Group Blog
All Blog
### ปลดเปลื้องความผูกพันต่างๆออกจากจิต ###









“ปลดเปลื้องความผูกพันต่างๆ

ออกจากจิต”

จิตนี่เวลาทำอะไรแล้วจะติดนิสัย

 เคยทำอะไรก็จะทำอย่างนั้น

ถ้าไม่เคยทำก็ไม่ทำ

เคยดื่มกาแฟตอนเช้า

ก็ต้องหากาแฟมาดื่มทุกเช้า

 คนที่ไม่ดื่มก็ไม่เดือดร้อนอะไร

ตื่นขึ้นมาก็ไม่ต้องหามาดื่ม ก็ไม่เห็นเป็นอะไร

 ถ้าไม่อยากจะมีความทุกข์ใจ

แต่อยากมีความสุขใจที่แท้จริง

ก็ต้องตัดความผูกพันกับทุกสิ่งทุกอย่าง

 เช่นรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะต่างๆ

 รูปต่างๆ ที่พวกเรามีความผูกพันอยู่ตลอดเวลา

 แทบจะอยู่ห่างไกลจากมันไม่ได้เลย

จึงเข้าวัดกันไม่ค่อยได้

 เวลาไปอยู่ถือศีลตามวัดป่าวัดเขา

ที่ไกลจากรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ

 ก็เหมือนไปตกนรก

ไปไม่ได้เพราะเหมือนขาดลมหายใจ

ขาดอาหารใจ

 ต้องมีรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ

ที่เคยสัมผัสอยู่เป็นประจำ

 มาคอยหล่อเลี้ยงอยู่ตลอดเวลา

 เมื่อเป็นเช่นนั้นก็เลยกลายเป็นทาส

 มีความสุขเล็กๆน้อยๆจากการที่ได้เสพ

ได้สัมผัสกับรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะเหล่านี้

 แต่ในขณะเดียวกันก็กลายเป็นทาส

 เหมือนคนที่ติดยาเสพติด

ถ้าไม่มีให้เสพก็ไม่มีความสุขใจ

 ทั้งที่โดยธรรมชาติของใจนั้น

 ไม่ต้องมีอะไรก็มีความสุขได้

จึงต้องตัดความผูกพัน

ความยึดติดกับสิ่งต่างๆให้ได้

หน้าที่ของเราก็คือ

การปลดเปลื้องความผูกพันต่างๆเหล่านี้

 ให้ออกไปจากจิตจากใจ เปลี่ยนนิสัยใหม่

 เคยติดเคยชอบ เคยดื่มเคยสัมผัสอะไร

 ก็ควรตัดไปเสีย หัดอยู่แบบไม่ต้องมีอะไร

 แบบพระทั้งหลายที่มีเพียงสิ่งที่จำเป็น

ต่อการดูแลรักษาชีวิตร่างกายเท่านั้น

สิ่งที่เป็นส่วนเกิน ที่ไม่จำเป็นก็ตัดมันไป

 พระที่มีความเคร่งครัดในการปฏิบัติจะฉันมื้อเดียว

 หลังจากฉันแล้วก็ไม่ฉันอะไรอีกนอกจากน้ำเปล่า

เพราะกินเพื่ออยู่จริงๆไม่ได้อยู่เพื่อกิน

 พอให้ร่างกายมีอาหารหล่อเลี้ยงให้อยู่ได้

เพื่อจะได้เอาร่างกายมาทำหน้าที่เจริญธรรมะ

พิจารณาธรรมะ ทำจิตใจให้สงบ

 เพื่อจะได้มีอาวุธมีเครื่องมือไว้ปราบกิเลส

ความยึดมั่นถือมั่นต่างๆ

ให้หมดสิ้นไปจากจิตจากใจ

เมื่อไม่มีการติดอยู่กับอะไรแล้ว

 สิ่งต่างๆที่เคยติดอยู่ก็หมดความหมายไป

 เคยติดบุหรี่แล้วเลิกบุหรี่ได้

 บุหรี่ก็หมดความหมายไป สุราก็เช่นเดียวกัน

 กาแฟหรือของรับประทานต่างๆที่ไม่จำเป็น

 ถ้าจะรับประทาน

ก็รับประทานพร้อมกับอาหารไปเลย

 พอผ่านไปแล้วก็จบ

เป็นการควบคุมไม่ให้จิตใจไปยึดไปติด

กับสิ่งที่ไม่จำเป็น บุคคลต่างๆก็ไม่จำเป็น

ไปยึดไปติด อยู่คนเดียวได้ดีกว่าอยู่ ๒ คน

 อยู่คนเดียวไม่มีปัญหา อยู่ ๒ คนแล้วปัญหาเกิด

ทะเลาะกัน ขัดใจกัน ห่วงใยกัน

 ถ้ารักกันก็ห่วงใยกัน ถ้าทะเลาะกันก็เบื่อกัน

 มีแต่ปัญหาทั้ง ๒ ด้าน

 แต่ถ้าอยู่คนเดียวได้ก็ไม่มีปัญหากับใคร

ที่อยู่ไม่ได้ก็เพราะใจยังยึดติดอยู่นั่นเอง

เราจึงต้องต่อสู้ด้วยการปฏิบัติธรรม

สร้างความสุขภายในใจ

 ด้วยการขุดเอากิเลสความโลภ

 ความโกรธ ความหลง อวิชชา ตัณหาต่างๆ

 ที่บดบังความสุขใจให้หมดไป

ถ้าไม่ปฏิบัติเราก็จะไม่ได้พบความสุขที่แท้จริง

จะพบแต่ความสุขแบบสุกๆดิบๆ

 สุขแล้วเดี๋ยวก็ทุกข์ ไปเที่ยว ไปกิน ไปดู

ไปฟังอะไรมา ก็มีความสุข

พอกลับมาบ้านแล้วก็ผ่านไป

วันต่อไปก็จะหิว จะอยาก จะต้องการอีก

แต่ถ้าได้สัมผัสความสุข

ที่เกิดจากความสงบแล้ว

จะไม่หิว เพราะจะอยู่กับเราไปเรื่อยๆ

จึงไม่จำเป็นต้องไปพึ่งพาอาศัยสิ่งต่างๆภายนอก

มาให้ความสุข ที่มีมากน้อยเพียงไร

ก็ต้องคอยเปลี่ยนอยู่เรื่อย เพราะไม่เที่ยง

 ไม่จีรังถาวรนั่นเอง

ได้อะไรมาก็ใช้ไปสักระยะหนึ่ง

ก็เสียก็พัง ก็ต้องไปหามาใหม่

 จะเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ

เคยเป็นอย่างนี้มานานแล้ว

ตั้งแต่ก่อนที่เรามาเกิดก็เคยทำอย่างนี้มาก่อน

 เพราะเป็นใจเดียวกัน กิเลสตัณหาความอยาก

อุปาทานความยึดมั่นถือมั่นต่างๆ

ก็ตัวเดียวกัน ที่อยู่ในใจของเรา

ไปเกิดที่ไหน เป็นอะไร เป็นเทพ เป็นมนุษย์

เป็นเดรัจฉานก็มีกิเลสตัวเดียวกัน

มีความผูกพันที่เหมือนกัน

ถ้าต้องการความสุขที่แท้จริง

ก็ต้องมีความเด็ดเดี่ยว มีความกล้าหาญ

 กล้าที่จะตัดความสุขเล็กๆน้อยๆที่มีอยู่

แล้วบากบั่นต่อสู้สร้างความสุขใจขึ้นมา

 ที่ยากก็เพราะไม่เคยทำ ไม่ชำนาญ

เวลาต้องทำอะไรที่ไม่เคยทำ จะไม่ถนัด

 แต่พอฝึกทำไปเรื่อยๆแล้วต่อไปก็จะถนัด

 แล้วก็จะกลายเป็นของง่ายไป

เหมือนกับถนัดมือขวาแล้วต้องมาใช้มือซ้าย

 จะรู้สึกลำบากไม่ค่อยถนัด แต่ถ้าจำเป็น

 สมมุติว่ามือขวาเสียไปใช้ไม่ได้ เหลือแต่มือซ้าย

 ก็ต้องหัดใช้จนได้

การหาความสุขภายในจิตใจ

 ทำจิตใจให้สงบก็เป็นแบบเดียวกัน

พวกเราถนัดสร้างความฟุ้งซ่าน

 สร้างความวุ่นวายยู่ตลอดเวลา

 ชีวิตของเราจึงมีแต่ความฟุ้งซ่าน

 มีแต่ความวุ่นวายอยู่เรื่อยๆ

แต่ไม่รู้ว่าเราเป็นผู้สร้างมันขึ้นมา

ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราไม่เคยหยุดคิดดูเลยว่า

ใจของเราเป็นอย่างไร อะไรทำให้สุข

 อะไรทำให้ทุกข์ ให้ฟุ้งซ่าน ให้วุ่นวาย

 มีแต่ปล่อยให้เหตุการณ์ต่างๆฉุดลากเราไป

 ให้ความอยากต่างๆพาไป

ใจจึงกลิ้งเหมือนกับลูกฟุตบอล

ที่ถูกนักเตะฟุตบอล ๒ ฝ่าย คอยแย่งเตะกัน

 เตะไปเตะมา ไม่ให้อยู่นิ่งเฉย

เหตุการณ์ต่างๆในชีวิตของเรา

ก็คอยเตะใจให้ไปทำโน่นทำนี่

ไปเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ทำมาหากิน

ดูแลคนนั้นคนนี้ พอไม่มีอะไรต้องทำ

ก็อยู่เฉยๆไม่ได้ ก็หาเรื่องทำอีก

ไปดูหนังไปเที่ยว ไปที่นั่นมาที่นี่

 ใจจึงไม่มีเวลาที่จะหยุดนิ่ง

 เหมือนกับลูกฟุตบอลที่ไม่เคยอยู่นิ่ง

 ถูกฝ่ายนั้นเตะ แล้วก็ถูกฝ่ายนี้เตะ

เตะไปเตะมาอยู่เรื่อยๆ

เพราะไม่กำหนดเป้าหมายชีวิตของเรา

ว่าจะไปทางไหน ปล่อยไปตามยถากรรม

 มีแต่หวังให้ดีขึ้นเจริญขึ้น

แต่จะดีขนาดไหนเจริญขนาดไหน

ในที่สุดก็ต้องจบอยู่ดี

 เพราะเป็นอนิจจัง มีเกิดมีดับ มีเจริญแล้วก็มีเสื่อม

ไม่ว่าจะเป็นลาภ ยศ สรรเสริญ สุขชนิดใดก็ตาม

 ได้มามากน้อยเพียงไรสักวันหนึ่งก็ต้องหมดไป

 จากเราไป หรือเราจากมันไป

ถ้าไม่ได้มาเจอพระพุทธศาสนา

เราจะไม่รู้เรื่องของเราเลย

จึงเป็นบุญวาสนาของเราที่ได้มาเจอศาสนา

 มีบุญเก่าคอยผลักให้มาทางนี้กัน

ถึงแม้จะไม่ถนัด ถึงแม้จะลำบาก

ตามความรู้สึกของจิตใจ

แต่อย่างน้อยก็รู้ว่าเป็นสิ่งที่ควรทำ

 และควรทำให้มากยิ่งขึ้นไป

 โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปฏิบัติธรรม

 ที่จะทำให้ศรัทธาแก่กล้า ให้มีกำลังที่จะกล้าตัด

 กล้าสละสิ่งต่างๆ ความสุขต่างๆที่มีอยู่

เพื่อแลกกับความสุขที่ดีกว่า

การทำบุญทำทาน การรักษาศีลนี้ก็ดี แต่ไม่พอ

 ต้องปฏิบัติธรรมด้วย เมื่อได้ฝึกทำสมาธิ

จนจิตรวมลงสู่ความสงบ

 แม้จะสงบเพียงชั่วขณะเดียวก็ตาม

 จะเห็นเลยว่า ความสุขที่ได้จากการปฏิบัติ

กับความสุขที่เคยมีอยู่นั้นเทียบกันไม่ได้เลย

 เหมือนฟ้ากับดิน จะทำให้มีกำลังจิตกำลังใจ

 มีความกล้าหาญที่จะตัดสิ่งต่างๆที่ให้ความสุขกับเรา

 เพราะรู้แล้วว่าสู้สิ่งที่จะได้มาไม่ได้

 ถ้าได้ปฏิบัติจนเห็นผลแล้ว แม้เพียงชั่วขณะเดียว

ก็จะจุดประกายแห่งความศรัทธา

ความเพียรให้แก่กล้า ที่จะทำ

ในสิ่งที่ไม่เคยคิดว่ากล้าทำมาก่อน

 กล้าตัดกล้าละ กล้าอยู่แบบขอทาน

กล้าอยู่แบบไม่มีอะไร อยู่ที่ไหนก็ได้

 นอนที่ไหนก็ได้ กินอะไรก็ได้

สิ่งเหล่านี้จะไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป

ตอนนี้พวกเรายังไม่ได้พบกับความสุขแบบนั้น

 ยังติดอยู่กับความสุขเล็กๆน้อยๆ

 กับการกินการอยู่ พอไปอยู่วัด

 อยู่แบบเรียบๆง่ายๆ กินตามมีตามเกิด

จึงไม่ดูดดื่มใจ ไม่มีอะไรดึงดูดให้ไป

 เพราะยังไม่ได้สัมผัสกับความสุขที่มีอยู่ภายในใจ

 จึงอยากจะให้มุ่งสู่ความสุขใจนี้

พยายามนั่งทำสมาธิให้ได้

มีเวลาว่างก็พยายามนั่งอยู่เรื่อยๆ

เวลาทำอะไรก็ให้มีสติกำกับอยู่เสมอ

 พยายามดึงจิตไว้

อย่าให้ไปคิดเรื่องราวต่างๆที่ไม่จำเป็น

 ขณะนี้กำลังทำอะไรอยู่

 ก็ให้อยู่กับเรื่องที่กำลังทำก็พอ

 ให้รู้อยู่กับเรื่องที่กำลังทำ

 เรื่องที่ผ่านไปแล้วเมื่อวานนี้

หรือเมื่อสักครู่นี้ ก็อย่าไปคิด

 เรื่องที่จะตามมาต่อไปข้างหน้า

 เมื่อยังไม่ถึงเวลาก็อย่าไปคิด

 ให้อยู่กับปัจจุบัน ถ้าทำอย่างนี้แล้ว

จะมีเครื่องมือคอยดึงจิตไว้

ถ้ามีสติแล้วเวลาทำสมาธิก็จะสงบง่าย

ถ้าไม่มีสติก็เหมือนกับบังคับให้ลิงนั่งเฉยๆ

 บังคับอย่างไร พูดอย่างไร

บอกอย่างไร มันก็ไม่ฟัง

 แต่ถ้าเอาเชือกมาผูกมันไว้กับเสา

 ฟังหรือไม่ฟังมันก็ไปไหนไม่ได้

นอกจากเชือกเส้นมันเล็ก

 แล้วแรงของลิงมีมากกว่า

 เดี๋ยวมันก็ดึงเชือกให้ขาดได้

เชือกก็เปรียบเหมือนกับสติที่จะคอยดึงจิตไว้

จิตก็เป็นเหมือนลิง

เวลาฝึกใหม่ๆยังเป็นเชือกกล้วยอยู่

 พอจิตกระตุกปั๊บหนึ่งก็ขาดแล้ว

 พอให้อยู่กับพุทโธๆได้พักเดียว

 ก็คิดเรื่องนั้นคิดเรื่องนี้แล้ว

 แสดงว่าสติขาดไปแล้ว

 เชือกขาดไปแล้ว ก็ไม่เป็นไร ก็ดึงกลับมาใหม่

พอรู้ว่าไม่ได้อยู่กับพุทโธแล้ว

ยังคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้

ก็กลับมาหาพุทโธใหม่

ถ้าไม่ชินกับพุทโธใหม่ๆจะรู้สึกว่าเหนื่อย

เพราะต้องบริกรรมไปคำเดียว

 ถ้าชอบสวดมนต์ก็สวดมนต์ไปก่อนก็ได้

 ให้มีสติอยู่กับบทสวดมนต์

 แต่ไม่ต้องสวดออกเสียง ไม่ต้องนั่งพนมมือ

 ไม่ต้องนั่งพับเพียบ นั่งขัดสมาธิไป

 แทนที่จะใช้พุทโธก็ใช้บทสวดมนต์แทน

สวดไปภายในใจ สวดไปเรื่อยๆ

จนรู้สึกอยากจะหยุด ก็บริกรรมพุทโธต่อ

 หรือดูลมหายใจเข้าออกก็ได้

บางทีสวดๆไปแล้วก็วูบนิ่งไปเลยก็มี

 ถ้าจิตไม่ไปคิดเรื่องอื่น

อยู่กับการสวดมนต์อย่างเดียว

สิ่งสำคัญที่สุดก็คือต้องตั้งสติอยู่เรื่อยๆ

 ถ้าจะรอตั้งสติตอนที่นั่งสมาธิก็จะไม่พอ

เราต้องตั้งสติตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นจนหลับเลย

 ให้สติเป็นเหมือนยามเฝ้านักโทษ

คอยเฝ้าดูไม่ให้คลาดสายตาไป

ให้สติอยู่กับร่างกายตลอดเวลา

 ไม่ว่าจะทำอะไรก็ให้อยู่ตรงนั้น

ถ้าทำอย่างนี้ได้แล้วจะมีสติ มีกำลัง

ที่จะต่อสู้กับความเผลอได้

ให้อยู่กับพุทโธ อยู่กับลมหายใจ ก็จะอยู่

ถึงแม้จะเผลอไปบ้าง

พอรู้ตัวก็ดึงกลับมาได้เลย

 ต่อไปก็จะอยู่อย่างต่อเนื่อง

แล้วก็จะสงบลงไป

เมื่อจิตคิดปรุงน้อยลงไป

 ความสงบก็จะมีมากขึ้น

 ที่ไม่สงบก็เพราะจิตไม่หยุดคิด

 คิดเรื่องนู้นคิดเรื่องนี้ไปเรื่อย

แต่ถ้าคิดแบบสวดมนต์อย่างนี้ไม่เป็นไร

คำสวดมนต์หรือพุทโธ

เป็นความคิดที่จะทำให้จิตสงบ

 ความคิดมี ๒ ลักษณะ

 คิดแล้วให้เกิดความฟุ้งซ่าน

และคิดแล้วให้เกิดความสงบ

คิดพุทโธ คิดบทสวดมนต์

คิดถึงความแก่ ความเจ็บ ความตาย เ

กิดแล้วต้องแก่เจ็บตายเป็นธรรมดา

คิดไปเรื่อยๆ เราก็ตาย คนนั้นก็ตาย

คนนี้ก็แก่ คนนี้ก็เจ็บ

คนนั้นก็ตายพิจารณาไปตรงไหน

 ก็จะเห็นว่ามีอยู่กับทุกๆคน

ถ้าพิจารณาแบบนี้ คิดแบบนี้

 เรียกว่าเป็นมรรค

ก็จะทำให้จิตสงบ

 ดังที่หลวงตาเขียนในหนังสือว่า

 ปัญญาอบรมสมาธิ

คือคิดในทางไตรลักษณ์นี้เอง

 คิดไปในทางอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

 ก็จะทำให้จิตสงบได้

เอาความคิดทางด้านปัญญามาทำจิตให้สงบ

 ถ้าไม่ถนัดกับการบริกรรมพุทโธ

 ไม่ถนัดกับการสวดมนต์

หรือดูลมหายใจเข้าออก

 ก็พิจารณาดูความไม่เที่ยงแท้แน่นอน

 แล้วจิตมันก็จะคลายความกังวล

คลายความห่วงใย

เมื่อไม่มีความกังวลความห่วงใย

 ก็จะสงบตัวลง นี่คือวิธีทำจิตให้สงบ

 ต้องมีสติเป็นพื้นฐานคอยกำกับจิต

 ให้อยู่กับอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง

 ถ้าจะคิดก็คิดในทางธรรมะ คิดเรื่องไตรลักษณ์

อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แล้วรับรองได้ว่า

 ไม่ช้าก็เร็วจิตจะต้องสงบลง

 เมื่อสงบแล้วก็จะมีกำลังจิตกำลังใจ

 เพราะความสงบเป็นความมหัศจรรย์ใจอย่างยิ่ง

 เหมือนกับเวลาแบกของหนักๆไว้บนไหล่

 แล้วเอาวางลง ได้พักได้กินน้ำแล้ว

จะรู้สึกเบาอกเบาใจ ชื่นอกชื่นใจ

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

........................

กัณฑ์ที่ ๒๕๒ วันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๔๙

 (จุลธรรมนำใจ ๖)

“ใจไม่ดับ”







ขอบคุณทึ่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 28 กันยายน 2559
Last Update : 28 กันยายน 2559 9:52:24 น.
Counter : 1001 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ