Group Blog
All Blog
### ทะเลยามนี้....เหลือน้อยเต็มที ขอแฉสักหน่อย ###










ประมงชายฝั่ง คือ ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ชายทะเล
และประกอบอาชีพหาปลาด้วยเรือเล็กๆ ตามชายฝั่งทะเล
ส่วนมากจะมีฐานะยากจน หาเช้ากินค่ำกันแทบทั้งนั้น 
 เกิดเป็นคนทะเล ความรู้น้อย ไม่รู้จะไปประกอบอาชีพอะไร
เพราะเกิดมาก็อยู่กับทะเลมาโดยตลอด 
 ครอบครัวก็ออกหาปลามากินที่เหลือก็ขาย
นำเงินมาซื้อสิ่งจำเป็นอื่นๆที่ในทะเลไม่มีให้









ด้วยฐานะและด้วยความจำเป็นของปากท้องในครอบครัว
  ก็ต้องสู้อดทนเมื่อก่อนนี้ ก่อนที่ยังไม่มีโรงงานอุตสาหกรรม
มากมายอย่างทุกวันนี้ เราชาวประมงพื้นบ้านอยู่กันอย่างมีความสุข
  พอมีพอกินไม่เดือดร้อน เพราะเราอยู่กันอย่างพอเพียง
ไม่วิ่งไล่ตามเงินจนเหนื่อยเหมือนกับโลกทุกวันนี้ 
  ความเห็นแก่ตัวก็ไม่มี ทุกคนอยู่อย่างพึ่งพาอาศัยกัน
รักใคร่ปรองดองกันแบ่งปันอาหารที่หามาได้ 
 หากใครไม่มีก็แบ่งปันกันโดยไม่คิดอะไรมาก
  เมื่อครั้งเรายังเด็ก เห็นพี่น้องเราชาวบ้านชายทะเลเอื้อเฟื้อกัน
บ้านเราแกงส้มปลาเรียวเซียวที่หามาได้หม้อใหญ่ 
 ก็รู้กันไปทั้งสะพานแล้วใครอยากกินก็ถือชามมาตักไปกินกันไม่เคยหวง
บางคนก็ถือชามข้าวเปล่ามาตักแกงส้มราดข้าวกิน 
 ไม่มีใครห้าม ภาพประทับใจเหล่านี้ ปัจจุบันไม่มีแล้วนั่นเป็นเพราะ
ความเจริญทางวัตถุได้เยี่ยมกรายเข้ามา
  ความเจริญทางวัฒนธรรมและจิตใจก็ถดถอยลงไป
จนแทบจะหาไม่ได้แล้วในยุคสมัยนี้
โรงงานอุตสาหกรรมเกิดขึ้นเป็นดอกเห็ด 
  ผู้คนจากทั่วสารทิศเดินทางกันเข้ามาหางานทำกัน 
 รัฐบาลสนับสนุนให้ดำเนินการได้โดยเสรี
แม้จะมีกฎหมายข้อกำหนด ห้ามสร้างมลพิษ 
 ห้ามปล่อยน้ำเสียลงทะเล ห้ามทำลายสิ่งแวดล้อม
ห้ามโน่นห้ามนี่สารพัดแต่ไม่ทราบด้วยอะไรเป็นต้นเหตุ
บังตาผู้รักษากฎหมาย เพราะสิ่งที่พวกเราชาวประมงได้รับนั้น ก็คือ
สารพิษจากฝุ่นละอองคละคลุ้งกันไปทั่ว 
  น้ำเสียทิ้งลงทะเลกันโดยไม่เกรงกลัวกฎหมายใดๆ
ปล่อยปละละเลยไม่สนว่าใครจะเดือดร้อน 
 โดยเฉพาะคนยากจนที่หาเช้ากินค่ำนั้น ถูกมองข้าม
เพราะไม่มีปัญญาจะเอาอะไรไปต่อกรฟ้องร้องได้
ในเมื่อเราถูกทอดทิ้งไม่มีใครเหลียวแล ก็ต้องทนขมขื่น
อาศัยอยู่ไปท่ามกลางมลพิษ ท่ามกลางความทุกข์ที่พวกเขาหยิบยื่นให้
ร่างกายใครที่อ่อนแอก็เจ็บป่วยกันไป โดยเฉพาะผู้สูงอายุ
อุตส่าห์อยู่มานานด้วยอาหารทะเลไร้ฟอร์เมอรีน
กลับต้องมาป่วยด้วยการสูดสารฝุ่นละอองที่คละคลุ้งไปทั่วทุกวัน
  ใครหน้าไหนจะทนได้ แม้แต่หมอยังจนปัญญา









ไม่ใช่เฉพาะพวกเราที่เป็นมนุษย์เดินดินกินข้าวแกงนี้หรอกนะที่เดือดร้อน
 แม้แต่สัตว์ทะเล กุ้ง หอย ปู ปลา ที่เคยอุดมสมบูรณ์
ต่างก็มาล้มหายตายจาก บางอย่างก็สูญพันธุ์ไปเลยก็มี 
   การหาปลา หาสัตว์ทะเลชายฝั่งเดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว
ต้องแล่นเรือออกไปไกลกว่าที่เคยหาถึงสองสามเท่า
   เรือก็ต้องใช้น้ำมันนะไม่ได้ใช้น้ำเติมเครืองเรือสักหน่อย
แล้วเป็น่ไง ท่านเห็นไม๊น้ำมันบ้านเราแพงกว่าเพื่อนบ้าน
ที่เขาไม่มีโรงกลั่นมากมายอย่างเราสองเท่าตัว
แถมยังอ้างอิงราคาของเขาทั้งๆที่เขาก็ซื้อน้ำมันจากเราไป 
 ถึงแม้ไม่มากเท่าซื้อจากพวกอาหรับ แต่ก็เรียกได้ว่าซื้อจากเรา
แต่ทำไมน้ำมันเขาถึงขายในบ้านเขาได้ถูกกว่าเรามากมายนัก 
 คิดดูเอาเองนะ ป.ต.ท. ของเราซึ่งเคยเป็นของรัฐ
ก็ถูกพวกมีอำนาจแก้กฎหมายย้ายเป็นบริษัทมหาชน ซะ 
 แล้วพวกพ้องเขาก็ซื้อหุ้น ป.ต.ท ไปครอบครองกันมากมาย
ป.ต.ท เมื่อเป็นของรัฐ เราเติมน้ำมันดีเซลกันถูก
ตั้งแต่ลิตรละไม่ถึงสิบบาทจนขึ้นมาสิบกว่าบาท เราก็ทนได้
แต่ปัจจุบันเพื่อนบ้านเราเขาก็ยังขายสิบกว่าบาท
แต่ทำไมเราคนไทยมีโรงกลั่นเองหลายโรง
ต้องซื้อน้ำมันดีเซลลิตรละ 29.96 บาทใช้
นี่ยังอวดอ้างว่าตรึงราคาน้ำมันซะด้วยนะ เอาบุญคุณว่างั้นเถอะ
  คุณรู้กันไหมว่า ป.ต.ท นั้น ตั้งแต่รัฐโดนโกงไปน่ะ
เงินเข้ารัฐแค่เศษเสี้ยว แต่ ป.ต.ท มีเงินปันผลจากกำไรสุทธิ
ปีละกว่าห้าหมื่นล้านบาท (ไม่กล้าใส่ตัวเลขกลัวเลขศูนย์ตกหายไป)
เงินปันผลนำไปแจกจ่ายผู้ถือหุ้นกันสนุกเพลิดเพลิน
  เงินที่ควรเป็นของประเทศชาติก็ตกไปอยู่ในกลุ่มคนพวกนี้
มีความสุขละซีที่ได้เห็นเงินก้อนโตอยู่ในมือ 
 เงินแห่งความสุขบนความทุกข์ของคนไทยที่ใจไม่ด้านพอ
เราเห็นมาตั้งแต่เด็กจนแก่ว่า คนที่ตายไปทุกคน
 สัปเหร่อต้องจับมือแบออกให้รดน้ำศพกันก่อนใส่โลงทั้งนั้น
ไม่เห็นใครนำทรัพย์สินเงินทองติดตัวไปตอนตายได้เลยสักคน 
 มีแต่คนข้างหลังเผากระดาษสมมุติส่งไปให้เท่านั้น
และมันก็เป็นเพียงสิ่งสมมุติ ที่หาใช่ความจริงไม่ 
  เห็นไหมว่าโลกในยุคปัจจุบันเปลี่ยนแปลงจิตใจคนได้
ทุกคนนำทรัพย์สินเงินทองใส่ล้อเลื่อน เลื่อนนำหน้าไปแล้ว
ทุกคนต่างก็วิ่งตามไปโดยไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย
วิ่งตามไปทั้งชีวิตเถิดนะ วิ่งต่อไปอย่าหยุดนะ
  เพราะหยุดเมื่อไรตายเมื่อนั้นแหละไม่จำเป็น
ต้องสร้างภาพเป็นนักบุญใช้เงินบาปหรอกเราไม่ยินดีด้วย
   ทุกวันนี้พี่น้องเราชาวประมงหาเช้ากินค่ำถูกทำร้ายทุกด้าน 
 ค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น ปลาทะเลหมดไปเพราะน้ำเน่าเสีย
นี่มันอะไรกันนะจะไล่กันจนหลังชนฝาเชียวหรือ
   เราก็คนแต่ที่ยากจนไม่ใช่เพราะขี้เกียจสันหลังยาวหรอก
แต่เป็นเพราะพวกเราแยกแยะความดีความเลว ความชั่ว
 ความอับปรีย์ได้ต่างหากเล่า ทำน่ะทำได้แต่ไม่ทำ
กลัวบรรพบุรษที่ทำความดีมาจนตายจากไปต้องเดือดร้อน
ให้คนเขาก่นด่า สาบแช่ง ทั้งวันทั้งคืน นอนตายอย่างสงบไม่ได้









การทำประมงชายฝั่งเดี๋ยวนี้หากินลำบากมาก 
 กุ้ง หอย ปู ปลา ชายฝั่งจริงๆก็มาอำลาตายจากกันหมด
ออกไปทะเลลึกหน่อย ถ้าไม่เจอคลื่นลมแรงก็ยังพอบันเทา 
 หากเจอพายุคลื่นลมกระหน่ำก็แย่ แต่เราก็ต้องทนไม่ท้อ
เพราะมันเป็นอาชีพของเราทั้งนั้น จะละทิ้งไปได้อย่างไร
ต้องอนุรักษ์อาชีพไว้ให้คนรุ่นหลังได้สืบต่อ
เรายังยึดถือคติประจำใจอันมั่นคงว่า
 "เราจะไม่เห็นแก่ตัว เราไม่กลัวลำบาก"
ตราบใดที่มือเท้ายังดีเราก็จะทำกินต่อไป
ปัจจุบันพวกเราถูกคุกคามด้วยโรคแพ้ละอองฝุ่น ที่เขาปล่อยออกมา
โดยไม่แก้ไขใดๆ โรคที่หมอก็จนปัญญายกเว้นย้ายบ้านหนี
ถึงแม้เราจะตายก็ไม่เสียดายชีวิตหรอกเพราะอยู่มานานแล้ว
 แต่สงสารลูกเล็กเด็กแดงนีซิ จะทำอย่างไร ใครจะช่วยได้บ้าง
ความลำบากนอกจากโรงงานปล่อยสารพิษแล้ว 
 ยังถูกพวกเห็นแก่ตัวนำอวนลากมาลากปลาชายฝั่งไปจนหมด
ไม่เว้นแม้ลูกปลาลูกปูลูกกุ้งลูกหอย เรียกว่าทำลายเผ่าพันธุ์กันไปเลยละ
เพื่อจะได้บรรดาลูกกุ้งหอยปูปลาไปส่งให้โรงงานปลาป่น
โรงงานนี้ทำลายทรัพยากรธรรมชาติทางทะเลมากมาย
  เจ้าของโรงงานเป็นเศรษฐีติดอันดับโลกเชียวนะขอบอก
ใครจะก่นด่า ใครจะสาปแช่งอย่างไรก็ไม่สนใจ 
 ทำทุกอย่างเพื่อให้โลกทั้งโลกได้รู้ว่าข้าเป็นคนรวย
คนรวยจากการสนับสนุนการทำลายทรัพยากรธรรมชาติ
ทั้งทางทะเลและทางบก ไม่เชื่ออย่าลบหลู่
ทำลายทุกอาชีพเก่าแก่ของคนไทย ตั้งแต่ร้านโชห่วย
ไปจนถึงข้าวปลาธัญญาหารทั้งหมด ทรัพยากรทางทะเลก็โดน
"แต่พวกคุณไม่ต้องกลัวนะ" นี่คือคำเจ้าสัวปลอบโยน 
  เราได้ตั้งร้านสะดวกซื้อไว้ทั่วประเทศไทยแล้ว
คุณไปตรงไหนคุณก็หาซื้อได้
สินค้าของเรามีราคาตายตัวแน่นอนต่อไม่ได้ เชื่อไม่ได้
เรารับเฉพาะเงินสดเท่านั้น มีทุกอย่างกระทั่งข้าวราดแกง
แล้วอย่างนี้คนจนพื้นบ้านจะมีโอกาสลืมตาอ้าปากกับเขาไม๊เนี่ย 
 เราเอาปลาป่นทรัพยากรทางทะเลไปเลี้ยงหมูเลี้ยงไก่
แล้วเราก็กำหนดราคาขายเองทุกอย่าง 
  จะถูกจะแพงก็แล้วแต่ชตากรรมของผู้บริโภคก็แล้วกัน ไม่ซื้อก็ไม่ง้อ














สิ่งที่หามาได้ก็แค่ปลาเล็กปลาน้อยกุ้งปูตัวไม่ใหญ่เหมือนเก่า
  แค่นำมาประทังกินกันตายได้ก็แค่นั้น
อย่าได้คิดหวังจะหาได้เต็มลำเรือแบบเก่าไม่มีแล้ว
  ได้แค่กิโลสองกิโลก็ถือว่าดีแล้ว 
 ดีกว่าออกไปแล้วไม่ได้อะไรเลยซึ่งก็บ่อย
ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เกิดจากฝีมือมนุษย์ทั้งนั้น
   ที่ทำร้ายทำลายธรรมชาติ 
 ทรัพยากรทางทะเลถูกพวกอวนลากทำลาย่
ถูกโรงงานปล่อยน้ำเสียปล่อยสารพิษทำลาย 
  กรมประมงยังนอนตาหลับกันอยู่หรือนิ่งดูดายธุระไม่ใช่หรือไง














ออกทะเลทั้งวันหาได้แค่เล็กน้อย แต่เราก็มีความสุข
  เพราะเราอยู่กันอย่างพอเพียง กินใช้เฉพาะสิ่งจำเป็นเท่านั้น
ใครจะคิดร้ายทำลายทรัพยากรได้ก็เชิญทำไป 
 แต่อย่ายืดหน้าอวดว่าข้าเป็นพุทธศาสนิกชนเป็นอันขาด เพราะมันบาป



Create Date : 28 พฤษภาคม 2556
Last Update : 21 กุมภาพันธ์ 2558 19:48:38 น.
Counter : 6340 Pageviews.

1 comment
<<< ปลาตุมังตุเม หรือหูช้าง >>>






ปลาชนิดนี้ใกล้จะสูญพันธุ์แล้ว เพราะจับได้น้อยมาก
 บ้านเราเรียกปลาหูช้างหรือตุมังตุเม
ซึ่งก็ไม่รู้ว่าทำไมเรียกอย่างนี้
แต่ชื่อหูช้างน่าจะเข้าทีกว่าเยอะ
เพราะตัวแบนเหมือนหูช้าง
แถมมีผิวค่อยข้างดำด้วย หูช้างชัดๆ


ตัวนี้เป็นปลาโป๊ะจับได้แค่ตัวเดียวเท่านั้นเอง
ตั้งแต่เกิดมาจนบัดนี้ยังไม่เคยเห็นจับได้เป็นฝูงเลยสักครั้ง
คงจะขยายพันธุ์ยากแน่เลย และในไม่ช้า
ก็จะหมดทะเลไปเองอย่างแน่นอน

ดีใจที่ได้เห็นว่ายังไม่สูญพันธุ์
เลยนำมาให้รู้จักเธอบ้างก่อนที่จะลืมเธอไป

ที่แน่ๆเนื้อเธออร่อยนะ
บ้านเราชอบเอาไปต้มลูกคะน้าดอง อร่อยมาก







Create Date : 19 กันยายน 2555
Last Update : 21 กุมภาพันธ์ 2558 20:09:52 น.
Counter : 3187 Pageviews.

0 comment
(•‿•✿) ....แมงกะพรุน.....จ๋า อย่าลองดี ,,,,, เดี๋ยวโดนหม่ำ ✿



"แมงกะพรุน" ชื่อนี้ใครๆๆก็รู้จักเธอทั้้งนั้น เธอน่ะเวลาแหวกว่าย
อยู่ในท้องทะเล น่ะกางตัวออกทำกร่างเชียวละ แหวกว่ายอวดโฉมไปมา
นึกว่าตัวเองน่ะเลิศซะไม่มีละ แถมยังทำร้ายคนที่ไปถูกเนื้อต้องตัวเธอจน
ปวดแสบปวดร้อนหนังพองเหมือนโดนไฟลวกเชียวละ
ทำราวกับว่าตัวน่ะเป็นสาวน้อยแสนงามแต่พิษรอบตัวพร้อมจะห้ำหั่น
บรรลัยกับใครก็ได้ที่เข้ามาหาเธอ เธอจะรับประทานปลาเล็กปลาน้อย
หรือแม้แต่หมึก กุ้ง ปู หอย เธอก็ฟาดเรียบ แค่เธอแหวกว่ายเข้าไปหา
พวกสัตว์เล็กสัตว์น้อยที่หลงเข้ามาพักพิงใต้ร่มเงาของเธอก็จะถูกพิษจน
สลบและตายไปในที่สุด เธอร้ายไม๊จ๊ะ ร้ายพอๆๆกับสาวรูปงามเชียวละ
ฮ่าๆๆๆ ระวังหน่อยก็แล้วกันนะจ๊ะพ่อหนุ่มมือไวทั้งหลาย ฮิๆๆๆ


แมงกะพรุน น่ะมีหลายชนิดนะ แต่ที่เรานำมารับประทานก็เห็น
จะมีแต่ แมงกระพรุนถ้วย นี่แหละ เราเอาสวิงช้อนมันมาจากทะเลที่มัน
ลอยตัวอวดโฉมว่ายไปมาอยู่นั่นแหละ คอยดูนะกระพรุนจ๋าเธอแน่แค่ไหน
ก็ต้องแพ้เราอยู่นั่นเอง เพราะถ้าเราพบเธอละก็...เธอต้องโดนจับตัวมา
เฉือนดองเปลือกอินทรีแน่นอน เมื่อดองแล้วเราก็จะจัดการเธอทั้งดิบๆๆนี่
แหละ (ต้องลองไปดูวิธีรับประทานกระพรุน จาก หัวข้อนำทะเลมาปรงแต่ง)
ในฤดูที่แมงกะพรุนมีมากเราก็จะช้อนมันขึ้นมาดอง เก็บไว้กินนานๆ และ
ทำกระพรุนแห้ง เพื่อส่งต่อร้านอาหารที่เขาไปใส่เมนูแมงกะพรุนนั่นแหละ

การทำกะพรุนแห้งนั้นเราไม่ใช้หนวด เราใช้เฉพาะตัวร่มที่กางแหวกว่าย
ไปมาเท่านั้น และวิธีทำก็ไม่ยากอะไรเพียงแต่เราล้างเมือกให้สะอาด
แล้วก็หมักกับเกลือ วางเรียงซ้อนไว้เป็นชั้นๆๆ จนกว่ามันจะแห้งเหลือ
แต่หนังเท่านั้น ค่อยเอามากิน แต่ต้องล้างมากๆๆนะ เพราะเค็มจริงๆๆ
โอ๊ย....เสียเวลา สู้ดองเปลือกไม้อินทรีไม่ได้ สองวันก็ได้กินแล้ว แถม
ตรงหนวดยังอร่อยที่สุด เคี้ยวกรุบๆๆกรับๆๆ ไม่ทำร้ายฟันเลยละ
แม่เราบอกว่าเด็กๆ ควรกินแมงกะพรุน เพราะมันรักษาโรคตาลโขมยได้
เราก็ฟังมา แต่จะให้เชื่อได้ไงล่ะ เพราะเกิดมายังไม่เคยมีโอกาสเป็นโรค
ตาลโขมยเลยนี่นา......ฮิๆๆๆๆ





Create Date : 13 กันยายน 2554
Last Update : 14 กันยายน 2554 9:56:22 น.
Counter : 1527 Pageviews.

0 comment
(•‿•)✿ มีชื่ออื่นอีกไม๊จ๊ะ...เจ้าปลาหมงโกย



เมื่อเช้าเข้าไปเป็นพระยาน้อยชมตลาดสด ถูกแม่ค้าต่อว่าต่อขาน
ว่าหายไปเสียหลายวันเชียวนะ ไม่อยากจะบอกเธอว่า "ก็ฉันมันฟุ้งนี่เลยต้อง
ไปขจัดความฟุ้งซ่านเสียหลายวัน " พลันสายตาก็เหลือบไปพบเจ้าปลา
หมงโกย ตัวใหญ่ๆทั้งนั้นเลย สดจี๋ ก็เธอเป็นปลาโป๊ะนี่นะ เกร็ดเธอถึง
ได้เป็นประกายล้อแสงไฟเล่นซะขนาดนั้น ชื่อเธอที่เราเรียกนั้นเป็นชื่อจีน
ก็บ้านเราเรียกอย่างนี้นี่นา เธอต้องมีชื่ออื่นที่ไพเราะอีกแน่แต่เราไม่รู้จัก
ชื่ออื่นของเธอเท่านั้้นเอง ใครรู้ก็ช่วยบอกให้คนอื่นๆๆเขารู้ด้วยก็แล้วกันนะ
ปลาชนิดนี้มีเกร็ดแข็ง เนื้อนุ่ม ก้างเยอะเหมือนปลาตะเพียน แต่เธอมี
ความมันมาก อร่อยมากขอบอก แต่ถ้ารับประทานไม่เป็นก้างจะตำคอ
เธอได้นะจ๊ะ คนจีนเขาจะเอาไปต้มเคี่ยวกับผักกาดดอง เคียวจนปลาก้างยุ่ย
น้ำงวด กินได้ทั้งตัวอร่อยเฉกเช่นปลาตะเพียนเลยนะ ไม่ต้องทำอะไรมาก
แค่ล้าง เกร็ดก็ไม่ต้องขอดทิ้ง ต้มมันทั้งตัวนั่นแหละ อร่อยเชียว แต่ฉัน
ไม่ค่อยชอบทำแบบนั้นหรอกกว่าจะได้กินรอจนเบื่อ สู้ล้างให้สะอาด
แบบว่าต้มกับน้ำปลาดี บีบมะนาวซะหน่อย บุบพริกใส่สักนิด อร่อยสุดๆ


ปลาชนิดนี้มีอยู่ทั่วไปแหละ แต่ฉันได้กินแต่ปลาโป๊ะเท่านั้น
ทำไงได้ล่ะจ๊ะ ก็เป็นลูกคนทำโป๊ะนี่ อ้อ....ลืมบอกไปวันนี้แม่ค้าใจดี
เธอบอกว่าดีใจที่เห็นฉันมา เลยให้ปลามาฟรีๆๆ ซะงั้น จ่ายตังก็ไม่ยอมรับ
เราเกรงใจจัง แต่มองดูก็แค่ประมาณ สัก 20 บาทได้ ก็โหสิแล้วกันนะ
เธอเล่าว่า วันนี้่จับปลาโป๊ะได้มากแต่ไม่ค่อยได้ปลาหมึก ได้ปูม้ามาสัก
สองกิโล ตอนเอาปลาออกขาย คนซื้อมุงเต็ม มีคนมาเลือกปูใส่ถุงแต่
มัวยุ่งๆๆกับลูกค้าหันไปอีกที คนนั้นก็ฉกปูไปซะแล้ว โธ่เอ๊ย....ฉกของ
แพงซะด้วย ปูน่ะกิโลละตั้งเกือบ 300 บาท มันทำได้ลงคอนะ น่าเห็นใจ
จริงๆ ดูเอาเถอะความเจริญไม่ได้ช่วยให้ใจเจริญขึ้นมาเลยนะ เศร้าจริงๆ





Create Date : 08 กันยายน 2554
Last Update : 21 กุมภาพันธ์ 2558 20:14:45 น.
Counter : 5746 Pageviews.

1 comment
(•‿•✿) ปลากะตัก



"ปลากะตัก" หรือ "ปลาใส้ตัน" บ้านเราเรียกอย่างนี้แหละ
ปลาชนิดนี้ถ้าตัวเล็กๆๆเป็นลูกปลาน่ะเขาเอามาทำน้ำปลา หรือไม่ก็ตากแห้ง
ทำเป็นปลากะตักแห้ง ใช้รับประทานกับข้าวต้มกุ๊ย หรือจะทานกับอะไรก็ได้
แล้วแต่ความปรารถนาของคุณ แต่ถ้าตัวโตๆๆ อย่างในรูปนี่น่ะมักจะเอามา
ทำกะตักแดดเดียว หรือแกงป่าปลากะตักก็เข้าทีนะจ๊ะ อร่อยทั้งนั้นแหละ
การทำปลากะตักนั้นไม่ต้องใช้อาวุธมีคมใดๆๆให้ระคายผิวของเธอหรอกนะ
แค่ใช้มือ นิ้วมือ เล็บมือ ก็สามารถทำเธอรับประทานได้แล้ว หัวปลากะตัก
ไม่เหมือนปลาอื่นหรอกนะ เราไม่นิยมรับประทานหรอกนอกจากจะแข็งแล้ว
ยังขมอีกต่างหาก ไม่เชื่อต้องลองดูนะจ๊ะ


การทำปลากะตักแดดเดียวแสนจะง่าย ใช้ปลากะตักตัวโตอย่าง
ที่เห็นนี่แหละ เอามือเด็ดหัวทิ้งไป จากนั้นก็ใช้นิ้วโป้ง ดันตรงท้องดันไป
ค่อยๆๆบีบระหว่างสันหลังกับท้องให้เนื้อหลวม แล้วดันไปจนถึงหาง จากนั้น
ก็ค่อยๆๆแบะเนื้อออกดึงก้างกลางออกซะ แค่นี้แหละเสร็จแล้ว แล้วเราก็
นำไปชุบกับน้ำปลาน้ำตาลปี๊บที่ผสมกันไว้ ใส่ซีอิ้วหน่อยเพื่อให้สีสวยเวลา
ตากแดดแล้วนำมาทอด คลุกเคล้าให้ทั่วแล้วก็ใส่ตะแกรงเรียงตัวตากแดด
บ้านเราตอนนี้แดดแรงมาก ตากแค่ครึ่งวันก็ได้ปลากะตักแดดเดียวแล้ว
จ้า เวลาทอดอย่าใช้ไฟแรงเกินไปนะจ๊ะ มันจะไหม้ขมน่ะ


ลูกปลากะตักถ้าจะนำมากตากเป็นปลากะตักแห้งก็ไม่ยาก นำ
ลุกปลาลงไปล้างซาวในน้ำเกลือ จากนั้นก็ใส่ตะแกรงตาถึ่ ตากไปสักแดด
สองแดด แล้วนำมาเด็ดหัวทิ้ง แค่นี้แหละนำมาทอดรับประทานได้แล้วละ

เอาลูกปลากะตักมาทำน้ำปลาก็ง่ายอีกนั่นแหละใช้สูตรปลาหนึ่ง
เกลือหนึ่ง ผสมกันแล้วใส่โอ่งหมักสัก 8 เดือนขึ้นไปถ้าปีกว่ายิ่งดีหอม
เป็นที่หนึ่งเลยละ จากนั้นก็ใช้ไม่ไผ่สานเป็นตะแกรง แหย่ลงไปในโอ่ง
ตักเนื้อปลาให้อยู่รอบๆๆ น้ำปลาจะทะลักเข้าตามรูตะแกรง แล้วเราก็ตัก
ขึ้นมา เขาเรียกหัวน้ำปลานะ บ้านเราทานอย่างนี้แหละไม่ต้องทำอะไร
ทั้งหอมและไม่เค็มมากหรอก แต่ถ้าน้ำสอง หรือน้ำสาม เราก็เอามาทำ
กับข้าว เราจะเอามาต้มก่อนให้เดือด จากนั้นก็กรองด้วยกระดาษกรอง
ของจีนน่ะ มันจะใสน่ารับประทานเก็บไว้ได้นาน บางทีเขาก็ทุบอ้อยทั้งลำ
ใส่ลงไปรองก้นตะแกรงตอนกรองเพื่อให้เกิดรสหวานก่อนนำมาเคี่ยว แต่
บางทีหาอ้อยไม่ได้ก็ใช้น้ำตาลทรายแดงใส่ลงไปเคี่ยวเลยก็มีนะ นี่คือการ
ทำน้ำปลาแบบชาวบ้าน ไม่มีสารกันบูด หรือสารเคมีใดๆๆทั้งสิ้น แต่ที่เรา
ซื้อรับประทานอยู่นั้นไม่ทราบหรอกค่ะว่าเขามีส่วนผสมอะไรบ้าง แต่อย่าง
น้อยก็ขอให้มีปลาเป็นตัวหลักก็แล้วกัน อย่าได้เอาน้ำเกลือมาผสมกลิ่น
ปลาขายเป็นใช้ได้ ระวังหน่อยแล้วกันนะจ๊ะ


ส่วนการนำมาทำอาหารก็แค่เด็ดหัวทิ้งก็นำมาแกงป่า หรือนำมา
ต้มหวานได้แล้วละจ้า ลองดูนะจ๊ะ







Create Date : 08 สิงหาคม 2554
Last Update : 21 กุมภาพันธ์ 2558 20:16:34 น.
Counter : 5654 Pageviews.

1 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ