Group Blog
### น้ำมันทรานส์ สารอันตราย กาแฟใส่ครีมเทียมตายผ่อนส่ง ###




















คงปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกวันนี้ “กาแฟ” เข้ามามีบทบาทกับคนเรา

เกือบทุกเพศทุกวัยในฐานะ “เครื่องดื่มแก้ง่วง”

ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน-นักศึกษาที่ต้องอ่านหนังสือ

ท่องตำราเตรียมสอบ คนทำงานออฟฟิศที่ต้องใช้สมอง

และสายตาอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์

ตลอดจนอาชีพที่ต้องทำงานกลางคืน

อย่างคนขับรถส่งสินค้าหรือเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ฯลฯ

 ล้วนดื่มกาแฟเพื่อให้ร่างกาย “สดชื่น”

สามารถปฏิบัติหน้าที่ให้ลุล่วงได้ทั้งสิ้น

เมื่อพูดถึงกาแฟ สิ่งที่ตามมาด้วยย่อมหนีไม่พ้น “ครีมเทียม”

ซึ่งใช้เติมลงในกาแฟคู่กับน้ำตาลเพื่อ

 “ลดความขม-เพิ่มความมัน” ให้กาแฟแก้วนั้นง่ายต่อการดื่ม

 เช่นเดียวกับ “กาแฟสำเร็จรูป” ทั้งแบบกระป๋อง

และแบบฉีกซองผสมน้ำร้อนดื่มได้ทันที

หรือ “ทรีอินวัน” (3 in 1)

ที่มักจะผสมครีมเทียมมาให้ด้วยแบบเสร็จสรรพ

 ทว่าภายใต้รสชาติที่อร่อยดังกล่าว

ครีมเทียมก็จัดเป็น “เครื่องปรุงอันตราย” ชนิดหนึ่งเช่นกัน

 จากสิ่งที่เรียกว่า “ไขมันทรานส์”

นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมอนามัย อธิบายว่า

 ไขมันทรานส์ (Trans Fat) คือไขมันผลิตด้วย

กระบวนการนำน้ำมันพืชมาทำเป็นผง

 โดยการดึงเอาไฮดรอกไซด์ออกมาเพื่อทำให้น้ำมันพืชแห้ง

ใช้สำหรับเติมลงในเครื่องดื่มเพื่อให้รสชาติหอมมันน่าบริโภค

แต่หากดื่มเข้าไปนานๆ เข้าก็จะมีผลให้

คอเลสเตอรอลในเลือดเพิ่มระดับขึ้น ส่งผลให้

น้ำหนักตัวและไขมันส่วนเกินเพิ่มขึ้น ตับทำงานผิดปกติ

เสี่ยงต่อโรคเบาหวาน ความดัน โรคหัวใจ

รวมถึงภาวะเส้นเลือดในสมองตีบตันได้

อธิบดีกรมอนามัยกล่าวต่อไปว่า

พฤติกรรมการบริโภคกาแฟของคนไทยนับว่า “เสี่ยง”

 เพราะชอบเติมครีมเทียมและน้ำตาล โดยเฉพาะ “กาแฟรถเข็น”

เครื่องดื่มยอดฮิตและราคาถูก ที่ใช้กาแฟผงสำเร็จรูป

 ผสมกับนมข้น น้ำตาล และครีมเทียม เรียกว่า “มาครบสูตร”

ขณะที่ชาวอังกฤษหรือชาวอเมริกัน มักดิ่มกาแฟแบบ “เพียวๆ”

ใช้วิธีเติมน้ำแทนเพื่อให้รสขมเจือจาง

จะได้ไม่ต้องผสมนมหรือครีมเทียมให้เป็นอันตราย

และควรหลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟกระป๋อง

เนื่องจากมีน้ำตาลกับครีมเทียมผสมอยู่มาก

แต่หากจะดื่มให้ดื่มเพียงกระป๋องเดียว

แล้วไม่ต้องดื่มอีกเลยตลอดวันนั้น ก็จะช่วยลดความเสี่ยงได้

“เมื่อกินกาแฟแนะนำให้เติมนมหรือเติมน้ำแทนเยอะๆ

 จะสามารถช่วยลดคอเลสเตอรอลและโรคเบาหวานได้

 ไม่ว่าจะกินแบบใดจะได้กาเฟอีนในปริมาณ

50 มิลลิกรัมโดยประมาณ และจะขับน้ำในร่างกาย

ประมาณ 250 ซีซี ถ้าจะกินกาแฟก็ต้องกินน้ำให้พอ

ไม่ฉะนั้นร่างกายจะขาดน้ำ สังเกตว่าเมื่อกินกาแฟไป 1 แก้ว

 หลังจากนั้น 1 ชั่วโมงเราจะเข้าห้องน้ำ

เพราะร่างกายจะเอาน้ำออก 250 ซีซี

ฉะนั้นเมื่อกินกาแฟทุกครั้งต้องกินน้ำตามไปด้วยอย่างน้อย 1 แก้ว

 และวันนึงไม่ควรกินกาแฟเกิน 2-3 ถ้วย

ส่วนกาแฟกระป๋องมีน้ำตาลอยู่ 8 ช้อนและมีครีมเทียมอยู่เยอะ

 ส่วนกาเฟอีนมีอยู่ประมาณ 140 มิลลิกรัม เมื่อกินเยอะๆ จะใจสั่น

 และกาแฟที่เป็นทรีอินวัน 1 ซองมีน้ำตาลประมาณ 3-4 ช้อนชา

 มีครีม 3-4 ช้อนชา ซึ่งผมว่าไม่ควรกินเลย

กินกาแฟธรรมดา 1 ซองหรือ 1 ช้อนชา แล้วเติมน้ำเยอะๆ

แล้วเติมน้ำตาลก็เท่านั้นเอง มันก็อร่อยแล้ว”

อธิบดีกรมอนามัย ฝากคำเตือนทิ้งท้ายถึงคอกาแฟชาวไทย

ล่าสุดเมื่อเดือน มิ.ย. 2558 ที่ผ่านมา

สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐอเมริกา (FDA)

ประกาศห้ามใช้ไขมันทรานส์ในผลิตภัณฑ์สำหรับมนุษย์รับประทาน

โดยจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 18 มิ.ย. 2561 เป็นต้นไป

 หลังพบว่าส่วนผสมดังกล่าวเป็นสาเหตุ

ให้เกิดโรคหัวใจและความดันโลหิตสูง

 คร่าชีวิตชาวอเมริกันไปปีละนับล้านคน

“อร่อยจริง” แต่ก็เสี่ยง “ตายผ่อนส่ง” คุ้มไหม?


.................

ขอบคุณข้อมูลทั้งหมดจากหนังสือพิมพ์แนวหน้า สกุ๊ปหน้า 5











Create Date : 19 กรกฎาคม 2558
Last Update : 19 กรกฎาคม 2558 12:37:31 น.
Counter : 1104 Pageviews.

0 comment
### ระวังมะเฟืองคร่าชีวิตผู้ป่วยโรคไต ###












หลายเสียงเล่าลือกันถึงเรื่องของพิษที่มีอยู่ใน "มะเฟือง"

ส่งผลทำให้มีอันตรายถึงชีวิตจากภาวะไตวายเฉียบพลัน

เพื่อให้คลายสงสัย รศ.นายแพทย์ ม.ล.ชาครีย์ กิติยากร

อายุรแพทย์ หน่วยโรคไต ภาควิชาอายุรศาสตร์

คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี

 มหาวิทยาลัยมหิดล

ห้ความกระจ่างว่า มะเฟืองเป็นผลไม้เขตร้อน

ที่คนไทยรู้จักมา เนิ่นนาน 

แต่ในจำนวนคนไทย 67 ล้านคน

 มีน้อยคนนักที่จะทราบว่า

พิษของมะเฟืองมีผลต่อสุขภาพของไต

และอาจทำให้เกิดภาวะไตวายเฉียบพลันได้

"ไต" เป็นอวัยวะหนึ่งที่มีความสำคัญยิ่ง

ต่อระบบในร่างกายของเรา

มีรูปร่างคล้ายเม็ดถั่วเหลือง มี 2 ข้างอยู่บริเวณบั้นเอว

ไตเป็น ส่วนหนึ่งของระบบทางเดินปัสสาวะ

 ส่วนที่ต่อจากท่อไต (URETER)

ซึ่งจะนำปัสสาวะเข้าสู่กระเพาะปัสสาวะ

และเข้าสู่ท่อปัสสาวะ (URETHRA)

ในเพศชายจะมีต่อมลูกหมากอยู่โดยรอบท่อปัสสาวะ

หน้าที่สำคัญของไต

1. ขับถ่ายของเสียที่เกิดจากการแตกตัว

ของโปรตีนในอาหารออกจากร่างกาย

2. รักษาสมดุลของน้ำ เกลือแร่ กรดและด่าง

ของร่างกายให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ

3. ควบคุมความดันโลหิต

4. สร้างฮอร์โมนกระตุ้นการสร้าง

เม็ดเลือดแดงในไขกระดูก

ความหมายของภาวะไตวาย

คือ ภาวะที่มีการสูญเสียการทำงานของไต

แบ่งออกเป็น 2 ชนิด ดังนี้

1. ไตวายเรื้อรัง คือการสูญเสียการทำงานของไต

 ที่เป็นไปอย่างช้าๆ และถาวร

ช่วงเวลาอาจตั้งแต่ 1–2 ปี

จนถึง 10 ปีขึ้นไป จนในที่สุด

เข้าสู่ภาวะสุดท้ายของไตวาย

(END STAGE RENAL FAILURE)

ซึ่งหมายถึง ภาวะที่ต้องการการรักษาแบบทดแทน

 เช่น ฟอกเลือด, เปลี่ยนไต

เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถดำรงชีวิตอยู่ต่อไปได้

2. ไตวายเฉียบพลัน ช่วงเวลาที่เกิดขึ้น

อาจจะเป็นชั่วโมง หรือ เป็นวัน

 ทำให้เกิดการคั่งของของเสีย

ทำให้เกลือแร่ กรด ด่าง

และการควบคุมปริมาณน้ำในร่างกายผิดปกติ

"ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที

ผู้ป่วยเหล่านี้ส่วนใหญ่

จะมีปริมาณปัสสาวะต่อวันน้อยกว่า 400 ซีซี"

รศ.นายแพทย์ ม.ล.ชาครีย์ กล่าวอีกว่า

สาเหตุของไตวายเฉียบพลัน มีหลายสาเหตุ

ส่วนใหญ่ เกิดจากความผิดปกติ

ของการไหลเวียนโลหิตในร่างกาย...

การอุดตัน ผู้ป่วยที่ช็อกจากการติดเชื้อ,

เสียเลือดจำนวนมาก

หรือขาดน้ำอย่างรุนแรงจากท้องเสีย

การใช้คำว่า "เฉียบพลัน"

นอกจากบ่งถึงช่วงเวลาระยะสั้นที่เกิดขึ้นแล้ว

 ยังบ่งถึงความเป็นไปได้

ที่ไตจะกลับสู่ภาวะปกติได้

คนไทยรู้จักมะเฟืองมานาน

นิยมรับประทานเป็นผลไม้สด

หรือคั้นเป็นน้ำผลไม้

หรือรับประทานผลดิบเป็นผัก

 เช่น ในอาหารเวียดนาม

"ใน บ้านเรามีรายงานเกี่ยวกับคนไข้

เกิดภาวะไตวายเฉียบพลัน

หลังการรับประทานผลสด

หรือน้ำมะเฟืองจำนวนมาก

เนื่องจากมะเฟืองเป็นพืชที่มีสาร

ออกซาเลตสะสมอยู่ เป็นจำนวนมาก

ปกติแล้วออกซาเลตสามารถ

ละลายและถูกดูดซึมได้อย่าง อิสระ

แล้วถูกขับออกทางไต

โดยสาเหตุของไตวายเฉียบพลันนั้น

เพราะไตเป็นแหล่งที่มีสารต่างๆหลายชนิด

เมื่อสารออกซาเลตในมะเฟือง

จับตัวกับแคลเซียมที่อยู่ในไต

จะกลายเป็นผลึกนิ่วออกซาเลตผลึกนิ่วจำนวนมาก

ตกตะกอน หรืออุดตันในเนื้อไต

และท่อไต ทำให้ไตวายหรือสูญเสียการทำงานไป"

แต่กระนั้นการเกิดภาวะไตวาย

ไม่ได้เกิดกับผู้ป่วยทุกราย

ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปริมาณที่รับประทาน

 และภาวะพร่องหรือขาดน้ำในผู้ป่วย

หน่วยโรคไต โรงพยาบาลรามาธิบดี

เคยพบกรณีคนไข้ในประเทศไทย

มีอาการไตวายเฉียบพลัน จากการได้รับภาวะพิษ

จากการรับประทานผลมะเฟือง

 และได้ส่งรายงานไปต่างประเทศ

ผู้ป่วยที่มีภาวะพิษต่อไต เกิดขึ้นในหลายชั่วโมงถัดมา

หลังรับประทานผลมะเฟือง

ผู้ป่วยจะมาด้วยภาวะไตวายเฉียบพลัน

 กล่าวคืออาจจะมีปัสสาวะออกน้อยลง,

บวมน้ำ, ความดันโลหิตสูงขึ้น,

 น้ำท่วมปอด, อ่อนเพลีย

หรือบางรายอาจมาด้วยอาการสะอึก

 เนื่องจากของเสียในร่างกายคั่ง

 จากการที่ไตไม่สามารถขับของเสีย

 และน้ำส่วนเกินออกจากร่างกายได้

และอาจจะต้องได้รับการฟอกเลือดล้างไตในที่สุด

ถ้ามีภาวะไตวายเฉียบพลันเกิดขึ้น

หลังหยุดรับประทานมะเฟือง

ผู้ป่วยเดิมที่มีไตปกติ กว่าไตจะกลับมาทำงานได้

ตามปกติอาจใช้เวลานานประมาณ 3-4 สัปดาห์

แต่หากเป็นผู้ป่วยที่มีโรคไตเดิมอยู่ก่อนแล้ว

การทำงานของไต อาจจะดีขึ้นบ้าง แต่ไม่กลับมาเท่าเดิม

และอาจจะต้องฟอกไตถาวร

ผลการศึกษาปัจจัยการเกิดโรค พบว่า

ขึ้นอยู่กับชนิดมะเฟือง

มะเฟืองเปรี้ยวมีโอกาสเกิดโรค

มากกว่ามะเฟือง ชนิดหวาน

 เนื่องจากมีปริมาณกรดออกซาลิคมากกว่า

"ถ้ารับประทานผลสด หรือผลไม้คั้น

จะมีโอกาสเกิดโรคมากกว่า

แต่ถ้าผ่านการดอง หรือแปรรูป

หรือเจือจางในน้ำเชื่อม

เช่น ในน้ำมะเฟืองสำเร็จรูป

จะทำให้ปริมาณออกซาเลตลดน้อยลง"

ปริมาณที่รับประทาน พบว่าระดับออกซาเลต

ที่เป็นพิษต่อร่างกายมีค่าตั้งแต่

 2-30 กรัมของปริมาณออกซาเลต

ผลมะเฟืองเปรี้ยวมีออกซาเลต ประมาณ 0.8 กรัม

ในขณะที่มะเฟืองหวานมีออกซาเลต 0.2 กรัม

สำหรับผู้ป่วยที่มีโรคไตอยู่เดิมอาจมีไตวายเฉียบพลัน

จากการรับประทานมะเฟืองเพียงเล็กน้อย

นอกจาก นี้ ระดับความรุนแรงยังขึ้นอยู่กับ

ภาวะพร่องหรือขาดน้ำ

 จากการรายงานผู้ป่วยที่มีภาวะไตวาย

หลังรับประทานมะเฟือง พบว่า

ผู้ป่วยดื่มน้ำมะเฟืองหลังจากการทำงานหนัก

หรือสูญเสียเหงื่อมาก จะยิ่งมีโอกาสเกิดโรคมากขึ้น

 เนื่องจากผลึกแคลเซียมออกซาเลตจะอิ่มตัว

 และตกผลึกง่ายขึ้นในเนื้อไต

ในผู้ที่มีไตเรื้อรังอยู่ก่อน

โดยเฉพาะผู้ที่ไตวายต้องล้างไตแล้ว

 มะเฟืองมีผลต่อระบบประสาทด้วย

มีรายงานในผู้ป่วยกว่า 50 รายทั่วโลก...

มะเฟืองอาจมีสารที่เป็นพิษกับระบบประสาท

ซึ่งผู้ป่วยอาจมีความรู้สึกตัวเปลี่ยนแปลง

ไปจากการที่สมองบวม

จากการที่มีผลึกนิ่วออกซาเลตไปเกาะสมอง

หรือการที่มะเฟืองมีสารพิษ อื่นที่กระตุ้นสมอง

สารพิษต่อสมองนี้จะสะสมในภาวะไตวาย

ดังนั้นการเกิดพิษลักษณะนี้พบได้น้อยมาก

ในคนปกติ และผู้ป่วย

มักต้องรับประทานผลมะเฟืองเป็นจำนวนมาก

"ผู้ป่วยไตวายอาจ มีอาการทางสมอง

หลังรับประทานมะเฟือง

ทั้งชนิดหวานและชนิดเปรี้ยว เพียงหนึ่งผล

อาการมักเริ่มไม่กี่ชั่วโมง

หลังรับประทานมะเฟือง

โดยผู้ป่วยจะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน สะอึก

 ตามด้วยภาวะซึมหรือชักผู้ป่วย

ส่วนใหญ่จะดีขึ้นหลังหยุดรับประทานมะเฟือง

หลังการล้างไตเพื่อเอาพิษมะเฟืองออกอย่างไรก็ตาม

มีรายงานว่ามีผู้ป่วยเสียชีวิตหลังรับประทานมะเฟือง"

น่าสนใจที่ว่า ก่อนหน้านี้ไม่ค่อยได้ยินข่าว

ผู้ป่วยจากพิษมะเฟือง

เป็นไปได้ ว่าที่ผ่านมามะเฟืองไม่ได้เป็นที่นิยมมากนัก

ผลผลิตมะเฟืองในแต่ละปีก็มีจำนวนไม่มากอย่างผลไม้อื่นๆ

คนส่วนใหญ่จะรับประทานในปริมาณน้อย

 และไม่รับประทานมะเฟืองเปรี้ยว

แต่ ในช่วงหลังๆมานี้ได้มีบทความแพร่ทางสื่อออนไลน์

ชวนให้รับประทานมะเฟืองสด

โดยชี้แนะประโยชน์ทางสุขภาพ

 เช่น ลดน้ำตาลในเลือด

หรือช่วยรักษาโรคอื่นๆ

จึงอาจทำให้มีคนเชื่อหันมาบริโภค

มะเฟืองกันมากขึ้น

ปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานทางการแพทย์

ที่ระบุชัดเจนถึงประโยชน์ของมะเฟือง

ดังนั้น จึงขอให้ประชาชนระมัดระวัง

มะเฟืองสดเป็นผลไม้ที่น่าจะเกิดโทษ

กับผู้ที่รับประทานมาก

เกินกว่าที่ร่างกายจะทำลายพิษได้

และขึ้นอยู่กับสุขภาพของผู้บริโภค

ที่มีความเสี่ยง ต่อภาวะไตวาย

 ผู้บริโภคสุขภาพปกติทานได้แต่ในปริมาณไม่มาก

ผู้ป่วยที่มีนิ่วในไตควรหลีกเลี่ยง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ป่วยที่มีไตเสื่อม

หรือมีความเสี่ยงต่อโรคไต

ห้ามทานมะเฟืองทั้งเปรี้ยวและหวานเด็ดขาด

คุณหมอชาครีย์ย้ำทิ้งท้าย

ว่าโรคไตมีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต

และมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง

ผู้รักสุขภาพควรเอาใจใส่

ต่อโภชนาการที่เหมาะสม

และตรวจสุขภาพไตเป็นประจำทุกปี

ขอบคุณข้อมูลจาก

รศ.นายแพทย์ ม.ล.ชาครีย์ กิติยากร

อายุรแพทย์ หน่วยโรคไต ภาควิชาอายุรศาสตร์

คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี

มหาวิทยาลัยมหิดล

#RamaChannel





Create Date : 29 มกราคม 2557
Last Update : 22 มกราคม 2558 13:26:28 น.
Counter : 1161 Pageviews.

0 comment
### ระวังอาหารที่ทำจากพุทธาจีน มีสารก่อมะเร็ง ###












ขนมเซียงจา (ซันจา) และของกินที่ทำจากพุทราจีนอื่น ๆ อีก 8 ยี่ห้อ

ถูกใบสั่งห้ามจำหน่าย เนื่องจากใช้วัตถุเพิ่มสีแดง ซึ่งมีสารก่อมะเร็งผสมอยู่

ทั้งนี้ ขนมเซียงจา ซึ่งเป็นขนมชนิดหนึ่งที่ทำจากพุทราจีนมี 3 ยี่ห้อ

ที่พบว่ามีสารก่อมะเร็ง 

ได้แก่ เซียงจา ของบริษัทชิงโจวอี้ว์ป๋อสือผิ่น

บริษัทเป่ยจิงจางหยังซางเม่า

และเป่ยจิงรุ่ยอี๋ชุนสือผิ่น  

พร้อมกันนี้ผู้เชี่ยวชาญจากสำนักงานความปลอดภัยด้านอาหาร

ยังเตือนประชาชน ให้ระมัดระวังในการเลือกซื้อขนมจำพวกพุทราต่างๆ

หากพบว่า มีสีแดงหรือหวานเกินไป อาจเป็นสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน

ที่มา ....ผู้จัดการ

“ซานจา” ขนม หรือ ผลไม้?

  ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้คนบนโลกโซเชียลจำนวนมาก

ได้แชร์ข่าวของขนม”ซานจา”หรือ ”เซียงจา” ว่าพบสารก่อมะเร็ง

จนสำนักงานความปลอดภัยด้านอาหารของจีนสั่งห้ามจำหน่าย 

ขนมแผ่นสีชมพูรสชาติหวานนี้อยู่ในสังคมไทยมานาน

รู้จักกันตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายาย จนถึงเด็กเล็กเด็กโตในสมัยนี้ 

หากแต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่า”ซานจา”ชื่อของขนมชนิดนี้

ผลิตมาจากผลไม้รสเปรี้ยวขนาดเล็กที่มีชื่อจีนว่า “ซานจา”

และยังเป็นอีกหนึ่งสมุนไพรที่แพทย์จีนนิยมสั่งให้ผู้ป่วยรับประทาน

 วันนี้จึงขอแนะนำ “ซานจา”ให้เป็นที่รู้จักกันมากยิ่งขึ้นค่ะ


ซานจาเป็นผลไม้ประเภทเบอร์รี่ชนิดหนึ่ง

มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Hawthorn Berry เป็นผลไม้ที่ได้จากต้น

Crataegus monogyna หรือ C.laevigata 

สายพันธุ์ในจีนนั้นคือ Crataegus pinnatifida (Chinese Hawthorn)

มักจะนิยมนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ

ไม่ว่าจะเป็นแยมผลไม้ เจลลี่ น้ำผลไม้

และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ชนิดต่างๆเป็นต้น

   ในการนำซานจามาใช้ในการทางแพทย์นั้น

จะนำซานจามาทำให้แห้งก่อนนำมาใช้

องค์ประกอบที่พบในซานจานั้น ประกอบด้วย

tannins,flavonoids,oligomericproanthocyanidins,

flavones-c,triterpene acids,phenolic acids เป็นต้น

จากองค์ประกอบเหล่านี้ทำให้ซานจานั้นสามารถช่วยในเรื่องการย่อยไขมัน

 เพิ่มการหลั่งของน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร

ปรับสมดุลของกระเพาะอาหารและลำไส้  ช่วยในการขยายตัว

และไหลเวียนเลือดของเส้นเลือดโคโรนารี

ป้องกันการเกิดภาวะหัวใจขาดเลือด ลดความดันโลหิต

ป้องกันไม่ให้หัวใจเต้นผิดปกติ ช่วยลดไขมันในเลือด

ทั้งคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์

นอกจากนั้นซานจายังสามารถต้านการเกาะกลุ่มกัน

ของเกล็ดเลือด (platelet aggregation) ต้านการเกิดออกซิเดชัน

เพิ่มความสามารถของระบบภูมิคุ้มกันเป็นต้น


   ทางการแพทย์แผนจีนนั้นได้นำซานจามาใช้เป็นยาสมุนไพรนานแล้ว

โดยใช้ในการช่วยย่อยอาหารเป็นหลัก

ซึ่งซานจาในทฤษฎีแพทย์จีนนั้นมีดังนี้

(คุณสมบัติ)  รสเปรี้ยว หวาน อุ่นเล็กน้อย 

 เข้าสู่เส้นลมปราณม้าม กระเพาะอาหาร

(สรรพคุณ)  ย่อยอาหาร เพิ่มสมรรถภาพการทำงานของกระเพาะอาหาร

ขับเคลื่อนชี่สลายการคั่งค้าง ลดไขมัน

(การนำมาใช้)

 1. ช่วยย่อยอาหารประเภทเนื้อสัตว์ ลดอาการท้องอืดท้องเฟ้อ

ซานจาใช้ในการช่วยย่อยไขมัน

เมื่อรับประทานอาหารประเภทเนื้อสัตว์แล้วเกิดอาการอาหารไม่ย่อยนั้น

จะใช้ซานจาเป็นหลัก

2. ใช้ในอาการปวดท้องจากท้องเสีย และอาการปวดจากไส้เลื่อน 

เนื่องจากซานจามีฤทธิ์ในการขับเคลื่อนลม ขับเคลื่อนชี่

จึงสามารถบรรเทาอาการปวดได้ ส่วนซานจาที่ผ่านกรรมวิธีคั่วก่อน

จะมีฤทธิ์ระงับอาการท้องเสีย ท้องร่วงได้

3. ใช้ในอาการประเภทเลือดคั่งต่างๆ 

เนื่องจากฤทธิ์ของซานจาสามารถขับเคลื่อนชี่และเลือด สลายเลือดคั่งต่างๆ

จึงสามารถรักษากลุ่มอาการเลือดคั่งที่ทำให้เกิดอาการปวดได้ 

เช่น ปวดประจำเดือน ประจำเดือนขาด(ไม่มาตามปกติ)

4.ใช้ในผู้ที่ไขมันในเลือดสูง

(วิธีการใช้) ต้มดื่ม , 9-12 กรัม   

ข้อควรระวัง : ผู้ที่มีการหลั่งของน้ำย่อยในอาหารมากควรระวังในการใช้

   ดังนั้นเมื่อทราบประโยชน์ของซานจาแล้ว คาดว่า

หลายคนคงอยากจะหาซานจามาไว้รับประทานกัน ทั้งผลสด ผลแห้ง

หรือจะเป็นขนม เครื่องดื่มต่างๆใช่ไหมคะ ในประเทศไทยอาจจะหายากสักหน่อย

คงต้องฝากเพื่อนฝูงญาติพี่น้องที่ไปเที่ยวประเทศจีน หรือประเทศอื่นๆ

ที่มีจำหน่าย แต่ถ้าหาฝากไม่ได้คงต้องหาซื้อแบบสมุนไพรตากแห้ง

ตามร้านขายยาจีนแล้วค่ะ

วิธีการนำมาต้มดื่มเหมือนชา โดยใช้ซานจา 30 กรัม

ต้มในน้ำสะอาด 20 นาที แล้วเติมน้ำตาลทราย 10 กรัม

สามารถรับประทานได้ทันที รสชาติเปรี้ยวนำหวานตาม

ทั้งอร่อยและได้ประโยชน์ด้วยค่ะ 

แต่ถ้าหากท่านใดคิดจะนำมาใช้รักษาอาการป่วยต่างๆ

ควรเข้ารับการตรวจจากแพทย์จีนนะคะ

เพราะการใช้สมุนไพรเดี่ยวอาจไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร

และต้องตรวจร่างกายเพื่อที่จะได้รับยาที่เหมาะสมกับอาการของโรคค่ะ 

Cr.แพทย์จีนณัฐธิดา  สิริโยธิน

อ้างอิง

1. en.wikipedia.org/wiki/Crataegus

2. 许桂花。浅淡朝药山楂[J]。中国民族医药杂志。2011.4:39-40

3. 钟赣生。中医学[M]。北京:中国中医药书版社,2012,240-241

4.www.ttmeishi.com/caipu/d694362ed596a9da.htm




Create Date : 23 มกราคม 2557
Last Update : 16 มีนาคม 2557 20:38:04 น.
Counter : 2607 Pageviews.

0 comment
♦♦♦ ส่วนผสมของครีมเทียม ♦♦♦









เมื่อได้ดูรายการนี้ ทำให้เราได้คิดว่าทำไมคนไทยถึงหัวใจล้มเหลวกันง่ายจัง
มันเกิดจากการงก และ เห็นแก่ตัวของผู้ผลิต โดยใช้ความสะดวกสบาย
ซึ่งคนทุกคนชอบมาทำมาหากิน เพื่อความร่ำรวยของตนเอง
ทั้งๆที่รู้ว่าเมื่อตายไปแล้วเอาอะไรไปไม่ได้เลยแม้แต่ร่างกายของเราเอง
แต่ก็ยังทำ ท่านลองชมดูนะ อาจจะช่วยได้บ้างหากเราจะงดกินมันซะ

จริงอยู่อาหารทุกอย่างนั้นมีทั้งคุณและโทษ เราต้องระมัดระวังเอง
ต่ถึงขนาดต้องเอาเงินไปซื้อความตายมากินมันก็คงไม่ใช่ จริงไม๊จ๊ะ


ขอขอบคุณผู้นำเสนอรายการนี้และนำมาให้เราผู้บริโภคได้รับรู้
ดูกันเอาเองเถิด ผู้ที่เรียกว่าฉลาดและสมองดีกว่าคนอื่นๆ นั้น
เขาใช้ประโยชน์ในความฉลาดของเขาฆ่าคนได้อย่างเลือดเย็นเพียงใด
เพียงเพื่อตอบสนองความโลภของเขาเท่านั้น
จริงอยู่มันไม่ตายในเร็ววันหรอกแต่มันก็ทำให้
คนอายุสั้่นมากกว่าความเป็นจริงที่ควรจะได้อยู่ดูโลกนานๆ
และคุณเชื่อไหมว่า คนพวกนี้
เขาไม่เคยรับประทานของที่เขาบรรจงผลิตมานี่หรอก
เขาให้คนโง่เช่นเราเท่านั้นกินกันไป
เอ...แต่สงสัยว่าเขาอนุญาตให้ผลิตขายกันได้อย่างไรหนอ........











Create Date : 04 กุมภาพันธ์ 2555
Last Update : 20 มีนาคม 2558 14:45:21 น.
Counter : 1373 Pageviews.

1 comment

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ