Group Blog
All Blog
### ผู้ปฏิบัติต้องรักษาจิตใจให้อยู่ในทำนองคลองธรรม ###











“ผู้ปฏิบัติต้องรักษาจิตใจ

ให้อยู่ในทำนองคลองธรรม”

ผู้ปฏิบัติต้องมีความเข้มงวดกวดขัน

ต้องรักษาจิตใจให้อยู่ในทำนองคลองธรรม

 ลดละกิเลสตัณหา ละลาภยศสรรเสริญ

และการหาความสุขจากรูปเสียงกลิ่นรสต่างๆ

 ถ้าไปสมัครเป็นผู้แทนฯ

 แสดงว่าไม่ได้อยู่ในทางธรรมแล้ว

กำลังไปในทางกิเลสตัณหา

ไปสู่กองทุกข์ ไปสู่ความหายนะ

ถ้าไม่ระมัดระวัง ถ้าไม่รักษาศีล

 ไปทำผิดกฎหมาย ก็ต้องไปติดคุกติดตะราง

ตายไปก็ต้องไปใช้กรรมในอบาย

จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม

 แต่คนที่มีปัญญาจะเชื่อ ไม่สงสัย

ไม่กล้าทำบาปทำกรรม

ตัดการหาลาภยศสรรเสริญ

 หาความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย

ทำไมพระพุทธเจ้าและพระสาวก

ไม่แสวงหาลาภยศสรรเสริญสุข

อย่างที่พวกเราแสวงหากัน

เพราะไม่ใช่ทางไปสู่การดับทุกข์

ทำไมพวกเรายังดันทุรังไปทางนี้กัน

 เพราะถูกกิเลสกล่อมอยู่ตลอดเวลา

 ไม่ปลุกธรรมขึ้นมากล่อม

เวลาครูบาอาจารย์จากไปแต่ละครั้ง

จะรู้สึกว้าเหว่มาก

เพราะไม่ได้สร้างที่พึ่งภายในใจ

 ไปยึดติดที่พึ่งภายนอก ซึ่งเป็นที่พึ่งชั่วคราว

 ไม่ถาวรเหมือนกับที่พึ่งภายใน

จึงควรสร้างที่พึ่งภายในใจด้วยการปฏิบัติ

 กำหนดเวลาปฏิบัติ อย่าปฏิบัติตามอารมณ์

 ต้องกำหนดว่าจะภาวนาวันละกี่ชั่วโมง

 รักษาศีลกี่ข้อ ลดละการหาความสุข

ทางรูปเสียงกลิ่นรส เช่นดูโทรทัศน์ฟังเพลง

อ่านหนังสือไร้สาระกี่ชั่วโมง

ต้องกำหนดตารางขึ้นมา

ถ้าไม่กำหนด ปล่อยให้ไหลไปตามอารมณ์

ก็จะไปทางของกิเลสตัณหาตลอดเวลา

 เพราะกำลังของกิเลสตัณหา

มีกำลังมากกว่าธรรม

 ต้องกำหนดต้องควบคุมบังคับ

ถึงจะมาทางธรรมได้

 ต้องดึงใจให้มาทางธรรมให้ได้

อย่าไปเสียดายทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่เป็นอยู่

ต้องนึกอยู่เรื่อยๆว่า

สักวันหนึ่ง จะต้องจากเราไป

 หรือเราต้องจากเขาไป

 จะไม่ได้รับประโยชน์อะไรจากเขา

 เวลาไปไม่สามารถเอาเขาไปได้

สิ่งที่เอาไปได้คือบุญหรือบาป

ความสงบหรือความวุ่นวาย

 ความหิวหรือความอิ่ม

ถ้าไปกับความสงบกับความอิ่ม

ก็จะไปกับความสุข

ถ้าไปกับความหิวกับความอยาก

ก็จะไปกับความทุกข์

ต้องคิดพิจารณาความไม่มีคุณค่า

ของสิ่งต่างๆที่เรามีอยู่

สิ่งที่มีคุณค่ากับชีวิตจิตใจก็คือธรรม

ที่พระพุทธเจ้าทรงมอบไว้ให้กับพวกเรา

 ให้รีบตักตวงให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้

 เพื่อจะได้เป็นเสบียง เป็นยาน

ที่จะพาจิตใจไปสู่ความสิ้นสุดของความทุกข์

 ถ้าสามารถเข้าสู่กระแสของพระนิพพานได้แล้ว

 ก็จะปลอดภัย ช้าหรือเร็ว

อย่างน้อยก็รู้ว่าจะต้องไปถึง

พระนิพพานอย่างแน่นอน

ถ้าทำไม่ได้เวลาตายไป

ก็จะไปแบบว่าวหางขาด

จะลอยไปตามลมของบาปและบุญ

 ถ้ามีธรรมอยู่ภายในใจ

ก็จะเหมือนมีเครื่องบินลากจูงว่าว

 ให้ไปสู่จุดหมายปลายทางที่ปรารถนา

จึงควรจะรีบตักตวงธรรมให้มากที่สุด

เท่าที่จะมากได้ โดยเฉพาะธรรมปฏิบัติ

คือจิตตภาวนา ต้องทำให้มาก เจริญสติให้มาก

 ให้ถือการเจริญสติเป็นงานหลัก

 ในทุกอิริยาบถ ทุกวันทุกเวลา

 ในขณะที่ตื่น ให้มีสติ

ที่เป็นเหมือนบังเหียนควบคุมม้า

 ถ้าไม่มีบังเหียน จะไม่สามารถควบคุมม้า

ให้ไปตามทางที่ต้องการได้

ใจก็เช่นเดียวกัน ถ้าไม่มีสติ

ก็จะไปตามอารมณ์ ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง

ส่วนใหญ่จะไม่ดี จะพาไปสู่ความเสื่อมเสีย

 ความทุกข์ ความวุ่นวายใจ

ต้องฝึกสติให้มาก เพื่อจะได้พาใจ

ให้เข้าสู่ความสงบ ความเป็นหนึ่ง

 เป็นเอกัคคตารมณ์ เป็นอุเบกขา

พอเข้าถึงจุดนี้ได้แล้ว

ก็จะสามารถเอาธรรมของพระพุทธเจ้า

มาสอนใจได้ สอนให้ปล่อยวาง

ให้ตัด ให้ละได้

ถ้าไม่มีสมาธิคือความสงบ

ความเป็นหนึ่งของใจ

 จะสอนอย่างไรก็จะไม่ฟัง

 ถ้ามีสมาธิแล้วจิตจะทำตาม

สอนให้หยุดก็จะหยุด

ถ้าไม่มีสมาธิจะหยุดไม่ได้

 เวลาโกรธก็หยุดไม่ได้ เวลาโลภก็หยุดไม่ได้

 เวลาอยากได้อะไรก็หยุดไม่ได้

 ถ้ามีสมาธิแต่ยังไม่สามารถพิจาณาว่า

เป็นอนิจจังทุกขังอนัตตา

อย่างน้อยก็จะหยุดความอยากได้ชั่วคราว

ด้วยการเข้าไปในสมาธิ

 ต่อไปถ้าพิจารณาเห็นอนิจจังทุกขังอนัตตา

 ในสิ่งที่อยากได้อยากมีอยากเป็น

ก็จะสามารถตัดความอยากได้อย่างถาวร

 สมาธิจึงเป็นเครื่องมือที่สำคัญมาก

ในการทำให้ใจเป็นอิสระ เป็นตัวของตัวเอง

 ทุกวันนี้ใจไม่ได้เป็นของตัวเอง

ใจเป็นทาสของกิเลสตัณหา ความอยากต่างๆ

 ที่ทำให้เกิดความทุกข์ใจ

วุ่นวายใจ และปัญหาต่างๆ

ธรรมจึงมีความสำคัญมาก

เพราะมีธรรมเท่านั้นที่จะทำให้ใจหลุดพ้น

จากอำนาจของกิเลสตัณหาและความทุกข์

อยู่ที่ไหนจะมีแต่ความสุข

จะยากดีมีจนไม่สำคัญ

เพราะไม่ใช่เหตุของความสุขทุกข์ภายในใจ

 เหตุคือธรรมกับกิเลส

 ถ้ามีธรรมไม่มีกิเลสก็จะมีแต่ความสุข

 ถ้ามีกิเลสไม่มีธรรมก็จะมีแต่ความทุกข์

 ไม่ได้อยู่ที่ร่ำรวยหรือยากจน

 ไม่ได้อยู่ที่มีตำแหน่งสูงหรือไม่สูง

ไม่ได้อยู่ที่การยกย่องสรรเสริญ

หรือตำหนิติเตียนนินทา

ไม่ได้อยู่ที่รูปเสียงกลิ่นรส

 แต่อยู่ที่ธรรมกับกิเลสเท่านั้น

ถ้ามีธรรมใจก็จะสงบ มีความสุข

จะอิ่มจะพออยู่ตลอดเวลา ไม่อยากจะได้อะไร

ไม่อยากจะมีอะไร ไม่อยากจะเป็นอะไร

 อยู่เฉยๆดีที่สุด สบายที่สุด

ขอให้เอาจริงเอาจัง

เอาเป็นเอาตายกับการปฏิบัติ

พิจารณาถึงความตายอยู่เรื่อยๆ

 ชีวิตก็จะสั้นลงไปเรื่อยๆ

ความสุขจากสิ่งต่างๆในโลกนี้

เป็นของชั่วคราว

 สุขตอนที่ได้สัมผัส พอผ่านไปแล้ว

เหมือนไม่ได้สัมผัสเลย

จึงต้องคอยเติมอยู่เรื่อยๆ

 เติมเท่าไรก็เป็นเหมือนเดิม

กลับมาที่ศูนย์เหมือนเดิม

 กลับมาที่ความอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวเดียวดาย

 ความว้าเหว่ ความหิว ความอยาก

ถ้ามีธรรมแล้วจะไม่เป็นอย่างนี้

จะมีแต่ความสุขสบาย มีแต่ความพอ

นี่คือคุณค่าของธรรม

ถ้าได้สัมผัสกับความสงบของใจแล้ว

จะปล่อยวางทุกอย่างได้

พวกเราพยายามเข้าไปถึงจุดนั้นให้ได้

 เข้าไปสู่ความสงบของใจให้ได้

พระพุทธเจ้าทรงสละราชสมบัติได้

 ก็เพราะในสมัยที่ทรงพระเยาว์

เคยได้สัมผัสกับความสุข

 ที่เกิดจากความสงบพระทัย

ขณะที่ประทับอยู่ตามลำพัง

ไม่มีบริษัทบริวารห้อมล้อม

 พอกายวิเวก จิตก็วิเวกตาม

เพราะในอดีตเคยเป็นมาแล้ว

 เคยเข้าถึงจุดนี้มาแล้ว

พอมีเหตุปัจจัยคือกายวิเวก ใจก็วิเวกตามทันที

 ไม่ได้เกิดกับทุกคน

 บางคนนั่งอยู่คนเดียว แทนที่ใจจะสงบ

กลับว้าเหว่หวาดกลัว

 แสดงว่ายังไม่เคยได้สัมผัส

กับความสงบของใจมาก่อน แต่ถ้าเคยแล้ว

เวลาอยู่คนเดียวในที่เงียบสงบสงัด

 ความสงบของใจจะตามมาทันที

 พยายามทำให้ได้ ถ้าทำได้แล้วจะติดไปกับใจ

 ถึงแม้ไปเกิดภพหน้าชาติหน้า

ไม่มีพระพุทธศาสนา ก็จะไม่หลงทาง

 จะรู้ว่าความสุขที่แท้จริงอยู่ที่ใจ

ไม่ได้อยู่ที่ลาภยศสรรเสริญสุข

 จึงควรให้ความสำคัญต่อการปฏิบัติจิตตภาวนา

ให้ถือการเจริญสติเป็นงานหลัก

 เป็นกิจที่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง

ตั้งแต่ตื่นจนหลับ

 เวลาไม่มีภารกิจที่ต้องทำ

 ก็ให้หามุมสงบนั่งหลับตาทำจิตให้สงบ

พอจิตถอนออกมาจากความสงบ

ก็สอนจิตให้รู้จักอนิจจังทุกขังอนัตตา

พิจารณาไปเรื่อยๆ จะเห็นชัดขึ้น

จนเห็นว่าไม่มีอะไรในโลกนี้น่ารักน่าสงวน

น่ามีไว้ครอบครองเลย เห็นว่าเป็นทุกข์ทั้งนั้น

 เป็นอนิจจังทุกขังอนัตตา ไม่เที่ยง

 เป็นทุกข์ถ้าไปยึดติด ไม่ใช่ตัวเราของเรา

ควบคุมบังคับไม่ได้

นี่คือผลที่จะเกิดขึ้นจากการปฏิบัติ

ถ้าปฏิบัติแล้วผลต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

 เพราะเป็นอกาลิโก ไม่ได้ขึ้นกับกาลเวลา

 เกิดขึ้นได้ในสมัยพุทธกาล

 ก็เกิดขึ้นได้ในสมัยปัจจุบัน

ถ้ามีเหตุก็ต้องมีผลตามมา

 เหมือนต้นไม้ในอดีต

ที่โตขึ้นมาได้เพราะน้ำกับดิน

สมัยนี้ก็โตขึ้นมาได้เพราะน้ำกับดินเช่นกัน

ความจริงของเหตุและผลไม่เปลี่ยน

อยู่ที่ตัวเราเท่านั้น เราต้องปฏิบัติเอง

ผู้อื่นปฏิบัติให้เราไม่ได้

 สิ่งที่พวกเรากำลังขาดกันมากๆ

 ก็คือการสอนใจเตือนใจ ให้ปล่อยวาง

ให้ลดละการดำเนินชีวิตไปในทางกิเลส

 แล้วหันมาดำเนินชีวิตไปในทางธรรม

ให้มากขึ้นไปตามลำดับ

ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถไขว่คว้า

 เอาสิ่งที่ดีที่งาม ที่เลิศที่ประเสริฐได้

 เราต้องไขว่คว้าเอง

 ผู้อื่นไม่สามารถไขว่คว้าให้เราได้

ขอให้พยายามทำต่อไป สู้ไม่ถอย.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

....................

กัณฑ์ที่ ๔๒๕ วันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๕๔

“สักกายทิฐิ”






ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 09 พฤศจิกายน 2559
Last Update : 9 พฤศจิกายน 2559 9:56:31 น.
Counter : 795 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ