Group Blog
All Blog
### ความร่มเย็นเป็นสุข ###









“ความร่มเย็นเป็นสุข”

บุญก็คือการทำทาน รักษาศีล นั่งสมาธิ

กุศลก็คือปัญญาความฉลาด

เกิดจากการพินิจพิจารณาสภาวธรรมทั้งหลาย

 ตามแนวที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้พิจารณา

 ให้มองว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้

ล้วนเป็นอนิจจังทุกขังอนัตตา

ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม

จะเป็นวัตถุ เป็นบุคคล

 ล้วนอยู่ภายใต้กฎของไตรลักษณ์ทั้งนั้น

มีความไม่เที่ยงเหมือนกัน

 เกิดแก่เจ็บตายเหมือนกัน มีเกิดมีดับ

 เหมือนกับเสียงที่กำลังได้ยินอยู่นี้

 ก็มีการเกิดดับ เวลาพูดก็เกิด

 พอหยุดพูดเสียงก็ดับหายไป

 ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้เป็นอย่างนี้ทั้งนั้น

 ไม่มีอะไรจะอยู่กับเราไปตลอด เมื่อเป็นเช่นนั้น

ก็ไม่สามารถให้ความสุขกับเราไปได้ตลอด

เวลาอยู่เราก็สุข พอจากไปเราก็ทุกข์

เสียอกเสียใจ เพราะไม่ได้เป็นของเราอย่างแท้จริง

ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่เป็นสมบัติของเรา เป็นตัวเรา

 เป็นเพียงสมมุติเท่านั้นเอง

เวลาได้ร่างกายนี้มาก็สมมุติว่าเป็นตัวเราเป็นของเรา

 แต่อยู่ไปสักระยะหนึ่งก็ต้องตายไป

 กลับไปสู่เจ้าของเดิม ไปสู่ดินน้ำลมไฟ

ไม่ได้เป็นของเราเป็นตัวเราอย่างแท้จริง

 นี่คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้พินิจ

 พิจารณาอยู่เรื่อยๆ ถ้าเห็นแล้วจะไม่หลงยึดติด

 ก็จะไม่ทุกข์กับอะไร

 เพราะความทุกข์เกิดจากความหลงยึดติด

 เวลายึดติดกับอะไรก็จะต้องทุกข์กับสิ่งนั้นๆ

 แต่สิ่งใดที่ไม่ยึดติด ก็จะไม่ทุกข์ด้วย

เช่นคนอื่นหรือสิ่งของของคนอื่น

เราไม่เดือดร้อนเวลาเป็นอะไรไป

ถ้าไม่เกี่ยวข้องกับเรา เราไม่เดือดร้อนไม่ทุกข์ด้วย

 แต่คนที่เราเกี่ยวข้องด้วย

 ที่เราหลงยึดติดว่าเป็นลูกเรา สามีเรา ภรรยาเรา

 เป็นพ่อเป็นแม่เรา พอเป็นอะไรขึ้นมา

 เราก็ทุกข์วุ่นวายใจทันที เพราะไม่มีกุศล

ไม่มีปัญญานั่นเอง ยังหลงติดอยู่ในสมมุติ

หลงติดว่าเป็นพ่อเป็นแม่ เป็นลูก

เป็นสามี เป็นภรรยาของเรา

แต่พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้เห็นด้วยปัญญาแล้วว่า

 ไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเรา

เป็นสมมุติเท่านั้นเอง

เป็นธาตุ ๔ ดินน้ำลมไฟที่มารวมกับธาตุรู้คือใจ

 ก็ปรากฏเป็นสัตว์เป็นบุคคลขึ้นมา

 เป็นคน เป็นสุนัข เป็นแมว เป็นนก

ล้วนเป็นการรวมกันของธาตุ ๔

ดินน้ำลมไฟและธาตุรู้คือใจ

 แล้วก็สมมุติว่าเป็นพ่อเป็นแม่เป็นลูกกัน

 เป็นพี่เป็นน้องกัน เป็นสามีเป็นภรรยากัน

 หลงยึดติดว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ

ทั้งๆที่เป็นเหมือนกับการเล่นละคร

พวกเราเป็นเหมือนตัวละคร ที่ถูกสมมุติ

ให้เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้

 สมมุติว่าคนนั้นคนนี้เป็นพ่อเป็นแม่ของเรา

เราก็หลงเชื่อเต็มที่เลย เวลาเขาเป็นอะไรไป

 เราก็ทุกข์วุ่นวายใจ กินไม่ได้นอนไม่หลับ

 เพราะไม่เคยสร้างกุศล ไม่เคยเจริญปัญญา

 ไม่เคยพิจารณาว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้

เป็นสมมุติทั้งนั้น

เหมือนกับเอาดินมาปั้น

 แล้วก็สมมุติว่าเป็นพ่อเป็นแม่เป็นลูก

 แต่ความจริงก็มาจากดินเท่านั้น

ฉันใดร่างกายของเราก็มาจากดินน้ำลมไฟเท่านั้นเอง

 เวลาตายไปก็กลับไปสู่ดินน้ำลมไฟ

 ถ้าคิดพิจารณาอย่างนี้อยู่เรื่อยๆแล้วจะไม่หลงยึดติด

 จะปล่อยวาง จะไม่คิดว่าเป็นตัวเราของเรา

 เป็นพ่อเป็นแม่เป็นลูกเรา สามีเรา ภรรยาเรา

 เป็นการเล่นละครเท่านั้นเอง เป็นสมมุติ

 เมื่อรู้อย่างนี้แล้วรับรองได้ว่า

ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับใครก็ตาม

จะไม่มีปัญหากับเราอย่างแน่นอน

ตายก็ตายไป เป็นอะไรก็เป็นไป

 เพราะไม่ได้ไปยึดไปติดกับเขา

เรายึดติดอยู่อย่างเดียวเท่านั้นก็คือบุญและกุศล

 ที่เป็นสรณะที่พึ่งของเราอย่างแท้จริง

ถ้ามีบุญมีกุศลอยู่ในจิตใจเต็มร้อยแล้ว

รับรองได้ว่าจะอยู่อย่างร่มเป็นสุขไปตลอดอนันตกาล

นี่คือฐานะของจิตใจของพระพุทธเจ้า

และของพระอรหันตสาวก

 ที่ได้สร้างบุญและกุศลจนเต็มเปี่ยมในหัวใจ

จึงไม่มีความทุกข์เล็ดลอดเข้าไปในใจ

 ไม่มีความหลงที่จะหลอกให้ยึดติด

 ให้ไปเวียนว่ายตายเกิดในภพต่างๆ ได้อีกต่อไป

นี่คืออานุภาพของบุญและกุศล

ที่พวกเราได้มาบำเพ็ญกันอย่างต่อเนื่อง

อย่างสม่ำเสมอ ถ้าทำไปไม่หยุดไม่หย่อน

 รับรองได้ว่าสักวันหนึ่งไม่ชาตินี้หรือในชาติต่อๆไป

 ก็จะได้พบกับบรมสุขของพระนิพพาน

 พบกับความสิ้นสุด

แห่งการเวียนว่ายตายเกิดอย่างแน่นอน

จึงควรเชื่อในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน

และพยายามปฏิบัติตามด้วยความขยันหมั่นเพียร

 ด้วยความกล้าหาญ ด้วยความเข้มแข็ง

ด้วยความอดทน สักวันหนึ่ง

จะได้ไปถึงจุดหมายปลายทาง

 ที่พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกได้ไปถึง

 ส่วนในปัจจุบันจะมีความร่มเย็นเป็นสุขมากขึ้น

 มีความทุกข์มีปัญหาน้อยลงไปเรื่อยๆ

 เพราะเกิดจากอกุศลความไม่ฉลาด

ที่ชอบไปคว้าเอาเรื่องต่างๆมาเป็นปัญหา

 หลงยึดติดว่าเป็นของเรา ก็เกิดความหวงความห่วง

 เสียดายอาลัยอาวรณ์ เวลาที่จากเราไป

ถ้ามีกุศลแล้วจะไม่ยึดติดกับสิ่งต่างๆ

ถึงแม้จะต้องมีอะไรก็รู้ว่าเป็นของชั่วคราวเท่านั้น

 มีไว้เพื่อใช้สอยให้เกิดประโยชน์

เพื่อให้ได้สร้างบุญสร้างกุศลเท่านั้นเอง

 แต่จะไม่ยึดติดเวลาเป็นอะไร

จะจากไปก็ปล่อยให้ไปโดยดี

ถ้าปล่อยวางได้จะไม่ทุกข์ไม่เครียดกับอะไรทั้งสิ้น

 จึงขอฝากเรื่องของการทำบุญ

สร้างกุศลอย่างสม่ำเสมอนี้ไปปฏิบัติ

เพื่อประโยชน์สุขและความร่มเย็นของจิตใจ

ที่จะตามมาต่อไป

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

..........................

กัณฑ์ที่ ๓๑๘ วันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๕๐

 (กำลังใจ ๓๓)

“ของคู่กัน”






ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 22 ตุลาคม 2559
Last Update : 22 ตุลาคม 2559 11:32:24 น.
Counter : 1020 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ