร่อยทางปาก ทางท้อง
ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น
หรือว่าจะเอาอะไรก็ได้ในทางฝ่ายวัตถุ
ไปโลกพระจันทร์ก็ได้ จะทำอะไรก็ได้
   แต่ทางสว่างไสวทางวิญญาณมันไม่มีจนไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม

ฝ่ายตะวันออกเรา พวกเรานี้มันมี
  spiritual-enlightenment ความสว่างไสวทางวิญญาณ
 เป็นมรดกตกทอดกันมานมนาน
แล้วก็ค่อยๆจางไปเลือนไปในเวลานี้
เพราะไปตามก้นฝรั่ง ซึ่งมีให้แต่ เทคโนโลยี่อย่างเดียว
ส่วนเรามีสมบัติเดิมคือ
  spiritual - enlightenment เหลือเฟือ 
 คือเคยผาสุกสบายเยือกเย็นทางจิตทางใจ
แม้ไม่มีรถยนต์ขี่ ไม่มีเรือบินขี่ ไม่มีอะไร
  ก็ยังมีความสงบสุขตามแบบของมนุษย์ 
 ทีนี้พอไปเกี่ยวข้องกับฝรั่ง ไปตามก้นฝรั่ง
ก็ค่อยๆ ไปเมาในผลของเทคโนโลยี่
ก็สลัดละทิ้ง spiritual - enlightenment 
 มรดกดั้งเดิม กำลังตามก้นฝรั่ง
พวกคุณก็คือพวกที่กำลังจะไปตามก้นฝรั่ง
  คุณเรียนตามความนิยมของพวกฝรั่ง 
 ครูบาอาจารย์ก็เป็นฝรั่ง
จะไปเมืองนอกเมืองนา ไปหาวิชาความรู้
ผลสุดท้ายก็ไปหอบเอาเทคโนโลยี่แขนงใดแขนงหนึ่งมา

คุณต้องดูให้ดีว่าเดี๋ยวนี้ศาสตร์(science) ทั้งหลาย
ที่เป็นพื้นฐานนั้น มันถูกกวาดไปเป็นทาส
  เป็นขี้ข้าของเทคโนโลยี่หมด
จะเป็นคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ อะไรศาสตร์ ก็ตาม
  มันเอาไปเป็นทาสของเทคโนโลยี่หมด
คือมันมุ่งหมายที่จะใช้เพื่อเทคโนโลยี่แต่อย่างเดียว 
 ถ้าเป็นสมัยก่อนศาสตร์ๆเหล่านี้
  เขาจะเอาไปใช้ในทางความรู้ทางวิญญาณ
หรือความสว่างไสวทางวิญญาณก็ได้ 
 ใช้กันทั้งสองฝ่ายก็ได้ 
  เดี๋ยวนี้คุณจะเรียนหนังสือ
เรียนอักษรศาสตร์ วิทยาศาสตร์
หรืออะไรศาสตร์ก็ตาม
มันไปเป็นทาสของเทคโนโลยี่หมด
  ผมพูดจริง หรือไม่จริงก็เอาไปคิดดูเองก็แล้วกันว่า
ศาสตร์ทั้งหลายที่มนุษย์กำลังเรียนกันอยู่ในโลกนี้
เรียนเพื่อจะไปเป็นเครื่องมือ
หรือเป็นอุปกรณ์ของเทคโนโลยี่
ไม่เคยนำไปใช้เป็นอุปกรณ์
ของความสว่างไสวทางวิญญาณ
  ซึ่งเป็นมรดกของตะวันออก
ปู่ ย่า ตา ยาย ของเราไม่เคยประสบความทุกข์
หรือปัญหายุ่งยากทางศีลธรรม
หรือทางอะไรเหล่านั้น ก็เพราะว่า
เขายึดหลักในทางความสว่างไสวทางวิญญาณ
คือ พระธรรม หรือ ศาสนา
แต่แล้วก็มิใช่ว่า เขาจะไม่มีแรง
เขามีวิชาความรู้เรื่องการทำมาหากิน 
  เรื่องประดิษฐ์เรื่องอะไรเหมือนกัน
 แต่ว่าพอสมควรเท่านั้น
 เพราะว่าเขาไม่ต้องการที่จะไปโลกพระจันทร์
หรือว่าไม่ต้องการจะทำอะไรมากกว่าที่จำเป็น 
 โดยที่เขาถือพระพุทธภาษิ่ตที่ว่า
"อติโลโภ หิ ปาปโก" คือโลกเกินนั้นลามก
อติโลโภ แปลว่า โลภเกิน หิ - ก็ ปาปโก - ลามก 
 โลภเกินก็ลามก

พวกที่เป็นทาสของเทคโนโลยี่นั้น 
 โลภ ไม่มีขอบเขต
  ต้องการจะมีวัตถุอุปกรณ์ใช้สอยฟุ่มเฟือย
ไม่มีขอบเขต
ต้องการจะไปโลกพระจันทร์ โลกพระอังคาร 
 โลกอะไรอีกกี่โลกก็ตามใจ
ไม่มีขอบเขต
นี่มันเข้าบทพระพุทธภาษิตที่ว่า
 "โลภเกินนั้นลามก" ลามกก็คือเป็นทุกข์
 ระส่ำระสายไปทั้งโลก
คุณไปค้นเถอะจะพบว่า ที่ทำสงครามกันอยู่ที่นั่นที่นี่
 ทุกหัวระแหงในโลกนี้มันมาจากโลภเกินทั้งนั้น
จะเป็นคนชาติไหนก็ตามใจ
 ที่เป็นคู่สงครามและทำสงครามกันอยู่
ก็เพราะความโลภเกินทั้งนั้น

ขอให้รู้ว่า ศาสนาทุกศาสนาเขาถือหลักเดียวกันหมด
  โลภเกินนั้นลามก 
 เพียงแต่เขาไม่ได้พูดไว้ชัดเหมือนเรานี้
ของเรามีชัดอยู่ว่า
  อติโลโภ - โลภเกิน หิ - ก็ ปาปโก - ลามก 
 ในศาสนาคริสเตียนก็มีว่า 
 ถ้าแสวงหาหรือมีไว้เกินจำเป็นนั้นเป็นบาป
เป็น sinful คือมีบาป 
 เพราะคนที่แสวงหาหรือโลภเกินนั้น 
 มันต้องทำให้คนอื่นเดือดร้อนมาก
 แล้วตัวเองก็มีความทุกข์เกินกว่าที่ควรจะเป็น
ฉะนั้นจึงให้แสวงหาหรือมีไว้แต่เพียงพอเหมาะพอดี 
  เท่าไรก็ตามใจเถิด พูดไม่ถูก
  พอเหมาะพอดีให้มันพอดีอย่าให้มันเกิน
ในศาสนาไหนๆก็เหมือนกัน 
 จะสอนในลักษณะที่ว่าให้แสวงหา 
 หรือมีไว้ เท่าที่มันพอเหมาะพอดี
นอกนั้นมันไม่จำเป็น
เพราะมันเป็นเรื่องก่อให้เกิดความทุกข์ จึงว่าลามก

ทีนี้เรามีความรู้หรือแสงสว่าง
   ในเรื่องฝ่ายวิญญาณก็รู้ว่า โลภเกินนี้ลามก 
 ฉะนั้นปู่ ย่า ตา ยาย ของเราไม่เคยโลภเกิน
โลภพอดี ฝ่ายพวกฝรั่งมาเห็นเข้าก็ว่า อย่างนี้ขี้เกียจ 
 อย่างนี้ถอยหลัง เราก็เกิดไปเข้าใจผิดตามเขา
เลยลูกหลานของตายาย
ก็พลอยไปโลภเกินเหมือนพวกฝรั่ง 
  จะเอร็ดอร่อยทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย
 กันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
นั่นแหละดูให้ดีว่าปู่ย่าตายายของเรานั้น 
 มีควายสองตัวเทียมชีวิต
  spiritual - enlightenment นี้
รับมรดกตกทอดกันมาเรื่อย
  แล้วก็มีการทำมาหากิน กสิกรรม
  เกษตรกรรมอะไรเขาก็ทำได้
แล้วก็พอเหมาะพอดีที่มนุษย์คนหนึ่งจะมีความสุข
  คนทั้งโลกก็มีความสุข ต่างคนต่างพอใจถึงขนาดว่า
นอนตากลมบนแคร่ใต้ถุนเรือนได้จนสว่าง
  ไม่มีใครมาลอบยิง 
 นี่คือวัฒนธรรมประจำชาติที่แสนประเสริฐ
ของพวกเราชาวไทย
คือวัฒนธรรมแห่งการที่่ชีวิตนี้เทียมอยู่ด้วย
ควายสองตัว spiritual - enlightenment 
 คือ ควายตัวรู้ แล้วก็วิชาทำมาหากิน
เทคโนโลยี่ขนาดน้อยๆ ตามที่เขาจะทำได้นี้
  เป็นควายตัวที่สอง ตัวแรง 
 ชีวิตนี้เทียมด้วยควายสองตัว
พอเหมาะพอดี อย่างนี้ก็เลยสบาย

พวกฝรั่งนั้นเผลอตัว ตกไปเป็นทาสของวัตถุ
  มันจึงก้าวหน้าพรวดพราด ๆ ไปทางเทคโนโลยี่
  มีแต่ควายตัวที่สอง
ดำทมึนสูงกว่าภูเขา มันเป็นควายขนาดยักษ์ 
 ใหญ่กว่าภูเขา และมีควายตัวเดียวเท่านี้
ส่วนตัวที่จะเป็น spiritual - enlightenment นั้นไม่มี
นี่มันผิดกันกับปู่ ย่า ตา ยาย ของเราอย่างนี้
  ลูกหลานจะเอาข้างไหนก็ตามใจ 
 ใครว่าใครไม่ได้ เพราะว่าเราเชิดชูประชาธิปไตย
จะเอาอย่างไหนก็ได้
  จะเลือกเอาควายตัวเดียวอย่างฝรั่งก็ได้ 
 หรือควายสองตัวอย่าง ปู่ ย่า ตา ยาย ก็ได้
แต่ผมกำลังบอกพวกคุณว่า 
  ปู่ ย่า ตา ยาย ท่านไม่มีปัญหาอย่างที่คุณถาม
ที่ว่าจะป้องกันความทุกข์อย่างไร?
จะแก้ความทุกข์ที่เกิดแล้วอย่างไร? เช่นนี้
  เขาไม่มีปัญหาอย่างนี้ 
 เพราะว่าเขามีเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ป้องกันอยู่แล้วในตัว
ตือ ชีวิตที่มีควายสองตัวนั่นแหละ
 มันเป็นเครื่องรางป้องกันอยู่แล้ว ไม่ให้เกิดความทุกข์
ไม่ยุ่งยากลำบาก ลามกอนาจาร เหมือนลูกหลานสมัยนี้

นี่แหละคือ อารัมภกถา คุณฟังดูให้ดี
  บอกให้ทราบถึงต้นเหตุ มูลเหตุ 
 ของปัญหายุ่งยากสมัยนี้
ปู่ ย่า ตา ยาย ไม่เคยมีปัญหานี้
เพราะมีวัฒนธรรมไทยที่ถูกต้อง 
 เป็นเครื่องรางป้องกันไว้ มันมีมากมายเหลือเกิน
เกี่ยวกับร่องรอยต่างๆของวัฒนธรรมอันสูงสุด
ของฝ่ายวิญญาณ ที่อยู่ในผืนแผ่นดินไทยนี้
แม้ที่สุดแต่บทกล่อมลูกให้นอน
  เรื่องมะพร้าวนาฬิเกร์
  ที่ได้สร้างสระเป็นอนุสาวรีย์ไว้ที่ตรงนั้น
นั้นก็เป็นซากหรือร่องรอยขอ
งการที่มนุษย์มีวัฒนธรรมสูง 
 ในทางฝ่าย spiritual - enlightenment
พวกคุณเองเสียอีกจะยังไม่รู้ว่า
"มะพร้าวนาฬิเกร์กลางทะเลขี้ผึ้ง" นั้นเป็นอย่างไร?
เรื่องนี้เขาเคยรู้กันมาตั้งพันกว่าปีแล้ว
สมัยที่พระพุทธศาสนายังรุ่งเรืองอยู่ในถิ่นนี้
  นี่แหละมาทิ้งของดีๆไปอย่างน่าใจหาย
 หรือว่ามันหมุนกลับไปสู่ทางมืดมัว ทางมืดมนท์

พวกเราจะสามารถมีชีวิตชนิดที่ 
 เทียมด้วยควายทั้งสองตัวหรือไม่
นั่นแหละคือตัวปัญหา
สำหรับเรื่องทฤษฎีนั้นมันก็หมดไปแล้ว
 ว่า มันต้องเทียมด้วยควายสองตัวแน่ 
 แต่ทีนี้ปัญหามันเหลืออยู่ในทางปฏิบัติว่า
เราจะสามารถทำได้หรือไม่ 
 ในการที่จะให้ชีวิตนี้ มันเทียมด้วยควายสองตัว
  โลกปัจจุบันมันหมุนไปแต่ในทางที่จะมีควายตัวเดียว
คือ เทคโนโลยี่ ทีนี้พวกคุณก็จะถามขึ้นว่า
  วิชาความรู้นี้มันไม่ใช่ความรู้ดอกหรือ?
ผมก็ยอมรับว่ามันเป็นความรู้
  แต่มันไม่รู้เรื่องที่ควรจะรู้
และมันรู้ผิดในเรื่องที่ควรจะรู้ คือรู้ผิด
 เช่นเห็นไปว่าspiritual - enlightenment นี้
เป็นของครึคระล้าสมัย
   นักเรียนมหาวิทยาลัยจะเห็นว่า 
 ธรรมะหรือศาสนานี้ล้าสมัย
พวกฝรั่งเท่านั้นที่ทันสมัย
  แล้วก็เฮไปตามก้นเขา 
 แต่อย่าลืมว่าเดี๋ยวนี้พวกฝรั่งบางคน 
 หรือส่วนน้อย เขาลืมตาขึ้นมา
เขากลับมองเห็นว่าตะวันออกนี้มีของประเสริฐวิเศษ
  จึงมาตะวันออก มาแสวงหาสิ่งวิเศษนี้
คือมาเรียนศาสนาของตะวันออก
  ที่เป็นตัวศาสนาจริงๆ
ที่ไม่ใช่เป็นแต่เพียงปรัชญาเพ้อเจ้อ
ที่พวกฝรั่งเอาไปสอนกันในมหาวิทยาลัยอังกฤษ 
 หรือ อเมริกา อะไรก็ตาม
  เขาสอนพุทธศาสนาในลักษณะที่เป็นปรัชญา
แล้วก็เป็นปรัชญาเพ้อเจ้อ
  ไม่ได้สอนวิธีปฏิบัติที่เป็นตัวพระศาสนา
  ถ้าสอนวิธีปฏิบัติที่เป็นตัวศาสนา
ก็ควรจะสอนว่าทำอย่างไร
จึงจะควบคุม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ หกอย่างนี้ไว้ได้
  ให้อยู่ในอำนาจของเรา
เมื่อมันได้รับอารมณ์คือ
  รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส แล้ว
มันจะไม่ปรุงแต่งให้เกิดปัญหาอุปาทานนั้น
ต้องฝึกฝนอย่างนั้นจึงจะเป็นตัวศาสนา
  แต่เขากลับเอาไปพูดกัน ในเรื่องทฤษฎีนั่น ทฤษฎีนี่
แม้แต่เรื่องนิพพาน เรื่องอนัตตา สุญญตา
  อะไรก็ตามเอาไปพูดอย่างทฤษฏีเป็นปรัชญาไปหมด
สอนอย่างนี้ ให้สอนกันจนตายอีกกี่ชาติ 
 ก็ไม่อาจเข้าถึงตัวพุทธศาสนา 
 มันเป็นปรัชญาเพ้อเจ้ออยู่อย่างนั้นแหละ
พวกฝรั่งที่ฉลาดบางคนเขาจึงอุตส่าห์มาทางบ้านเรา
  ศึกษาวิธีปฏิบัติที่เรียกว่า "กัมมัฏฐาน วิปัสสนา"
คือให้รู้ว่าทำอย่างไร เราจึงจะชนะ 
 ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ของเราได้
  นี่แหละคือตัวศาสนา

ทางโน้นเขามัวแต่สอนกันแต่เรื่องในรูปของปรัชญา
 เปรียบเทียบกับปรัชญานั้น 
 เปรียบเทียบกับปรัชญานี้
ตังเหตุผลทาง Logic ว่า
ทำไมเป็นอย่างนั้น ทำไมเป็นอย่างนี้
  ตอบได้ชั้นหนึ่งแล้ว ก็ยังถามว่า
 ทำไมจึงเป็นอย่างนั้นอีกตอบได้แล้ว
ก็ยังถามอีกว่า
ทำไมจึงเป็นอย่างนั้นอีก นี้เป็นปรัชญาเพ้อเจ้อ
  พระพุทธเจ้าท่านไม่ต้องการ
ให้รู้เกินกว่าจำเป็นที่จะต้องรู้
เช่นว่าเราจะดับทุกข์ ก็ต้องรู้เท่าที่จะดับทุกข์
 ไม่ต้องถามว่า ทำไมต้องเป็นอย่างนั้น ?
ทำไมต้องเป็นอย่างนั้นอีก?
เป็นชาวนาก็รู้แต่เพียงว่า เอาดินอย่างนี้มาทำปุ๋ย
ต้นไม้ก็งาม เมื่อปลูกต้นไม้ได้งาม ได้กินผล
ไม่ต้องรู้ว่า ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น
 ทำไมดินนั้นจึงเป็นอย่างนั้น
ทำไมธาตุนั้นจึงประกอบเป็นดินอย่างนี้
ไม่ต้องรู้ ขืนรู้ก็เป็นเรื่องเพ้อเจ้อ

เดี๋ยวนี้เรามันไปรู้ส่วนเพ้อเจ้อ
  จึงอยู่ในสภาพที่ว่าความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด 
 เรื่องเล็ก เรื่องใหญ่ เรื่องสูงสุด
เรื่องอะไรก็ตาม ม้นเป็นไปในรูป 
 "ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด" อย่างนี้
ผมเรียกว่า ปรัชญาเพ้อเจ้อ พวกฝรั่งกำลังเรียน
กำลังสอนพุทธศาสนากันอยู่ตามมหาวิทยาลัยต่างๆ
ในต่างประเทศมันไม่ใช่ตัวพุทธศาสนา
  คือมันไม่ใช่ตัวศาสนา
ไม่ใช่ตัว religlon แต่มันเป็นตัว philosophy
  หรือเป็น logic เป็นอะไรไปตามเรื่อง
 ฉะนั้นแม้จะรู้จนท่วมหัว
รู้จนหาบกันไม่ไหวหรืออะไรก็ตาม 
 มันไม่มีประโยชน์อะไร 
 สู้ ปู่ ย่า ตา ยาย ของเราที่มีควายสองตัวเล็กๆ
เทียมอยู่ในชีวิตไม่ได้
ความรู้ก็รู้เท่าที่จะต้องรู้ เรี่ยวแรงก็มีเท่าที่จะต้องมี
แล้วชีวิตนี้ก็เป็นผาสุก

นี่คุณระวังให้ดี คุณอย่าเข้าไปหลงแต่ควายตัวใหญ่ 
 ไม่รู้ที่สิ้นสุดแต่เพียงตัวเดียว
คุณจะมีเรี่ยวมีแรงในการแสวงหาอะไร
มาบำรุงบำเรอ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
ด้วยเรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติ
เรื่องประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน
  แต่เรื่องทางวิญญาณไม่มี 
 อย่างนั้นมันก็ก่อหวอดขึ้นแล้ว
ในมหาวิทยาลัยของพวกคุณ
มีตี มีฆ่า มีอะไรกัน ในมหาวิทยาลัย
  มีทะเลาะวิวาท กันในมหาวิทยาลัย
ซึ่งเมื่อก่อนนี้ไม่เคยมีในสถาบันอย่างนี้
เดี๋ยวนี้มันมีแล้ว มันก็มีเชื้อโรคมาจาก
การที่นิยมแต่เพียงควายดำเมื่อมตัวใหญ่นั้นตัวเดียว
ไม่มีควายตัวที่สำคัญตัวต้น
  คือความรู้ว่า ชีวิตนี้คืออะไร? 
 ชีวิตของคนเรานี้มีวัตถุประสงค์อย่างไร?
 ความรู้อย่างนี้ไม่มี
ซึ่งคุณก็เห็นอยู่ ก็ประจักษ์อยู่ในจิตใจ
ของคุณเองแล้วว่า
 ในมหาวิทยาลัยไม่มีการสอนว่า ชีวิตนี้คืออะไร
ในแง่ของฝ่าย spiritual - enlightenment 
 เขาสอนทาง biology ทางอะไรไปก็ได้
แต่มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย
มันก็เท่ากับไม่รู้หรือรู้ผิดอยู่เรื่อยไป 
 ไม่มีการสอนว่าเกิดมาทำไม ?
 ผมไม่เห็นมีมหาวิทยาลัยไหน โรงเรียนไหน
ที่สอนเรื่องคนเรานี้เกิดมาทำไม ?
เขาสอนวิชาสารพัดอย่าง สอนเทคนิคต่างๆ
นั่นแหละคือไม่มีควายตัวที่หนึ่ง
ซึ่งเป็นตัวรู้ มีแต่ตัวแรง มันเป็นเสียอย่างนี้

วิชาความรู้ที่คุณมีกันเกือบจะท่วมหัวอยู่แล้วนี้
  มันเป็นเรื่องของการคลำไปหมด
  เที่ยวคว้า เที่ยวคลำไปหมด
เพราะคุณไม่รู้ในข้อที่ว่า เกิดมาเกิดมาทำไม
  เห็นไหม? เดี๋ยวนี้คุณไม่รู้อย่างกระจ่างแจ้งในข้อที่ว่า
 เกิดมาทำไม?
ฉะนั้นวิชาความรู้ที่คุณมีอยู่ทั้งหมด
 มันก็เป็นเรื่อง คลำๆ..คลำๆ..คลำๆ ไม่มีที่สิ้นสุด
  ไม่รู้ว่าจะเอาอะไรมาใช้อะไร ที่ไหน?
อย่างดีที่สุดก็เอามาใช้กับเรื่องปากเรื่องท้อง
  ก็มีความรู้เพียงไปทำอาชีพ
 หน้าที่การงานอย่างใดอย่างหนึ่ง
ได้เงินมาหล่อเลี้ยงความต้องการของเรา
 ซึ่งล้วนแต่เป็นกิเลส ตัณหา 
 เพราะเราไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม?
ถ้าเรารู้ว่าเกิดมาทำไมอย่างถูกต้อง
  เราก็จะใช้สิ่งเหล่านี้ทั้งหมด
เพื่อวัตถุประสงค์อันนั้น 
 ให้รู้ว่าเกิดมาทำไมอย่างถูกต้อง
อย่างผมมักจะพูดอย่างกำปั้นทุบดินว่า
  เกิดมาเพื่อให้ได้สิ่งที่ดีที่สุด ที่มนุษย์ควรจะได้
  คุณก็ไม่ทราบว่ามันคืออะไร
ฉะนั้นที่อุตส่าห์ปลุกปล้ำอยู่ทั้งวันๆในการเล่าเรียน
  ในการอะไรก็ตามนี้ก็ไม่รู้ว่าทำทำไม? ทำเพื่ออะไร?
นอกจากเพื่อเอร็ดอร่อยทางปากทางท้องนั่นแหละเ
ป็นเรื่องของควายตัวที่สองเสียเรื่อย
ไม่มีเรื่องของควายตัวที่หนึ่ง ที่รู้ว่าเกิดมาทำไม?
ชีวิตมีวัตถุประสงค์อย่างไร
 อะไรเป็น goal ของชีวิต? อย่างนี้เป็นต้น

ในเรื่องคลำนี้มันก็มากออกไปทุกทีๆ
  คือมนุษย์จะเล่าเรียนในเรื่องเทคโนโลยี่นี้
มากออกไปทุกทีๆ
อย่างที่ฝรั่งบางคนเขาพูดว่า
  ไปโลกพระจันทร์นี้
ก็เพื่อจะรู้ถึงความรู้ที่สูงสุดของมนุษย์
  ผมไม่เชื่อ แต่ยังมีความสุภาพที่จะพูดว่าเขาโกหก
ความจริงเขาอาจจะรู้ว่า
เรื่องนี้่มันแก้ปัญหาอะไรไม่ได้เลย
  ไปโลกพระจันทร์นี้ 
 มันจะแก้ปัญหาสันติภาพของมนุษย์อะไรไม่ได้เลย
แต่เขาก็ต้องพูดว่า 
 มันจะช่วยแก้ปัญหาวิกฤตกาลของโลก
 จะทำให้มีสันติภาพอะไรอย่างนี้
  เราไม่เชื่อ ทีนี้มันก็จะคลำต่อไปอีก
ไปโลกอื่นโลกไหนก็ตามใจ ก็คลำๆ คลำๆ อยู่นั่นแหละ
  คลำต่อไปอีก ในที่สุดก็ไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหาต่างๆได้อย่างไร

คุณจะต้องทำ "วิปัสสนา" ในข้อนี้กันเสียก่อน
คือไปสู่ที่สงัดเงียบตามสมควร แล้วหลับตาใคร่ครวญ
พิจารณาว่า โลกนี้มันอยู่ในสภาพอย่างไร?
  เราเองด้วย อยู่ในสภาพอย่างไร?
มันถูกจุดประสงค์ของธรรมชาติแล้วหรือยัง
ที่ว่ามีมนุษย์ขึ้นมาทำไม?

นิยายปรัมปราที่เราเอามาทำเป็นสไล้ด์เรื่องล้อคน
  ฉายดูเล่นกันอยู่นี้เขาก็ยังมีบอกว่า...
พระเจ้าสร้างมนุษย์ขึ้นมาในโลก เพื่อให้โลกนี้มันดีขึ้น
 ในโลกนี้มันน่าอยู่ ให้มันงดงาม ให้มันประเสริฐ
พระเจ้าสร้างมนุษย์ขึ้นมาในโลกนี้
ก็เพื่อให้โลกนี้มันงดงามน่าอยู่ดีขึ้น และประเสริฐ 
 แล้วเดี๋ยวนี้มนุษย์ก็กำลังมากขึ้นในโลก
มากขึ้นๆ แล้วมันทำให้โลกนี้น่าอยู่ ให้งดงาม
ให้ประเสริฐจริงได้หรือไม่ ก็ลองคิดดู
ลองไปนั่งทำวิปัสสนา
 คือใคร่ครวญอย่างลึกซึ้งในข้อนี้กันเสียก่อน
  ให้เห็นความน่าสลดใจ น่าเศร้า น่าสงสาร น่าเกลียด น่าชัง
ของความบ้าหลังของมนุษย์สมัยนี้กันเสียก่อน 
 ที่รู้จักแต่ควายตัวเดียว ควายตัวที่สองตัวเดียวอยู่เรื่อย
แล้วเรากำลังจะเป็นอย่างไร? 
 ตัวเราเองนี้กำลังจะเป็นอย่างไร? อยู่ในฐานะอย่างไร?
หรือได้เป็นเข้าไปแล้วอย่างไรบ้าง?
นั่นแหละจะเรียกว่า คุณกำลังเข้าร่องเข้ารอย
ของการที่จะศึกษาธรรมะ ในพระพุทธศาสนา
คือต้องมองเห็นตัวปัญหา หรือตัวความทุกข์
ที่มันเป็นปัญหา ตัวความทุกข์นั่นแหละคือปัญหา
ต้องมองให้เห็นปัญหานั้นให้ถูกต้องเสียก่อน 
 ในฐานะมันเป็นปัญหา แล้วมันจึงจะแก้ปัญหาได้ถูกต้อง
อย่างน้อยเราต้องรู้เรื่องความเจ็บ ความไข้ 
 ความป่วย อะไรของเรานี้เสียก่อน
ว่ามันเป็นอย่างไรเราจึงจะหาวิธีแก้ไขมันได้

ถ้าคุณมองไม่เห็นตัวปัญหาหรือตัวความทุกข์
  แล้วมาขอคำตอบจากผม
ขอวิธีแก้ไขป้องกันความทุกข์อะไรนี้
มันก็เป็นเรื่องน่าหัวว
บางทีจะเป็นเรื่องหลับตากันทั้งคุณและผม
 ทั้งสองฝ่ายต่างก็หลับตาว่ากันไป
 โดยที่ไม่รู้ว่าอะไรเป็นตัวปัญหาหรือตัวความทุกข์
แล้วก็พูดกันถึงเรื่องวิธีแก้ปัญหา
 แก้ความทุกข์กันเสียจนน้ำลายฟุ้งไปเท่านั้นเอง
 เดี๋ยวนี้มันอยู่ในสภาพอย่างนี้ทั้งนั้น
ที่กรุงเทพฯ ก็ตาม ที่ไหนก็ตาม
มันอยู่แต่ในสภาพอย่างนี้ มันมีแต่เรื่องพูด
 ซึ่งตัวผู้พูดก็ไม่รู้ว่าอะไร แล้วฟังดูก็แปลกดี สนุกดี
ดูประเสริฐสูงสุดอะไรดี เรื่องธรรมะอย่างนั้นอยางนี้
 ธรรมะสูงสุดอย่างนั้นอย่างนี้

ขอให้ตั้งต้นด้วยการรู้จักตัวความทุกข์กันเสียก่อน
    แล้วก็มาตามลำดับว่า เหตุให้เกิดทุกข์คืออะไร?
จึงจะรู้สภาพตรงกันข้าม คือความดับทุกข์นั้นเป็นอย่างไร?
  แล้วก็จะพบวิธีที่ถูกต้องได้ นั้น
ก็คือเรื่องอริยสัจจ์ในพระพุทธศาสนา
มีอยู่ 4 หัวข้อว่า ความทุกข์คืออะไร? 
 เหตุให้เกิดทุกข์คืออะไร? 
 ความไม่มีทุกข์เลยนั้นคืออย่างไร?
แล้วจะทำโดยวิธีใดจึงจะได้มา?
นี่คืออริยสัจจ์ ที่เรียกกันว่า
เป็นตัวพระพุทธศาสนา มีอยู่อย่างนี้

เดี๋ยวนี้มันอยู่ในลักษณะอื่นคือ
สมัครเล่น สมัครรู้ สมัครเรียน
 โดยที่ไม่มีปัญหา คือตัวความทุกข์
แต่มาสมัครจะปฏิบัติเพื่อดับทุกข์
พวกไปวัดไปวาเข้าวัดเข้าวาก็เป็นอย่างนี้เสียโดยมาก
  ที่นี้คนหนุ่ม นักศึกษาหรือนักเรียน
นี้ก็สนใจพุทธศาสนา ก็มักจะอยู่ในรูปนี่้เสียโดยมาก
คือไม่ได้พบตัวปัญหา
 แล้วติดตามมาจากปัญหานั้นๆ
  ถ้าเอาไปสอนในมหาวิทยาลัย
ในฐานะเป็นวิชาพุทธศาสนา
ก็เป็นเรื่องทฤษฏี ปรัชญา ทั้งนั้นเลย
  ไม่ทำให้เกิดวามสว่างไสวทางวิญญาณอะไรได้
  มันกลายเป็นเรื่องยุ่ง
หรือว่าปนกันยุ่ง ในทางวิญญาณมากขึ้น
  และถ้าหากว่า ข้อที่เอาไปเรียนนั้นมันผิดๆถูกๆด้วยแล้ว
มันก็จะปนกันยุ่งใหญ่
จนผู้เรียนจับอะไรไม่ได้
ฉะนั้นเรียนพุทธศาสนายิ่งไม่รู้พุทธศาสนา

ผมไปพูดที่คุรุสภาว่า
 ยิ่งเรียนพระไตรปิฏกยิ่งไม่รู้พุทธศาสนา
 เขาไม่เชื่อ ร้อยเปอร์เซนต์เลยว่าจะเป็นอย่างที่ผมพูดนั้น
มันไม่มีเหตุผลยิ่งไปเรียนพระไตรปิฏก
ยิ่งไม่รู้พระพุทธศาสนา เพราะพระไตรปิฏกนั้น
มันอยู่ในรูปของวรรณคดี อักษรศาสตร์
พอไปเรียนเข้ามันเพลินไป
ในแง่วรรณคดีและอักษรศาสตร์
  แม้ไปเรียนอภิธรรมมันก็เป็นเรื่อง logic เรื่องปรัชญา
เมื่อจิตใจไม่พบปัญหาความทุกข์แล้ว
ไม่สนใจจะดับทุกข์โดยตรง
 ยิ่งไปเรียนพระไตรปิฏก ยิ่งไม่รู้พุทธศาสนา
มันคืออย่างนี้ คุณเอาไปคิดดูบ้าง

ที่จริงแท้นั้นมันต้องเรียนชีวิต เรียนธรรมชาติ
 เรียนตัวเอง จึงจะรู้พุทธศาสนา
พระไตรปิฏกก็เป็นการบอกวิธีเรียนเหมือนกัน
แต่มันมากนักจนคนจับไม่ได้ 
 เว้นไว้แต่จะศึกษาอย่างถูกต้อง
และเก็บเอามาอย่างถูกต้องใช้
เป็นวิธีสำหรับดับความทุกข์ในใจโดยตรงนั้นได้
แต่ถ้าไปมัวเรียนอย่างอักษรศาสตร์วรรณคดี
แล้วละก็ไม่มีทาง เช่นไปเรียน
จนได้เปรียญ 9 ประโยค 10 ประโยค
เป็นมหาเปรียญแล้วก็ยังไม่รู้อะไรเลย
ที่จะดับทุกข์ เพราะเรียนในแง่อักษรศาสตร์ ว่
าไปได้อย่างนกแก้วนกขุนทองเลย
ฉะนั้นเรียนพระไตรปิฏกจะไม่รู้พุทธศาสนา 
 ต้องเรียนเข้าไปที่ตัวกิเลส 
 ตัวความทุกข์จากในใจของคนเรา
ในใจของตัวเองนั่นแหละ
พระพุทธเจ้าท่านสอนอย่างนั้น 
 ว่าโลกก็ดี เหตุให้เกิดโลกก็ดี ความดับแห่งโลกก็ดี 
 ทางให้ถึงความดับแห่งโลกก็ดี
เราตถาคตบัญญัติอยู่ในร่างกายที่ยาววาหนึ่งนี้
  ที่ยังเป็นๆ ที่ยังมีสัญญาและใจ
นี่เหมือนกับพวกคุณนี้ ที่ยังมีชีวิตอยู่ ที่ยังเป็นๆอยู่
ในร่างกายนี้มันมีโลก มีเหตุให้เกิดโลก
 มีความดับสนิทแห่งโลก 
 และทางให้ถึงความดับสนิทแห่งโลก
หมายความว่าพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ตรัสว่า
 ให้ไปดูในพระไตรปิฏกในเรื่องเหล่านี้
แต่ให้ดูในชีวิตในร่างกายที่ยาววาหนึ่งนี้

นี่คือข้อที่ผมพูดว่า ต้องเรียนจากชีวิตโดยตรง
  เรียนจากจิตใจนี้โดยตรง
  คือเรียนตัวกิเลส ตัวความทุกข์โดยตรง
จึงจะรู้พุทธศาสนาชนิดที่ว่าเป็นพุทธศาสนาจริงๆ
  ถ้าไม่เช่นนั้นแล้วมันเป็นเปลือกเป็นกระพี้ 
 เป็นอะไรของพุทธศาสนา
ในแง่ของวรรณคดี อักษรศาสตร์ อะไรต่างๆนานา

นี่เรียกว่าเราจะมองกันอย่างกว้างๆ
ให้รู้จักสิ่งที่เรียกว่าชีวิตนี้เสียก่อน
  ชีวิตทาง biology ทางอะไรนั้น
ผมไม่เอานะไม่พูดด้วย
เมื่อ protoplasm ในเซลล์หนึ่งๆยังสดอยู่
เรียกว่ามีชีวิตอยู่ อย่างนี้ไม่เกี่ยวข้องกันเลย
คำว่า "ชีวิต" ทางฝ่ายวัตถุอย่างนั้น
มันไม่เกี่ยวข้องกันเลยกับพุทธศาสนา 
 มันต้องหมายถึงชีวิตในทางฝ่ายธรรมะ 
 ฝ่าย spiritual - sense
มันจึงจะเป็นเรื่องของพุทธศาสนา
ศาสนาไหนก็เหมือนกันแหละ
คำว่า "ชีวิต" เขาไม่ได้หมายถึงชีวิตทาง biology
  หรือภาษาพูดธรรมดาว่ายังเป็นๆอยู่
ยังไม่ตายก็เรียกว่ามีชีวิต อย่างนั้น
มันเป็นชีวิตในภาษาอักษรศาสตร์
อย่างนี้มันไม่พอ เพราะคำว่า "ชีวิต"
 มันมีอะไรมากกว่านั้น
เพราะเขาอาจจะพูดได้ว่า แกนี่ไม่มีชีวิตแล้ว
 บางทียังเป็นๆอยู่นี่แหละ แต่ก็ชี้หน้าได้ว่า ไม่มีชีวิตแล้ว
คือ ไม่มีชีวิต ตามความหมายของคำว่า "ชีวิต"

ในคัมภีร์ของพวกคริสเตียน พระเยซูพูดว่า 
 สละชีวิตเสีย แล้วจะได้ "ชีวิต"
"สละชีวิตเสียแล้วจะได้ชีวิต" พูดสั้นๆเท่านี้
พวกคริสเตียนเองก็คงฟังไม่ถูก
 แล้วพวกคุณก็ยิ่งฟังไม่ถูก
 ในสำนวนประหลาดๆ อย่างนี้ 
  ให้สละชีวิตบ้าๆบอๆนี้เสีย
แล้วก็จะได้ชีวิตนิรันดรของพระเจ้า
  นี้คือชีวิตที่เป็นแบบแห่งการครองชีวิต
ก็เรียกว่าชีวิตได้เหมือนกัน
คำว่า "life" นั้นมันมีความหมายมากมาย
  จงสละ life แล้วจะได้ life 
 เดี๋ยวนี้มันมี life มีชีวิตอย่างโง่ๆ
ไปหลงควายตัวทีสองเรื่อยไปเสียก่อน
  แล้วจึงเลื่อนขึ้นมาได้ชีวิตใหม่ที่ฉลาด
 รู้จักคุณค่าของควายสองตัว
แล้วก็ดำเนินชีวิตไปถูกทาง แล้วก็ไปถึงพระเจ้าได้
เรียกว่า ชีวิตนิรันดร พุทธบริษัทก็เรียกว่า
 อมตธรรม อมตภาพ ชีวิตที่ไม่รู้จักตาย
ชีวิตที่แท้จริงนั้นต้องไม่รู้จักตาย 
 ถ้ายังรู้จักตายยังไม่ใช่ชีวิต อย่างนี้เป็นต้น

นี่เรารู้จักชีวิตกันแต่ในแง่ของวัตถุ 
  หรือในแง่ของภาษาชาวบ้าน 
 ไม่รู้จักชีวิตในภาษาศาสนา
เดี๋ยวนี้เราเรียกว่า ชีวิตทางฝ่ายวิญญาณ 
 ชีวิตทางฝ่ายที่ไม่ใข่วัตถุนี้ ลองคิดดูให้ดีๆ
  ว่าอะไรที่เรายังไม่รู้?

คำว่า spiritual - enlightenment. enlightenment
  คือ ความตรัสรู้ คือ ความรู้อย่างสว่างไสว
มีความรู้อย่างสว่างไสวนั้นแล้ว 
 ยังต้องมีคำว่า spiritual กำกับอยู่อีก 
 คือมันทางฝ่ายธรรมะ ทางฝ่ายจิตฝ่ายธรรม
ดังนั้นความรู้ทางฝ่ายวัตถุนี้มันช่วยไม่ได้ 
 แล้วสิ่งที่เรียกว่า enlightenment นั้น
อย่าไปทำเล่นกับมัน 
พวกคุณอาจจะไม่รู้ว่าคืออะไรก็ได้
  เพราะคำว่า รู้ รู้ นี้มันมีหลายคำนัก
  แล้วมันหลายระดับด้วย

คุณอ่านหนังสือ เรียนหนังสืออย่างในมหาวิทยาลัยนี้
  คุณก็ได้ความรู้ เราเรียกว่า knowledge
หรืออะไรก็ตามใจ
มันก็คือความรู้เท่านั้น 
 แล้วคุณก็ใช้ความรู้นี้ในการศึกษาค้นคว้า
  ในการใช้เหตุผล ใช้ reasoning
โดยใช้อันนี้เป็นเครื่องมือ
คุณก็จะได้ understanding 
 หรืออะไรที่เป็นทำนองเดียวกันนั้นมา
  เรียกว่ามัน convince เข้าไปอีกขั้นหนึ่ง
จาก knowledgeนี้ก็ยังไม่ใช่ enlightenment 
 เพราะมันอาศัยเหตุผล (reasoning) 
 สำหรับความรู้ (knowledge) นั้น
อาศัยตำรับตำราศึกษาเล่าเรียน (studying)
อะไรก็ตาม นั้นมันยังต่ำเกินไป
ทีนี้ ความ่เข้าใจ (understanding) พวกนี้
มันก็อาศัยเหตุผล (reasoning) 
 มันเป็นทาสเป็นขี้ข้าของเหตุผล
 ไม่ใช่ความรู้แจ้ง (enlightenment)

ทีนี้คุณเอาความรู้ understanding
 อันนี้ไปใช้ต่อไปในการรู้จักสิ่งที่รู้จากจิตใจโดยตรง
คือเอาประสพการณ์ (experlence) ต่างๆในชีวิต
เป็นบทเรียนแล้วยังจำกัดชัดลงไปด้วยว่า
 spiritual experience
ต้องเป็น experience ทาง spiritual 
 คือทางฝ่ายที่เกี่ยวกับจิต วิญญาณ
 ซึ่งเป็นธรรมะชั้นสูงนั้นมา
  เช่น คุณเคยเป็นเด็กมาเป็นอย่างไร?
แล้วมันผ่านอะไรมาในชีวิต? 
 ตั้งแต่เด็กมาจนบัดนี้เจ็บปวดอย่างไร?
  สุขทุกข์อย่างไร? กิเลสเป็นอย่างไร?
เหล่านั้นแหละเขาเรียกว่าเป็น spiritual experience
  เอาเรื่องเหล่านี้มาศึกษาใหม่
  โดยใช้วิชาความรู้ที่เรียนทางหนังสือ
ทาง reasoning อะไรต่างๆ
มาช่วยกันจนกว่าจะรู้แจ้งมันว่า กิเลสคืออะไร? 
 ความทุกข์คืออะไร?
อย่างที่เรียกว่า realization 
 มันจึงจะเป็นประเภท enlightenment

ฉะนั้นพวก knowledge ยังพึ่งไม่ได้ 
 พวก understanding ทั่วๆไปนี้ก็ยังไว้ใจไม่ได้ 
 เพราะมันยังขึ้นอยู่กับเหตุผล
ฉะนั้นต้องเหนื่อยจากเหตุผล 
 ก็คือเรื่องจริงที่มีมาแล้วแต่หนหลัง
 แล้วมาเห็นอยู่กระทั่งเดี๋ยวนี้ เช่นว่า
พอเกิดความกำหนัด เกิดราคะขึ้นมา
  แล้วมันร้อนอย่างไร? คุณไม่ต้องใช้เหตุผล
ไม่ต้องอาศัยความรู้ในหนังสือ
ถึงแม้ความรู้ในหนังสือจะบอกว่า 
 ราคะเป็นของร้อนมันก็คล้ายนกแก้วพูด 
 หรือจะใช้เหตุผลว่า ราคะคงจะเป็นของร้อน
มันก็เป็นการคาดคะเนเท่านั้นเอง
  มันต้องเคยมีราคะมาแล้ว 
 แล้วมันร้อนอย่างไรรู้อย่างนั้นแหละ
เรียกว่า spiritual experience
  มันเป็น material ของ enlightenment 
 เราไม่เอา enlightenment แขนงอื่น
เราจะเอาแต่แขนงที่เกี่ยวกับเรื่องทางจิต 
 ทางวิญญาณ คือความทุกข์
 และความดับทุกข์ท่าเดียว spiritual enlightenment
อย่างนี้เคยมีเต็มไปหมด 
 ในผืนแผ่นดินตะวันออกของเรา
คือมีศาสนาพุทธ มีศาสนาโซโรอัสเตอร์
  แล้วก็มีศาสนาเวทานตะ คือฮินดู
กระทั่งมีเล่าจื้อ ขงจื้อ กระทั่งมีคริสเตียน
  ศาสนาซิกซ์ ศาสนาอิสลามเป็นต้น
  ซึ่งเป็นเรื่องแสงสว่างทางวิญญาณทั้งนั้น
แต่แล้วเราก็ไม่เข้าใจศาสนาเหล่านั้น
  หรือว่าคนในศาสนานั้นๆ ก็ไม่เข้าใจในศาสนานั้นๆ
 ยิ่งขึ้นทุกทีๆไม่เหมือนสมัยก่อน 
  ยิ่งไม่เชื่อแล้วก็ตัดความเชื่อไปเสียเลยด้วย
  ความเข้าใจไม่มีแล้วก็ไม่ยอมเชื่อ ไม่ยอมรับด้วย
เราจึงเลยสูญเสีย ของประเสริฐวิเศษ
ของตะวันออกนี้ไปทุกทีๆ 
 ไปเป็นทาสของปรัชญาของฝรั่ง
ทางตะวันตกมากขึ้นทุกที

ผมพูดอย่างนี่ไม่กลัวพวกฝรั่งโกรธ 
 พูดที่ไหนก็พูดอย่างนี้ พูดกับพวกฝรั่งก็พูดอย่างนี้
  เขียนก็เขียนอย่างนี้ ไม่กลัวโกรธ
เพราะถือว่าพูดความจริงนี้อย่างหนึ่ง 
 แล้วก็ถือว่าพูดเพื่อจะดึงพวกเรานี้
  กลับมาสู่ของดี ที่เราเคยมีมาแต่กาลก่อน
ซึ่งเวลานี้กำลังจะแหกคอก
  แหกคอกออกไปนิยมสิ่งที่เป็นมาร
  สิ่งที่จะเป็นผู้ทำลายล้าง
ให้มนุษย์สูญเสียความเป็นมนุษย์
ให้โลกนี้ไม่มีสันติภาพ ดึงมาสู่สภาพเดิมของเรา
 มันเป็นสิ่งที่ทำได้ เพราะว่าเรื่องนี้
มันเป็นเรื่องเฉพาะคนเป็นคนๆไป
ด้วยการขอร้องให้คนๆนั้นดูเสียใหม่ 
 ว่าอะไรเป็นอย่างไร? ชีวิตคืออะไร? เกิดมาทำไม?
มนุษย์จะได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์จะได้รับนี้ ได้โดยวิธีใด?

เดี๋ยวนี้ผมกำลังพูดกับพวกคุณ 
 ซึ่งเป็นนิสิตมหาวิทยาลัย
  หรือว่าในระดับที่เทียบเท่าอย่างนั้น
 ก็อยากจะขอเตือนสักหน่อยว่า
พวกคุณอย่าเห่อทะนงตัวว่ามีความรู้ในขั้นอุดมศึกษา
  เพราะว่าคุณยังไม่รู้ แม้แต่คำถามที่ว่า เกิดมาทำไม?
คุณยังไม่รู้แม้แต่ว่าตัวเองนี้ เกิดมาทำไม? 
 คุณขาดความรู้อันนี้ ฉะนั้นไม่ใช่อุดมศึกษาดอก
สิ่งที่เรียนๆอยู่นั้นถ้าว่าเป็นอุดมศึกษา
  มันก็เป็นอุดมศึกษาของเด็กอมมือ ที่เห็นแต่ลูกกวาด
คือเป็นอุดมศึกษาของมนุษย์ที่รู้จัก
แต่เรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติ 
 พอคุณจบมหาวิทยาลัย
คุณก็มีอุดมศึกษาของมนุษย์ธรรมดา
ที่มีแต่เรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติ 
 ถือว่าเป็นอย่างดีที่สุดของมนุษย์ที่เป็นทาสของเทคโนโลยี่

การที่ยืมเอาคำว่า "อุดมศึกษา" ไปใช้นั้น
  พวกพุทธบริษัทเขาหัวเราะ
  เพราะว่าอุดมศึกษาของพุทธบริษัทนั้น
มันหมายถึงปฏิบัติไปจนถึง
ขนาดบรรลุ มรรค ผล นิพพาน
   ข้อที่พุทธบริษัทเรียกว่า อุดมศึกษา
  อุดมวิชา อุดมอะไรก็ตาม
มันหมายถึงบรรลุ มรรค ผล นิพพาน 
 ถ้าเอาอุดมศึกษาไปใช้
แก่การจบหลักสูตรมหาวิทยาลัยแล้ว
แล้วเรื่องบรรลุ มรรค ผล นิพพาน 
 จะเอาคำไหนมาใช้ ที่พูดกันนี้เพื่อป้องกันการลืมตัว
 ว่าอุดมศึกษานั้น
มันยังเป็นอุดมศึกษาของเด็กอมมือ 
 คือเด็กที่ยังไม่รู้ว่า เกิดมาทำไม?
  ถ้าพวกคุณยังไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม?
ผมอยากจะเรียกว่า เด็กอมมือ 
 ไม่ใช่เรียกว่านิสิต หรือ นักศึกษา
ในอุดมศึกษา แต่จะเรียกว่า เด็กอมมือ
ที่ยังไม่รู้ว่า เกิดมาทำไม?

ในสังคมทั่วไปนั้น คุณก็เป็นนิสิต 
 คุณก็เป็นนักศึกษา ในขั้นอุดมศึกษา 
 แต่ในสังคมสวนโมกข์นี้ คุณเป็นเด็กอมมือ
เพราะว่า คุณยังไม่รู้ว่า เกิดมาทำไม? 
 นี่แหละขอให้นำเรื่องนี้ไปคิดดู
  เพราะว่าคุณตั้งปัญหาถามมา
ในลักษณะที่เป็นอุดมศึกษาจริงๆ ว่า
ทำอย่างไรจึงจะป้องกันไม่ให้ความทุกข์เกิดขึ้นมา?
  แล้วทำอย่างไรจึงจะทำลายความทุกข์
ที่เกิดอยู่แล้วให้หมดไปได้?
นี่แหละเป็นอุดมศึกษาจริงๆ เป็นปัญหาทางอุดมศึกษา
  ถ้ารู้แล้วก็เป็นผู้สำเร็จอุดมศึกษา ไม่ใช่เด็กอมมือ
ผมก็เลยตอบอย่างคร่าวๆ กว้างๆ รวมๆกันไป
ว่า คุณต้องมีควายสองตัวสำหรับเทียมชีวิต 
 ให้ชีวิตเป็นไปได้ด้วยควายสองตัว
คือ ทั้ง เทคโนโลยี่ และ ทั้ง spiritual - enlightenment 
 สองอย่างนี้คู่กันไป คุณก็จะพ้นภาวะที่เป็นเด็กอมมือ
 ในพุทธศาสนาจะมาสู่ความเป็นมนุษย์ 
 ที่ว่าเติบโตแล้ว เจริญแล้ว
 ถึงขนาดที่เรียกว่าจะเป็นพุทธบริษัทได้

ในวันนี้เราจะพูดกันถึงเรื่องอารัมภกถา
  ก็หมายความว่าเรื่องกว้างๆ 
 ที่จะให้เข้าใจเรื่องเฉพาะๆอย่างชัดเจน
แล้ววันหลังเราก็จะพูดถึงโดยรายละเอียดอย่างใด
 อย่างหนึ่ง ในข้อที่ว่าความทุกข์เป็นอย่างไร?
เกิดมาจากอะไร?
จะดับมันได้โดยวิธีใดเป็นต้น
    เพราะการที่พูดแต่เพียงว่าให้ชีวิตนี้
เทียมด้วยควายสองตัวนี้มันก็เห็นคร่าวๆเท่านั้น
ว่าเราจะต้องเจริญทั้งวิชาฝ่ายเนื้อหนัง
  และวิชาฝ่ายวิญญาณ จะต้องรู้จักคำพูดทั้งสองภาษา
  คือคำพูดภาษาคนธรรมดา
และคำพูดภาษาพระอริยเจ้าพูด
  ไปหารายละเอียดอ่านเอาเอง
จากหนังสือเล่มเล็กๆ ที่เรียกว่า
 "ภาษาคน ภาษาธรรม"
ซึ่งคุณจะได้รู้ภาษาสองภาษาเพื่มขึ้น
  เช่นคำว่า "ชาติ" - ความเกิดนี้ ภาษาคนก็ว่า
 เกิดมาจากท้องแม่
แต่ภาษาธรรมเขาหมายว่า 
 ความเกิดแห่ง conceptual thought 
 ว่ากู ว่าของกู ครั้งหนึ่ง เรียกว่า "ความเกิด"
คำว่าความเกิดมีความหมายต่างกันอยู่อย่างนี้ 
 นี่เป็นตัวอย่างเท่านั้น ต่อเมื่อคุณรู้จักทุกๆสิ่ง
ในความหมายทางภาษาธรรมด้วย
เมื่อนั้นแหละ จึงรู้จักควายสองตัวอย่างถูกต้อง
จะมีความรู้เรื่องควายสองตัวถูกต้องและครบถ้วน



เรื่องอารัมภกถาของเราก็พอกันทีสำหรับวันนี้







Create Date : 26 มกราคม 2556
Last Update : 6 กรกฎาคม 2559 10:14:29 น.
Counter : 2309 Pageviews.

0 comment
...คำนำ...จากท่านพุทธทาส ...23 ตุลาคม 2514





.....เกริ่นสักนิด....

ธรรมโฆษณ์ ฉบับ ฆราวาสธรรม นี้
เราได้อ่านมาหลายรอบแล้ว
 และไม่เคยเบื่อที่จะอ่านซ้ำแล้วซ้ำอีกเลยสักครั้ง
เนื้อหาที่ท่านพุทธทาส ได้แสดงธรรมไว้นี้
ไม่เคยล้าสมัย
เป็นเครื่องช่วยให้ผู้ที่ได้อ่าน
ได้พบหลักธรรมะที่แท้จริง
ได้พบหนทางที่จะนำพาไปสู่
ความสุข ความสงบ
 และไม่ประมาทต่อการดำรงชีวิต
อยู่ในโลกอันวุ่นวายนี้ตลอดชั่วอายุขัย
บางท่านอาจจะได้เคยอ่านแล้ว
 แต่บางท่านยังไม่เคยอ่าน
เราจึงขอนำมาเผยแพร่ให้ท่านได้อ่านกัน
เป็นการเผยแพร่ธรรมะที่ดีที่ควรรู้
เราจะนำเสนอเป็นตอนๆเพื่อง่ายต่อการอ่าน
และทำความเข้าใจ
 หวังว่าคงเป็นประโยชน์แก่ท่านทั้งหลายบ้าง
จะคัดลอกบทความธรรมะ
ของท่านพุทธทาสมาทั้งหมด
 ตามที่ท่านได้เคยแสดงธรรมไว้
เพื่อประโยชน์ต่อฆราวาสทุกท่าน



" คำนำ " ที่ท่านพุทธทาสได้เขียนไว้
เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2514 มีดังนี้

หนังสือเรื่องนี้คือคำบรรยายที่บรรยายขึ้นไว้
เพื่อแก้ไขความเข้าใจผิด
 อันสำคัญข้อหนึ่ง คือข้อที่ว่า
ฆราวาสไม่ต้องสนใจธรรมะ
เรื่องความดับทุกข์ในขั้นเหนือโลก,
ให้ขวนขวายแต่เรื่องทำมาหากินให้มากๆ
 และสุจริตเข้าไว้ก็พอแล้ว
คติที่ว่าให้ฆราวาสสนใจ
แต่เรื่อง "โลกีย์" อย่างเดียวนั้น
คือคติที่ทำให้ ฆราวาสกลายเป็น
คนตกนรกทั้งเป็นตลอดกาล

เมื่อมีผู้ไปทูลถามพระพุทธองค์ว่า
อะไรเป็นธรรมที่เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล
แก่ฆราวาสทั้งหลายตลอดกาลนาน
พระองค์ได้ตรัสตอบว่า
" เย เต สุตฺตนฺตา ตถาคตภาสิตา คมฺภีรา คมฺภีรตฺถา
 โลกุตฺตรา สุญฺญฺตปฺปฎิสํยุตฺตา
-บรรดาสุตตันตะทั้งหลาย
ที่ตถาคตได้กล่าวไว้ เป็นของลึก
มีอรรถอันลึกเหนือโลก
เนื่องเฉพาะด้วยสุญญตา" ดังนี้
นี้เป็นหลักที่แสดงว่า
เรื่องสุญญตาหรือความว่าง ซึ่งเป็นทั้งรากฐาน
 เป็นทั้งหัวใจ และเป็นทั้งยอดสุดของพุทธศาสนา
 แล้วแต่กรณี,
นั้นเป็นธรรมที่เป็น " ประโยชน์เกื้อกูล"
 แก่ ฆราวาส ตลอดกาล
ข้อนี้มีอธิบายให้เห็นได้ง่ายๆ ดังต่อไปนี้:

คนเราจะอยู่ในโลก
ซึ่งมีแต่ความบ้าหลังมากขึ้นทุกทีๆนั้น
 จะอยู่ใต้ฝ่าเท้ามันดี หรืออยู่บนศีรษะมันดี ?
โลกเต็มไปด้วยความสกปรกเศร้าหมอง
เร่าร้อน และ เป็นทุกข์ ,
 จะอยู่ใต้ฝ่าเท้ามันดีหรืออยู่บนหลัง
บนบ่า บนศีรษะมันดี?
คิดดูให้ดีในข้อนี้ ก็จะเข้าใจได้ทันทีว่า
ทำไมพระพุทธองค์จึงตรัสเช่นที่ยกมาไว้ข้างบนนั้น,
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
คำว่า "โลกุตตรา" ซึ่งแปลว่า "เหนือโลก"
คนที่หลงไหลในเรื่อง กิน..กาม..เกียรติ
 อย่างเป็นบ้าเป็นหลัง
จนมีความวิปริตในเรื่องนี้นั้น
ถึงอย่างไรเสียก็คงจะฟังเรื่องนี้ไม่เข้าใจ
แต่คนธรรมดาสามัญคงจะพอฟังออกไปในทางที่ว่า
เราจะต้องพยายามอยู่เหนือความครอบงำของโลก
ห้มากที่สุดที่จะมากได้ไว้เสมอไป
มิฉะนั้นเราจะมีชีวิตอยู่อย่างตกนรกทั้งเป็นตลอดกาล.

พระพุทธองค์ทรงหมายความว่า
สุตตันตะที่ตื้นๆสนุกสนาน
เข้ากับความเห็นแก่ตัวของคนเรานั้น
ไม่สามารถจะแก้ปัญหาตกนรกทั้งเป็นได้.
ต้องสุตตันตะ หรือธรรมะที่ลึกพอ ที่จะช่วย
ให้ไม่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของโลกได้เท่านั้นที่จะเป็นที่พึ่งได้
คำว่า "ฆราวาส" แปลว่าครองเรือน
หมายความว่าต้องต่อสู้กับโลก
เพื่อเอาชนะโลกนี้ให้ได้ในวัยหนุ่มหรือ "หัวค่ำ"
แล้วจะต้องเอาชนะโลกหน้าให้ได้ใน "วัยดึก"
 แล้วชนะโลกทั้งปวงให้ได้ในเวลา "สว่างรุ่งขึ้น"
ซึ่งหมายถึงการอยู่เหนือโลกนั่นเอง.
ทำได้เช่นนี้ จึงจะเรียกว่า ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์
และยังแถมได้พบพระพุทธศาสนา
เพราะได้รับสิ่งที่ดีที่สุด
ที่มนุษย์จะพึงได้รับอย่างครบถ้วนจริงๆ
 ขอให้ทุกคนเป็นฆราวาสที่ถูกต้อง
ตามอุดมคติของฆราวาสเช่นนี้ ด้วยกันทุกคนเถิด

คำบรรยายชุดนี้มีเจตนาพิเศษ
อยู่อีกอย่างหนึ่ง แฝงอยู่ในตัว
 คือ การที่คนเราสามารถสร้างความก้าวหน้า
ทาง โลกุตตระธรรม
พร้อมไปกับการที่เรามีความก้าวหน้า ทางโลกิยธรรม,
คือให้ทางโลกิยธรรมสอนความจริง
เกี่ยวกับโลกุตตระธรรมทุกคราว
ที่มีความผิดพลาดในหน้าที่การงาน
 หรือที่เรียกกันว่าในชีวิต
 เราไม่โกรธ ไม่เสียใจ ไม่กลัว ไม่เศร้า
 ไม่อะไรๆที่เลวๆ เช่นนั้น
ทุกคราวที่มีความผิดพลาด
นี้ทำให้เราไม่ต้องรับทุกข์จากโลกียธรรม
แล้วยังช่วยให้มีแสงสว่าง
ในเรื่องของ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
 ไปเรื่อยๆจนกว่าจะเพียงพอ
ในการที่จะไม่ต้องมีความทุกข์อีกต่อไป
ในโลกนี้เต็มไปด้วยสิ่งที่จะทำให้เกิดความผิดพลาด
แต่ความรู้เรื่อ่งโลกุตตรธรรม
 จะช่วยให้เราทำอะไรไม่ผิดพลาด
หรือผิดพลาดน้อยที่สุด ความรู้ในเรื่อง โลกุตตรธรรม
ทำให้รู้ความพอเหมาะพอดี ไม่มากไม่น้อย
เพราะมันเป็นเครื่องป้องกัน
ไม่ให้เราทำอะไรไปตามอำนาจของกิเลส
อย่างผลีผลาม
 เหมือนที่ทำกันอยู่ทั่วไปตามประสาโลก
ถ้าทำอะไรผิดพลาดลงไป
อย่างมากมันจะช่วยให้ไม่ต้องเสียน้ำตา
หรืออย่างน้อยที่สุดก็จะช่วยเช็ดน้ำตาให้
ในลักษณะที่ใครๆจะช่วยทำเช่นนั้นไม่ได้
โดยไม่ต้องใช้ "จิตว่างอันธพาล" เข้ามาช่วยเหลือ
เหมือนที่ชอบใช้หรือชอบพูดกันอย่างพร่ำเพรื่อ
ในยุคที่โลกเต็มไปด้วยคนอันธพาลเช่นนั้นยิ่งขึ้น

ขอให้ทุกคนสังเกตุดูให้ดีๆว่า เราต้องทำงานหนัก
 สลับกันไปกับการพักผ่อนที่เพียงพอ
แต่นั่นมันเป็นเรื่องทางร่างกาย
หรือส่วนของร่างกาย
ส่วนเรื่องทางจิตหรือทางวิญญาณนั้น
โลกิยธรรมเท่ากับการทำงานหนัก
โลกุตตรธรรมเท่ากับการพักผ่อนของวิญญาณ
ถ้ามีไม่สมดุลกันแล้ว
จะเกิดความฉิบหายทางวิญญาณ
แม้ทางร่างกายจะดูยังดีอยู่
เขาก็เป็นอันธพาลทางวิญญาณโดยสิ้นเชิง
ที่เรียกว่ามีอะไรดีอยู่นั้น
 เป็นดีอย่างปลอมเทียมทั้งนั้น
ทุกอย่างมีแต่ความทุกข์ทรมานใจ
ม่มีส่วนไหนที่จะยกมือไหว้ตัวเองได้
เขาต้องเป็นโรคภัยไข้เจ็บประจำตัว
เนื่องจากความพักผ่อนทางวิญญาณมีไม่เพียงพอ
 เช่นเป็นโรคเส้นประสาท วิกลจริต อัมพาต
หรือตายไปอย่างไม่มีสติสมปฤดี
แม้ยังไม่เจ็บไข้หรือยังไม่ตาย
 เขาก็เหมือนกับตายแล้ว
อย่างที่ตรัสไว้ว่า "เย ปมตฺตา ยถา มตา -
พวกที่ประมาทแล้วคือคนตายแล้ว"
นั่นแหละคือคนรกโลก !
ถึงแม้จะเป็นฆราวาสอย่างไร
 เราก็ไม่ควรจะเป็นคนรกโลก

ชีวิต คือ การเดินทาง มันเป็นการเดินทาง
จากการอยู่ภายใต้ความทุกข์
ไปอยู่เหนือความทุกข์
ไม่ว่าจะเป็นความทุกข์ชนิดไหน
คนเราจะต้องไต่เต้า
จนขึ้นไปอยู่เหนือความทุกข์ทั้งนั้น
 แม้ที่สุดแต่ความทุกข์อันเกิดจากความยากจน
ฆราวาสก็เป็นสัตว์มีชีวิต
ดังนั้นก็ต้องเดินทางกับเขาด้วยเหมือนกัน
เดินอย่างไรเร็วและดี ต้องเดินกันอย่างนั้น
ทุกคนน่าจะเห็นว่า การทำงานคือโลกิยธรรม
การพักผ่อนคือโลกุตตรธรรม
 นั่นแหละคือการเดินทางที่ดีที่สุด
สำหรับฆราวาสผู้ไม่ถอยหลัง
 แต่เดินก้าวไปโดยรวดเร็ว
ประกอบไปด้วย
 " ประโยชน์เกื้อกูลแก่ความเป็นฆราวาสตลอดกาลนาน"
ดั่งที่พระองค์ตรัส ซึ่งได้นำมากล่าวไว้แล้วข้างต้น
คำอธิบายชุดนี้มีความประสงค์ดังนี้
พยายามจะให้ฆราวาส พุทธบริษัท
เป็นฆราวาสกันในแบบนี้
หรือแบบที่พระองค์ทรงแนะนำ

คนจะเป็นฆราวาสหรือเป็นบรรพชิต
ก็ต้องเป็นชีวิตที่เป็นการเดินทางไปข้างหน้า
ด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะช้าหรือเร็วก็ตาม
มิฉะนั้นแล้วก็หมดความเป็นมนุษย์ที่แปลว่าสัตว์มีใจสูง
 หรือเหล่ากอของผู้ที่มีจิตใจสูง
 ไม่ว่าจะเป็นบรรพชิตหรือฆราวาสก็ตาม
ล้วนแต่ต้องมีจิตใจสูง
ไปตามแบบหรือตามมาตรฐานของตนๆ
ถ้าให้ฆราวาสเดินทวนกลับจากที่บรรพชิตเดิน
ก็จะถอยหลังกลับไปเป็นสัตว์
 เช่น สุนัขเป็นต้น เท่านั้นเอง
 ขอให้ลองคิดดูให้ดีๆ
แต่ถ้าเกิดต้องการจะให้ชีวิตตามแบบฆราวาส
เป็นการเดินไปข้างหน้าด้วยกันกับบรรพชิตแล้ว
ตำบรรยายชุดนี้
จะช่วยให้การเดินนั้นง่ายขึ้นบ้างไม่มากก็น้อย


พุทธทาส อินทปัญโญ
โมกขพลาราม, ไชยา
23 ตุลาคม 2514







Create Date : 25 มกราคม 2556
Last Update : 6 กรกฎาคม 2559 8:48:42 น.
Counter : 1282 Pageviews.

0 comment

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ