Group Blog
All Blog
+++ วิธีรักษาที่จะรักษาให้ใจสงบอย่างถาวร +++












"วิธีรักษาที่จะรักษา

ให้ใจสงบอย่างถาวร"

การถือศีล ๘

จะทำให้เรากำจัดกิจกรรมต่างๆ

ที่จะมาแย่งเวลาอันมีค่าที่เราจะมาใช้

ในการภาวนามาสร้างความสงบให้แก่ใจ

สร้างความฉลาดให้แก่ใจ

ที่จะรักษาความสงบไว้

หลังจากที่ได้ความสงบแล้ว

ก็ต้องรู้จักวิธีรักษา วิธีรักษา

ที่จะรักษาให้ใจสงบอย่างถาวร

ก็ต้องใช้ปัญญา ปัญญาจะรู้ว่า

สิ่งที่จะมาทำลายความสงบ

ทำให้จิตวุ่นวาย

ก็คือความอยากต่างๆ นี่เอง

 พอเกิดความอยากปัญญาก็จะสอนใจ

ให้รู้ว่าความอยากได้อะไรนี้

มันไม่ได้ทำให้เรามีความสุขหรอก

 มันกลับทำให้เรามีความทุกข์

เพราะสิ่งที่เราอยากได้

มันไม่เที่ยงแท้แน่นอนนั่นเอง

ได้มาแล้วเดี๋ยวมันก็ต้องหมดไป

เวลาหมดไปก็ทำให้เราเสียใจ

ทำให้เราต้องอยากหาสิ่งอื่นมาทดแทน

ต้องหามาอยู่เรื่อยๆ

 เวลาหาไม่ได้แล้วก็ทุกข์ใจ

 เวลามันจากเราไปมันก็ทุกข์ใจกัน

 ถ้ามีปัญญาแล้วมันก็จะไม่อยากได้อะไร

ไม่อยากมีอะไร เพราะเรารู้ว่า

ไม่มีอะไรดีกว่าความสงบ

ก็จะรักษาความสงบเพียงอย่างเดียว

 พอใจสงบไม่มีความอยาก

ใจก็เบาสบายมีความสุข

ใจก็จะไม่ทุกข์กับเรื่องราวต่างๆ

เพราะความทุกข์เกิดจาก

ความอยากของใจ

ที่ไปอยากให้เรื่องราวต่างๆ

 เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้นั่นเอง

ซึ่งก็เป็นสิ่งที่เราไม่สามารถที่จะไปสั่ง

ไปห้ามให้สิ่งเหล่านั้น

เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ได้เสมอไป

 บางครั้งก็พอสั่งกันได้

แต่บางครั้งก็สั่งไม่ได้

 บางครั้งก็พอห้ามได้

บางครั้งก็ห้ามไม่ได้

 เช่นร่างกายบางครั้ง

เราก็ห้ามไม่ให้มันตายได้

 ตอนนี้เราห้ามมันได้อยู่

เราคอยห้ามมันอยู่ตอนนี้ไม่ให้มันตาย

แต่เดี๋ยวมันต้องมีสักวันที่ห้ามมันไม่ได้

ห้ามยังไงมันก็ต้องตายอยู่ดี

ฉะนั้น อยากให้ร่างกายไม่เจ็บไข้ได้ป่วย

 เราก็พยายามดูแล

รักษาสุขภาพกันอย่างเต็มที่

แต่เดี๋ยวมันก็มีวันหนึ่ง

ที่มันจะต้องเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา

ต่อให้ดูแลดีกันขนาดไหน

ไม่ช้าก็เร็วมันก็ต้องป่วยขึ้นมาอยู่ดี

มันต้องเจ็บอยู่ดี

 ถ้ามีความอยากให้มันไม่ป่วยก็จะทุกข์

ถ้ามีความอยากให้มันไม่ตายก็จะทุกข์

แต่ถ้าเรายอมรับความจริงของร่างกาย

ว่าทำยังไงมันก็หนีไม่พ้น

ความแก่ความเจ็บความตายไปได้

ก็เลยทำใจดีกว่า

แต่ก็ไม่ได้ทอดทิ้งร่างกาย

ก็ดูแลมันไปตามกำลังของเรา

 แต่ยอมรับว่าเราสู้มันไม่ได้

เราสู้ความแก่สู้ความเจ็บสู้ความตายไม่ได้

ต่อให้เราดูแลรักษาร่างกายให้ดีขนาดไหน

สักวันหนึ่งมันก็ต้องแก่มันก็ต้องเจ็บ

มันก็ต้องตายอย่างแน่นอน

สิ่งที่เราควรจะทำก็คือ

 ควรจะทำใจกัน ถ้าเรามีปัญญา

เราก็จะทำใจได้

ถ้าไม่มีปัญญาก็ทำไม่ได้.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

..........................

ธรรมะบนเขา
วันที่ ๒ มกราคม ๒๕๖๐

"บุญ"






ขอบคุณทีมา fb.. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 09 กุมภาพันธ์ 2560
Last Update : 9 กุมภาพันธ์ 2560 22:50:42 น.
Counter : 509 Pageviews.

0 comment
+++ อริยสัจ ๔ +++








อริยสัจ ๔

ต่อให้เราทำตามความอยากเท่าไร

 ความอยากก็ไม่หมดไปใช่ไหม

 เราทำมาตั้งแต่เกิดแล้ว

เราอยากได้อะไรเราก็ไปหามา

 อยากดูอยากฟังอะไรเราก็ไปดูไปฟัง

 อยากเดินอยากรับประทานอะไร

เราก็ไปดื่มไปรับประทาน

แล้วมันหมดไหมล่ะ

มันก็ยังอยากเหมือนเดิม

 แล้วเวลาไม่ได้ทำตามความอยากเป็นยังไง

เราไม่ได้หยุดตัวของความอยาก

 ถ้าเราหยุดตัวความอยากได้

เราก็จะอยู่เฉยๆ ได้

ไม่ต้องไปดื่มไปรับประทาน

ไม่ต้องไปดูไปฟังอะไร

ถ้าจะดื่มจะรับประทาน

 ก็ดื่มแบบยารักษาร่างกาย

ร่างกายมันต้องการอาหารมันต้องการน้ำ

 ก็ให้มันไปตามความต้องการของมัน

แต่เราไม่ได้ทำตามความอยาก

เวลาร่างกายไม่ต้องการ

เราก็ไม่ให้มัน

แต่นี่เวลาร่างกายต้องการไม่ต้องการ

เราอยากเราก็ให้มันอยู่เรื่อย

ให้มันจนกระทั่งมันบอกพอแล้วพอแล้ว

 ร่างกายพอแล้ว ชั่งน้ำหนักทีไร

 เฮ้ย! ทำไมขึ้นไปเรื่อยๆ ขึ้นไม่ลดเลย

ก็เพราะความอยาก อยากดื่ม

อยากรับประทาน

นี่แหละที่เราไปศึกษากันไปปฏิบัติกัน

 ก็เพื่อที่จะให้เราเห็นตรงนี้

เห็นอริยสัจ ๔ ตัวที่มันอยู่ในใจของเรา

 แล้วก็ก่อกวนจิตใจของเรา

 เรามีอริยสัจ ข้อที่ ๑ ที่ ๒

 แต่อริยสัจที่ ๓ ที่ ๔ เราไม่ค่อยมีกัน

 เรามีแต่ทุกข์กับความอยาก

 แต่เราไม่มี "นิโรธ" ความดับทุกข์

 เราไม่มี "มรรค"

ที่จะเป็นเครื่องมือมาดับทุกข์

มรรค ก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา

 เราไม่ค่อยรักษาศีลกัน

 เพราะว่ารักษาศีลแล้ว

มันทำตามความอยากยากใช่ไหม

อยากจะได้อะไร

บางทีก็ต้องโกหกนิดหน่อย

พูดตรงๆ แล้วมันจะไม่ได้

อยากจะนั่งสมาธิก็ไม่ได้

เพราะว่าต้องถือศีล ๘ กัน

ถือศีล ๘ ก็ไปเที่ยวไม่ได้

จะหาความสุขจากทางตา หู

 จมูก ลิ้น กายไม่ได้

ก็เลยไม่ได้ปฏิบัติกัน

ไม่ชอบนั่งสมาธิกัน

 ไม่ชอบฟังเทศน์ฟังธรรมกัน

 เพราะฟังแล้วมันขัดกับกิเลส

 ฟังธรรมแล้วจะทำให้กิเลสมันต้องตาย

 กิเลสมันก็เลยไม่อยากให้เราฟังธรรม.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

...........................

สนทนาธรรมะบนเขา
วันที่ ๒๓ มกราคม ๒๕๖๐







ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 09 กุมภาพันธ์ 2560
Last Update : 9 กุมภาพันธ์ 2560 21:56:23 น.
Counter : 574 Pageviews.

0 comment
### ความสุขที่เหนือกว่าความสุขทั้งปวง ###










"ความสุขที่เหนือกว่าความสุขทั้งปวง"

ร่างกายที่เราใช้ในการหาลาภ ยศ สรรเสริญ

 หรือหารูป เสียง กลิ่น รสก็เช่นเดียวกัน

 ร่างกายของพวกเราก็อนิจจังเหมือนกัน

 เกิดแล้วก็ต้องแก่และต้องเจ็บต้องตายไป

 แล้วตายเวลาแก่เวลาเจ็บก็เป็นเวลาทุกข์กัน

 ไม่มีใครอยากแก่ไม่มีใครอยากเจ็บ

ไม่มีใครอยากตายกัน

แต่ไม่มีใครหลีกเลี่ยง

ความแก่ความเจ็บความตายได้

 เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของการมาเกิด

 ถ้าไม่อยากจะแก่จะเจ็บจะตาย

ก็ต้องไม่กลับมาเกิดเท่านั้น

และการที่จะไม่กลับมาเกิดได้

ก็ต้องทำใจให้มีความสุข

ทำใจให้หายจากความอยากต่างๆ

 ความอยากต่างๆ ทำให้ใจไม่มีความสุข

 ก็ทำให้ใจต้องกลับมาหาความสุข

จากลาภยศสรรเสริญ จากรูปเสียงกลิ่นรส

โผสฐัพพะชนิดต่างๆ

แต่ถ้าเรามาสร้างความสุขให้แก่ใจ

ได้พอใจมีความสุขแล้ว

 ใจก็ไม่ต้องใช้ความสุขจากลาภยศสรรเสริญ

 ความสุขจากรูปเสียงกลิ่นรสโผสฐัพพะ

 ใจก็ไม่ต้องกลับมาหาลาภยศสรรเสริญ

หารูปเสียงกลิ่นรสโผสฐัพพะอีกต่อไป

 ใจก็ไม่ต้องกลับมาเกิดมามีร่างกาย

พอมามีร่างกายแล้วก็ต้องมามีร่างกาย

ที่จะต้องแก่ต้องเจ็บและก็ต้องตายไป

 เวลาแก่เวลาเจ็บเวลาตายใจก็ทุกข์

กับความแก่ความเจ็บความตาย

นี่คือความจริงของพระพุทธศาสนา

ของคำสอนของพระพุทธเจ้า

ให้เรารู้จักวิธีหาความสุขกันอย่างถูกต้อง

อย่างแท้จริงต้องหาความสุข

ด้วยการทำใจให้สงบกัน

 อย่าไปหาความสุขจากลาภยศสรรเสริญ

จากรูปเสียงกลิ่นรสโผสฐัพพะกัน

 เพราะมันจะนำพา

ไปสู่ความทุกข์ในลำดับต่อไป

เวลาที่ลาภภยศสรรเสริญเสื่อมไป

 เวลาที่ความสุขทางตาหูจมูกลิ้นเสื่อมไป

ความทุกข์ก็จะเข้ามาแทนที่

แต่ถ้าเรามาสร้างความสุขทางใจ

 ความสุขที่เกิดจากความสงบของใจกันได้

 เราจะมีความสุขตลอดเวลา

เพราะความสุขที่ได้จากความสงบนี้

 จะอยู่กับเราไปเรื่อยๆ เพราะเราจะรู้จักวิธี

สร้างมันแล้วก็จะรู้จักวิธีรักษามัน

ให้คงอยู่ไปกับใจของเราได้อย่างถาวร

เป็นความสุขที่เป็นอกาลิโก

ไม่มีวันเสื่อมไม่มีวันหมด

ความสุขที่พระพุทธเจ้า

และพระอรหันต์สาวกทั้งหลายได้รับกันนั้น

ตอนนี้ก็ยังมีอยู่กับใจของพระพุทธเจ้า

กับใจของพระอรหันต์สาวก

 ใจของท่านไม่ได้ตายไปกับร่างกายของท่าน

 แต่ท่านไม่มีร่างกายที่จะมาติดต่อ

กับพวกเราได้แล้วเท่านั้นเอง

 เพราะใจของท่านไม่ต้องการมีร่างกายแล้ว

 ไม่จำเป็นที่จะต้องมีร่างกายแล้ว

 ท่านจึงไม่ได้กลับมาเกิด

มาสอนมาบอกพวกเรา

ให้รู้ความจริงอันนี้ ท่านก็เลยต้องทิ้ง

พระธรรมคำสอนทำหน้าที่แทนท่าน

 ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะจากพวกเราไป

 ก่อนที่ร่างกายของท่านจะตายไป

ท่านก็พูดสอนฝากไว้ว่า

พวกเธอจะไม่ได้อยู่ ปราศจากศาสดา

ปราศจากครูบาอาจารย์

เพราะว่าคำสอนของเรานี้

จะเป็นครูเป็นอาจารย์ของพวกเธอต่อไป

ขอให้พวกเธอเข้าหาพระธรรม

คำสอนของพวกเรา

แล้วพวกเธอจะไม่ปราศจาก

การมีครูอาจารย์

พวกเธอจะมีอาจารย์คอยสั่งคอยสอน

คอยบอกให้พวกเธอได้ไปสู่การหลุดพ้น

จากความทุกข์ทั้งหลาย

พาให้พวกเธอไปสู่ความสุขที่ถาวรที่เราได้รับ

 จะเป็นความสุขเช่นเดียวกันกับ

ที่พวกเธอจะได้รับ นี่คือสิ่งที่พวกเรา

จะต้องมีศรัทธามีความเชื่อเชื่อว่า

การปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้านี้

ไม่ว่าจะอยู่ในยุคใดสมัยใด

สามารถให้ผลได้ เช่นเดียวกัน.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.....................

ธรรมะบนเขา
วันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๖๐

"ความสุขที่เหนือกว่าความสุขทั้งปวง"






ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 01 กุมภาพันธ์ 2560
Last Update : 1 กุมภาพันธ์ 2560 11:15:24 น.
Counter : 658 Pageviews.

0 comment
### ฟังธรรมเพื่อเพิ่มพลังใจ ###










"ฟังธรรมเพื่อเติมพลังใจ"

สมาธิที่อบรมด้วยศีลแล้วนี้

 มีอานิสงค์มากมีประโยชน์มาก

 แล้วก็ปัญญาที่สมาธิอบรมแล้วนี้

ก็มีคุณประโยชน์มาก

จิตที่มีปัญญาอบรม ก็จะหลุดพ้น

จากความทุกข์ทั้งหลาย

 นี่คือธรรมที่สนับสนุนกัน

 การจะมีสมาธิต้องมีศีลเป็นผู้สนับสนุน

ถึงจะได้สมาธิ ถ้าไม่มีศีลนี้ใจจะไม่นิ่ง

 ใจจะวอกแวก ใจจะวุ่นวาย

ไปกับการทำบาปทำกรรมต่างๆ

 จะไม่มีกระจิตกระใจมาทำเจริญสติควบคุมใจ

 ไม่ให้วอกแวกคิดถึงเรื่องราวต่างๆได้

 แล้วก็พอใจมีความสงบนิ่ง

ใจก็จะมีพลังที่จะใช้ปัญญา

มาฆ่ากิเลสตัณหาต่างๆ ให้หมดไปจากใจได้

 ธรรมเหล่านี้จึงเป็นธรรมที่สนับสนุนกัน

ศีลสนับสนุนให้เกิดสมาธิ

สมาธิสนับสนุนให้เกิดปัญญา

ปัญญาสนับสนุนให้เกิดวิมุตติการหลุดพ้น

จากความทุกข์ทั้งปวง

อันนี้เป็นธรรมจากผู้รู้จริงเห็นจริง

 ผู้ที่บรรลุธรรม ท่านแสดงไว้อย่างนี้

 พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้อย่างนี้

ครูบาอาจารย์ต่างๆที่บรรลุธรรม

 ท่านก็แสดงไว้อย่างนี้เช่นกัน

ไม่มีใครบอกว่าไม่ต้องเจริญสมาธิ

ไม่ต้องรักษาศีล เจริญปัญญาได้เลย

 อันนี้ไม่มี สำหรับผู้ที่บรรลุธรรมนี้

 ผู้ที่มีดวงตาเห็นธรรมนี้ ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ

 จะไม่มีใครสอนอย่างนี้

มีแต่พวกที่ไม่ได้ปฏิบัตินี่แหละ

 สอนให้ใช้ปัญญาเลย ดูจิตเลย ฆ่ากิเลสเลย

ดูไปก็ฆ่ามันไม่ได้ ไม่มีกำลัง

 ไม่มีกำลังของสมาธิ ไม่มีกำลังของศีล

 ไม่มีกำลังของปัญญาที่จะสนับสนุน

นี่คือการฟังเทศน์ฟังธรรม

 ฟังแล้วไม่เกิดปัญญา

 ฟังแล้วไม่เกิดพลังก็ได้

 หรือฟังแล้วเกิดปัญญาฟังแล้วเกิดพลังก็ได้

 อยู่ที่ผู้แสดง ว่ามีธรรมแท้หรือธรรมปลอม

 ถ้าฟังธรรมปลอม ฟังแล้วจะไม่เกิดวิริยะ

 ไม่เกิดศรัทธา ไม่เกิดสติ สมาธิ ปัญญา

 แต่ถ้าฟังจากผู้ที่มีธรรมแท้นี้

 เวลาฟังแล้วจะเกิดศรัทธาเพิ่มมากขึ้น

 จะเกิดวิริยะความอุตสาหะพากเพียรมากขึ้น

 จะเกิดสติมากขึ้นเกิดสมาธิ

เกิดปัญญาเพิ่มมากขึ้นไป

 เพราะเวลาฟังแล้วน่าสนใจ

ถ้าฟังความจริงนี่ฟังแล้วมันน่าสนใจฟัง

 ฟังแล้วมันไม่เบื่อ

 แต่ถ้าฟังธรรมที่ไม่มีเหตุไม่มีผล

 ฟังแล้วมันน่าเบื่อ ฟังแล้วก็ไม่มีศรัทรา

ไม่มีวิริยะ ไม่มีสติ ไม่มีสมาธิ ไม่มีปัญญา

ดังนั้น การฟังธรรมนี้บางครั้ง

ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรก็มี

หรือว่าผู้ที่แสดงธรรมอาจจะแสดงธรรมแท้

แต่ผู้ฟังก็ไม่ได้ฟังด้วย กายวาจาใจที่สงบ

 คือฟังแบบทัพพีในหม้อแกง

 ก็ฟังไม่ได้ผลเช่นเดียวกัน

 ต่อให้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าก็จริง

 แต่ฟังโดยไม่มีสติ ก็เหมือนกับไม่ได้ฟัง

 ฟังแล้วใจก็คิดอยู่กับเรื่องนั้นเรื่องนี้ สิ่งนั้นสิ่งนี้

นั่งรอให้ท่านว่า "เอวัง" ก็มีด้วยประการฉะนี้

 จะได้ยกมือ สาธุ สาธุ ก็ได้แค่นั้น

 ได้ตอนสาธุ ดีใจว่าจบซะที เอวัง.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

....................

ธรรมะบนเขา
วันที่ ๒๒ มกราคม ๒๕๖๐

"ฟังธรรมเพื่อเติมพลังใจ"







ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 23 มกราคม 2560
Last Update : 23 มกราคม 2560 10:32:16 น.
Counter : 780 Pageviews.

0 comment
### ความสุขที่ถาวร ###










"ความสุขที่ถาวร"

ใจที่ไม่มีความอยาก

หลงเหลืออยู่ภายในใจนี้

 เราเรียกว่าพระนิพพาน

พระนิพพานนี้ไม่ใช่สถานที่

เหมือนกับกรุงเทพหรือเชียงใหม่

 แต่เป็นสถานภาพของใจ

ใจของพวกเราตอนนี้

ยังเป็นใจที่มีการเวียนว่ายตายเกิดอยู่

 เพราะมีความอยาก

มีความโลภความโกรธความหลง

 เรียกใจของเราว่าเป็นใจวัฏจักรใจ

แห่งการเวียนว่ายตายเกิด

 แต่ใจของผู้ไม่มีความโลภ

ความโกรธ ความหลง

 ใจไม่มีความอยากต่างๆ นี้

 เราเรียกว่านิพพาน

 ใจที่ไม่มีการเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป

 นี่คือใจของพระพุทธเจ้า

และใจของพระอรหันต์สาวกทั้งหลาย

และก็จะเป็นใจของพวกเรา

ถ้าเรามีศรัทธาความเชื่อ

ในคำสอนของพระพุทธเจ้า

 และปฎิบัติตามที่พระพุทธเจ้าได้ทรงปฏิบัติ

และได้ทรงสอนให้พวกเราปฏิบัติ

ก็คือให้เราเลิกอาศัยความสุข

ทางลาภ ยศ สรรเสริญ

ความสุข ทางตา หู จมูก ลิ้น กายกัน แล้ว

ให้พวกเรามาหาความสุข

จากการทำใจให้สงบ

 ด้วยการรักษาศีลของนักบวช

 ด้วยการเจริญสตินั่งสมาธิเจริญปัญญา

 เดินจงกรมนั่งสมาธิ ตั้งแต่ตื่นขึ้น

ไปจนกระทั่งถึงเวลาหลับ

ไม่ทำกิจกรรมอย่างอื่น

นอกจากกิจกรรมนี้

จะทำใจให้สงบเพียงอย่างเดียว

ถ้าเราทำอย่างนี้ได้

พระนิพพานหรือความสงบ

 ความสิ้นสุดของการเวียนว่ายตายเกิด

ก็จะเกิดขึ้นกับพวกเราได้อย่างแน่นอน

 ภายในภพนี้ชาตินี้เลย

เพราะพระพุทธเจ้า

และพระอรหันต์สาวกทั้งหลาย

 ท่านก็ได้พระนิพาน

ภายในภพนี้ชาตินี้เช่นเดียวกัน

ท่านไม่ต้องรอไปทำต่อในภพต่อๆ ไป

 เพราะท่านทำอย่างต่อเนื่องไม่หยุด

ทำอย่างไม่หยุดไม่หย่อน

 ผลมันก็เลยเกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง

มาอย่างไม่หยุดไม่หย่อน

จนถึงผลที่เต็มขั้นผลที่สูงสุด

 พอผลที่สูงสุดผลที่เต็มขั้นได้มาแล้ว

 ก็หมดหน้าที่ไม่ต้องทำอะไรอีกต่อไป

ใจก็สบายไปตลอด ไม่ต้องกลับมาทุกข์

กับการเกิด แก่ เจ็บ ตาย อีกต่อไป

นี่คือผลที่เราจะได้รับ

จากการที่เรามีศรัทธา

 มีความเชื่อในพระธรรม

คำสอนของพระพุทธเจ้า

 ที่ทรงตรัสไว้ว่า นัตถิ สันติ ปรมัง สุขัง

 ไม่มีความสุขอันใดในโลกนี้ที่จะดีเท่ากับ

ความสุขที่เกิดจากความสงบของใจ

ถ้าเราเชื่อแล้วเราก็จะมุ่งไปสู่

การสร้างความสุขอันนี้ เมื่อเราสร้าง

เราก็จะได้ความสุขอันนี้อย่างแน่นอน

 เพราะมันเป็นเรื่องของเหตุและผล

 ถ้ามีเหตุคือการสร้าง

ผลก็คือความสงบของใจมันก็จะตามมา

 มันไม่ได้ว่าอยู่ที่เป็นพระ

หรือเป็นนักบวชหรือไม่

เป็นพระไม่เป็นนักบวช

เป็นผู้หญิงหรือเป็นผู้ชาย

 เป็นเด็กหรือเป็นผู้ใหญ่ ไม่สำคัญ

ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะพบกับความสงบของใจ

ได้ทุกเพศทุกวัย ไม่ว่าจะเป็นนักบวช

หรือเป็นผู้ครองเรือน

เป็นผู้หญิงหรือเป็นผู้ชาย

 เป็นเด็กหรือเป็นผู้ใหญ่ ถ้ามีเหตุ

คือ มีการสร้างความสงบให้เกิดขึ้นมา

 ผลคือความสงบของใจ

ก็ต้องตามมาอย่างแน่นอน

 ไม่ว่าจะอยู่ในยุคใดสมัยใดก็ไม่สำคัญ

 สมัยพระพุทธกาล มีการสร้าง

มีการได้รับผลของความสงบทางใจ

ในสมัยปัจจุบันถ้ามีเหตุคือการสร้าง

 ผลคือการสงบของใจ

มันก็จะปรากฏขึ้นมาเช่นเดียวกัน.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.......................

ธรรมะบนเขา
วันที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๖๐

"ความสุขที่ถาวร"






ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 22 มกราคม 2560
Last Update : 22 มกราคม 2560 13:42:34 น.
Counter : 674 Pageviews.

1 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ