Group Blog
All Blog
<<< กฎแห่งกรรม >>>










"กฏแห่งกรรม"

บุญกับบาปที่เราทำไว้นี้แหละ

ที่เราสามารถเอาติดตัวไปได้

 แต่ของอย่างอื่นเช่นสามี ภรรยา บุตรธิดา

 ทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทองต่างๆ

 ความสุขในรูปแบบต่างๆ ที่มีอยู่ในโลกนี้

 เราจะไม่สามารถเอาติดตัวไปได้

บุญนี้จะเป็นเหมือนกับข้าวของเงินทองต่างๆ

ที่เราใช้อยู่ในโลกนี้

บุญนี้จะเป็นข้าวของเงินทอง

ที่เราจะเอาไปใช้ในโลกทิพย์

ทำให้เราไปสวรรค์ได้

แต่ถ้าเราไม่ได้ทำบุญ เราทำแต่บาป

 เวลาร่างกายตายไป

เราจะไม่มีทรัพย์สมบัติ

ข้าวของเงินทองติดตัวไป

 ก็จะไปแบบขอทาน

ที่พวกเรามาทำบุญแล้ว

เราอุทิศบุญให้แก่ผู้ที่ตายไป

 ก็เพราะเราคิดเผื่อไว้ว่าบางทีคนที่เรารัก

คนที่เขาตายไปเขาอาจจะ

ไปเป็นขอทานทางโลกทิพย์ก็ได้

 เพราะว่าถ้าเขาทำบาปแล้วเขาไม่ทำบุญ

หรือทำก็น้อย ทำบุญน้อย

 ทำบาปมากกว่าบุญ เวลาตายไป

โอกาสที่เขาจะไปเป็นขอทาน

ในโลกทิพย์ก็มีอยู่สูง

ผู้ที่เราอุทิศบุญให้ก็คือพวกนี้แหละ

พวกที่เป็นขอทานในโลกทิพย์

ภาษาพระท่านเรียกว่า "เปรต"

 พวกเปรตนี้เป็นพวกที่จะมารอรับส่วนบุญ

 ส่วนพวกอื่นนี้เขาไม่มารอรับกัน มาไม่ได้

เดรัจฉานเขาก็มีร่างกายของเดรัจฉาน

 เขาก็ไปหากินตามประสาของเดรัจฉาน

พวกที่ไปตกนรกก็ออกมาจากนรกไม่ได้

 เพราะเหมือนกับพวกที่ไปติดคุกติดตะราง

 เขาไม่ปล่อยให้ออกมาขอทาน

ต้องถูกขังอยู่ในคุกในตาราง

มีพวกที่เป็นขอทานคือพวกเปรตนี้

ที่จะมารอรับส่วนบุญของพวกเรา

 ทุกครั้งที่เราทำบุญแล้วเราอุทิศบุญนี้

 ก็ไม่ได้หมายความว่าผู้ที่ล่วงลับไปแล้วนี้

เขาจะมารอรับ เพราะว่าเขาอาจจะเป็นเศรษฐีก็ได้

 เขาอาจจะเป็นเศรษฐีบุญ มีบุญติดตัวไป

เขาก็มีเงินทองที่ไปใช้ในโลกทิพย์

 เขาเป็นเศรษฐีในโลกทิพย์เขาก็ไปเป็นเทวดากัน

เขาไม่ต้องมารอรับส่วนบุญของพวกเรา

 แต่ถ้าเขาทราบว่า

เราได้อุทิศบุญนี้ให้กับเขา

 เขาก็จะอนุโมทนา เขาก็จะขอบคุณ

 เขาจะซาบซึ้งในน้ำใจของพวกเรา

ที่เรายังคิดถึงเขา ยังรักเขาอยู่

 ยังเป็นห่วงเป็นใยเขาอยู่

ทุกครั้งที่เราทำบุญเราก็อุทิศไปกัน

 เพราะเรื่องของบุญของบาปนี้มันไม่มีใครรู้

ว่าเราทำกันมากน้อยเพียงไร

ฉะนั้น เราอย่าประมาท

ในขณะที่เรามีชีวิตอยู่นี้

พยายามทำบุญกันให้มากๆ

 ทำให้มันมากกว่าทำบาป

 เพราะว่าเวลา ตายไปนี้

บุญกับบาปจะมาแย่งกายทิพย์ของเรา

ไปทางใดทางหนึ่ง

 ถ้าบุญมีกำลังมากกว่าบาป

 บุญก็จะดึงเราไปสวรรค์กัน

 ถ้าบาปมีกำลังมากกว่าบุญ

บาปก็จะดึงเราไปอบายกัน

นี่คือเรื่องกฎแห่งกรรม.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

......................

ธรรมะในศาลา

วันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐





ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 15 กุมภาพันธ์ 2560
Last Update : 15 กุมภาพันธ์ 2560 9:48:39 น.
Counter : 683 Pageviews.

0 comment
<<< ปฎิบัติบูชาเป็นการบูชาที่แท้จริง >>>









"ปฏิบัติบูชาเป็นการบูชาที่แท้จริง"

ผลนี้อยู่ที่เหตุ ก็คือการปฎิบัติ

สมัยนี้เหตุคือการปฏิบัติบูชานี้มีน้อยมาก

ส่วนใหญ่จะเอาแค่อามิสบูชา

หรือถ้าบูชาก็บูชาในระดับโลกียะไปก่อน

ไม่ใช่ระดับโลกุตระ

โลกียะก็คือระดับที่ยังต้องกลับ

มาเกิด แก่ เจ็บ ตายอยู่เรื่อยๆ

 ส่วนระดับโลกุตระนี้เป็นระดับที่จะไม่กลับมาเกิด

ถ้าจะกลับมาเกิดก็ไม่เกิน ๗ ชาติ

ถ้าอยู่ในขั้นแรกของการบรรลุโลกุตระธรรม

คือขั้นโสดาบัน ถ้าบรรลุขั้นที่สอง

ของขั้นโลกุตระธรรมก็คือพระสกิทาคามี

ก็จะกลับมาเกิดเพียงชาติเดียว

 ถ้าบรรลุขั้นที่สามของ โลกุตระธรรม

คือพระอนาคามีก็จะไม่ต้องกลับมาเกิด

เป็นมนุษย์อีกต่อไป

 แต่ยังต้องไปเกิดเป็นพรหมอยู่

และก็จะไปบรรลุไปถึงพระนิพพานได้

ในสวรรค์ชั้นพรหมต่อไป

ส่วนใหญ่จะไม่ปฏิบัติบูชากัน

 ส่วนใหญ่จะไม่ชอบถือศีล ๘ กัน ไม่เข้าวัดกัน

ไม่ไปปลีกวิเวกกัน ไม่ไปภาวนา

ไม่ไปเจริญศีล สมาธิ ปัญญากัน

 ส่วนใหญ่ชอบทำบุญกัน รักษาศีล ๕ บ้าง

 ไม่รักษาศีลบ้าง บางคนก็รักษาได้

บางคนก็รักษาไม่ได้

ถ้ารักษาไม่ได้ก็มีโอกาสที่จะต้องไปเกิดในอบาย

ถ้าไปทำบาปมากกว่าไปทำบุญ

 แต่ถ้ายังทำบุญมากกว่าทำบาปอยู่

การที่จะไปเกิดอบายก็รอไว้ก่อน

 โดนคาดโทษไว้ก่อน เวลาใดทำบาปมากกว่าบุญ

เวลานั้นก็จะต้องไปรับผลบาปทันที

 แต่ถ้าทำบุญตลอดเวลารักษาศีล ๕ ได้ตลอดเวลา

ไม่ทำบาปเลย ตายไปกี่ครั้ง

ก็จะไม่ไปเกิดในอบาย จะไปเกิดในสวรรค์

 แต่ยังต้องกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ใหม่

 เพราะเป็นงานโลกียะระดับที่

ยังจะต้องเวียนว่ายตายเกิดต่อไป

 แต่อย่างน้อยก็ได้เวียนว่ายตายเกิดในภพที่ดี

 คือได้ไปสวรรค์ชั้นต่างๆ

เวลาตายไปแล้วเกิดเป็นมนุษย์

ก็จะกลับมาเป็นมนุษย์ที่มีบุญบารมี มีวาสนา

 มีฐานะการเงินการทองที่ดี

รูปร่างหน้าตาสวยงาม อาการ ๓๒

 มีสติปัญญามีอะไรต่างๆ ที่ดี

เพราะอาศัยการทำบุญการรักษาศีลนี้

แต่ถ้าไม่ทำบุญไม่ได้รักษาศีล

หรือทำบาปมากกว่าการทำบุญ

ก็ต้องไปเกิดในอบาย

เวลาที่บาปมันมีมากกว่าบุญ

 และเวลาเกิดเป็นมนุษย์

ก็จะกลับมาเกิดแบบเป็นคนอาภัพวาสนา

ไม่มีบุญไม่มีบารมี

รูปร่างหน้าตาก็ไม่สวยงาม

สติปัญญาไม่ฉลาด อาการอาจจะไม่ครบ ๓๒

 มีโรคภัยเบียดเบียน อายุสั้นยากจน

อย่างนี้เป็นผลที่เกิดจากการทำบาปกัน

อย่างน้อยถ้าเราปฏิบัติบูชาในระดับนี้

 ก็ขอให้เรารักษาศีล ๕ กันไว้ให้ดี

 แล้วหมั่นทำบุญกันเป็นปกติ

 อย่างชาวบ้านนี้เขามีโอกาส

ได้ทำบุญกันทุกวัน

 เพราะจะมีพระมาบิณฑบาต

ชาวบ้านก็จะได้ใส่บาตรทุกวัน

 อย่างน้อยเขาก็ได้ทำบุญ

แต่เรื่องศีลนี้เขาก็ต้องรักษา

ถ้าเขาไม่รักษา บุญที่ทำจากการใส่บาตร

บุญที่ทำจากการทำทานนี้

ยังไม่สามารถยับยั้งให้ไปเกิดในอบายได้

ถ้าบาปนี้มันมีกำลังมากกว่าบุญ

 แต่ถ้าบุญยังมีกำลังมากกว่า

ก็ยังดึงไว้ก่อนได้ คาดโทษไว้ก่อน

ยังไม่ต้องไปใช้ผลบาป

 แต่ผลบาปยังมีอยู่รอเวลา

ที่บุญนี้มันมีกำลังน้อยกว่าบาป

บุญมีกำลังน้อยกว่าบาปเมื่อไหร่

 บาปก็จะดึงไปเกิดในอบายทันที

 ไปเป็นเดรัจฉานบ้าง ไปเป็นเปรตบ้าง

 ไปเป็นอสุรกายบ้าง ไปตกนรกบ้าง

ดังนั้นขอให้พวกเราจงเห็นความสำคัญ

ของการปฏิบัติบูชากัน

จะบูชาระดับโลกียะบูชาก็ได้

หรือจะบูชาระดับโลกุตระบูชาได้ยิ่งดี

 เพราะเราจะได้ไม่ต้องกลับมาเกิด

 มาแก่ มาเจ็บ มาตายกันอีกต่อไป

 เราจะได้หลุดพ้นจากกองทุกข์

แห่งการเกิด แก่ เจ็บ ตาย

 เราจะได้ไปรับความสุขของพระนิพพาน

ที่เป็นความสุขเต็มร้อย

เป็นความสุขที่ถาวรไม่มีวันหมด

 เป็นความสุขที่ไม่มีความทุกข์เลย

 ความสุขที่พวกเรามีกันอยู่ในขณะนี้

เป็นความสุขที่มีความทุกข์ตามมาเสมอ

 สุขได้ไม่กี่วันเดี๋ยวความทุกข์มาอีกแล้ว

 พอไปหาความสุขใหม่มา

เดี๋ยวความทุกข์ใหม่ก็ตามมาอีกแล้ว

 มันเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ

 ถ้าเราไม่ปฎิบัติธรรมระดับโลกุตระธรรมกัน

 ก็คือปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญา

นี่คือเรื่องของการปฏิบัติบูชา

ที่จะทำให้เราได้มีความสุขและมีความเจริญ

 และได้บูชาพระพุทธ พระธรรม

 พระสงฆ์ อย่างแท้จริง.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

........................

ธรรมะบนเขา
วันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐

"ปฏิบัติบูชาเป็นการบูชาที่แท้จริง"






ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 14 กุมภาพันธ์ 2560
Last Update : 14 กุมภาพันธ์ 2560 10:06:55 น.
Counter : 810 Pageviews.

0 comment
<<< หลักสูตรของพระพุทธศาสนา >>>









หลักสูตรของพระพุทธศาสนา"

โทษของการที่เราไปเสพความสุข

ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย

มันไม่ได้นำไปสู่ความสุขที่ถาวร

มันนำไปสู่ความสุขชั่วคราว

แล้วความทุกข์ที่ตามมา

 เวลาที่ความสุขชั่วคราวนั้นมันจางหายไป

 เราเลยต้องมาเปลี่ยนวิธีหาความสุขกันใหม่

 มาหาความสุขที่มันจะถาวร

มันจะอยู่กับเราไปเรื่อยๆ

 คือความสุขที่เกิดจากการทำใจให้สงบ

 หยุดความคิดด้วยการเจริญสติ

ควบคุมความคิดไม่ให้คิด

ด้วยการจดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง

เรื่องใดเรื่องหนึ่ง

 จดจ่ออยู่กับคำบริกรรมพุทโธๆ ไป

ใจก็คิดอะไรไม่ได้ ถ้าใจคิดอยู่กับพุทโธ พุทโธ

 ก็จะไปคิดถึงการไปเที่ยวไปดูหนังฟังเพลงไม่ได้

 หรือถ้าเราจดจ่ออยู่กับการกระทำของร่างกาย

 การเคลื่อนไหวต่างๆ ของร่างกาย

ใจก็จะไปคิดเรื่องอื่นไม่ได้

ถ้าเราเฝ้าคอยดูร่างกาย

 ใจมันจะอยู่กับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง

ถ้าเราไม่มีสติ มันก็จะบินไปบินมา

 อยู่ที่นี่แป๊บไปที่โน่นแป๊บ

คิดถึงเรื่องนั้นคิดถึงเรื่องนี้

แล้วก็กลับมาที่ร่างกาย

 เราจะทำอะไรหลายๆ อย่างสลับกันไป

ถ้าเราไม่มีสติเราเดินไป

เราก็คิดถึงคนนั้นคนนี้สิ่งนั้นสิ่งนี้ไป

เราไม่ต้องการให้คิดแบบนั้น

 เราต้องการให้อยู่กับร่างกายไปตลอด

 เดินก็ให้อยู่กับการเดินไปอย่างเดียว

 อยู่กับพุทโธไปอย่างเดียว

 เพราะถ้าเราไปคิดถึงเรื่องนั้นเรื่องนี้

คนนั้นคนนี้สิ่งนั้นสิ่งนี้

เดี๋ยวก็เกิดความอยากขึ้นมา

 คิดถึงขนมนมเนยก็อยากจะรับประทาน

คิดถึงภาพยนตร์ก็อยากจะดู

 คิดถึงเครื่องดื่มก็อยากจะดื่ม

หยุดความคิดด้วยการเจริญสติ

ควบคุมจิตใจให้รู้อยู่กับเรื่องเดียว

 อยู่กับพุทโธก็ได้

อยู่กับการกระทำต่างๆ ของร่างกายก็ได้

ใจก็จะไม่สามารถไปคิดถึงเรื่องราวต่างๆ ได้

และถ้าต้องการให้มันสงบเต็มที่ ก็ต้องนั่งเฉยๆ

 นั่งหลับตาไม่รับรู้อะไรผ่านมาทางตาจมูกลิ้นกาย

ให้จดจ่ออยู่กับลมหายใจเข้าออกก็ได้

 หรือให้จดจ่ออยู่กับคำบริกรรมพุทโธๆ ไปก็ได้

อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ หรือจะมาปนกันก็ได้

แล้วแต่อัธยาศัย บางคนก็ผสมกัน

พุทเข้าโธออก หายใจเข้าก็ว่าพุทหายใจออกก็ว่าโธ

 บางคนก็เอาเอาพุทโธพุทโธไปเลย

 ไม่ต้องยุ่งกับเรื่องลม

บางคนไม่อยากจะยุ่งกับพุทโธก็ดูลมอย่างเดียว

 หายใจเข้าก็รู้ว่าหายใจเข้า

 หายใจออกก็รู้ว่าหายใจออก ให้รู้เพียงแค่นี้

 เดี๋ยวมันก็จะสงบรวมเป็นสมาธิขึ้นมา

 พอรวมแล้ว มันก็จะนิ่งจะสบาย มีความสุข

 มีความเป็นกลางปราศจากอารมณ์รัก

 ชัง กลัว หลง ใจจะสักแต่ว่ารู้เฉยๆ

จะไม่วุ่นวายกับสิ่งต่างๆ ที่มาสัมผัสรับรู้

เวลาออกจากสมาธิใหม่ๆ ใจจะเย็นจะสบาย

 เห็นอะไรก็จะเฉยๆได้ยินอะไรก็เฉยๆ

ต่างกับเวลาก่อนที่จะเข้าไปในสมาธิ

ได้ยินอะไรก็หงุดหงิดรำคาญใจโมโหโทโส

 แต่พอออกจากสมาธินี้มันเป็นกลาง

มันไม่มีอารมณ์กับอะไร แต่มันจะอยู่ได้ไม่นาน

เดี๋ยวมันก็จะจางหายไป

เหมือนกับน้ำเย็นที่เราแช่ในตู้เย็น

 พอแช่เย็นเอาออกมาใหม่ๆ มันก็เย็น

 พอทิ้งไว้สักพักเดี๋ยวความเย็นมันก็หายไป

สิ่งที่ทำให้ความเย็นของใจหายไป

ก็คือ ความ รุ่มร้อนของรูป เสียง กลิ่น รสนี้

พอเรามาสัมผัส รูป เสียง กลิ่น รส

ใจเราก็จะร้อนขึ้นมา.

สนทนาธรรมมะบนเขา
วันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐

"หลักสูตรของพระพุทธศาสนา"

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต






ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 13 กุมภาพันธ์ 2560
Last Update : 13 กุมภาพันธ์ 2560 10:52:55 น.
Counter : 687 Pageviews.

1 comment
<<< สรุปเรื่องสำคัญเนื่องในวันมาฆะบูชา >>>








“สรุปเรื่องสำคัญ เนื่องในวันมาฆบูชา”

"มาฆบูชา" ย่อมาจาก "มาฆปูรณมีบูชา"

หมายถึงการบูชาวันเพ็ญกลางเดือนมาฆะ

ตามปฏิทินของอินเดีย หรือเดือน ๓

 ตามปฏิทินจันทรคติของไทย

ซึ่งมักจะตรงกับเดือนกุมภาพันธ์หรือเดือนมีนาคม

วันมาฆบูชาเป็นเสมือนวันประชุมกันเป็นพิเศษ

แห่งพระอรหันตสาวก

 โดยมิได้มีการนัดหมายล่วงหน้า

ซึ่งได้มีขึ้น ณ บริเวณเวฬุวันวรมหาวิหาร

กรุงราชคฤห์ แคว้นมคธ

หลังจากที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้

เป็นเวลานับได้ ๙ เดือน

 วันนี้มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “วันจาตุรงคสันติบาต”

(มาจากศัพท์บาลี คือ จตุ+องค+สนนิปาต+

แปลว่า การประชุมอันประกอบด้วย

องค์ประกอบทั้งสี่ประการ)

เนื่องจากมีเหตุการณ์เกิดขึ้น

อย่างประจวบเหมาะ ๔ ประการ คือ

๑. วันที่พระสงฆ์ทั้งหมดมาชุมนุมกันนี้

 ตรงกับวันเพ็ญเดือนมาฆะ

 (วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓)

๒. พระภิกษุ ๑,๒๕๐ รูป

 มาชุมนุมกันโดยมิได้นัดหมาย

๓. พระภิกษุ เหล่านั้นทั้งหมด

ได้รับการอุปสมบทจากพระพุทธเจ้าโดยตรง

 (เอหิภิกขุอุปสมปทา)

๔. พระภิกษุทั้งหมดล้วนเป็นพระอรหันต์

ประเภทฉฬภิญญา คือ ได้อภิญญา ๖

พระพุทธเจ้าจึงทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์

 เป็นพระพุทธพจน์ ๓ คาถา

ซึ่งถือได้ว่า เป็นหัวใจของพระศาสนา

 มีใจความดังนี้

พระพุทธพจน์คาถาแรก

 ทรงกล่าวถึง พระนิพพาน ว่าเป็นจุดมุ่งหมาย

หรืออุดมการณ์อันสูงสุดของบรรพชิต

และพุทธบริษัท อันมีลักษณะที่แตกต่าง

จากศาสนาอื่น ดัง พระบาลีว่า

 "นิพพานัง ปรม วทนติ พุทธา"

 แปลว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายกล่าวว่า

 พระนิพพานเป็นบรมธรรม

พระพุทธพจน์คาถาที่สองทรงกล่าวถึง

 "วิธีการอันเป็นหัวใจสำคัญเพื่อเข้าถึงจุดมุ่งหมาย

ของพระพุทธศาสนาแก่พุทธบริษัททั้งปวง

 โดยย่อดังพระบาลีว่า

 "สพพปาปสส อกสรณ กุสลสสูปสมปทา

 สจิตตปริโยทปเน เอต พุทธานสาสนฯ"

คือ การไม่ทำชั่วทั้งปวง การบำเพ็ญแต่ความดี

 และการทำจิตของตนให้ผ่องใส

เป็นอิสระจากกิเลสทั้งปวง

ส่วนนี้เองของโอวาทปาฏิโมกข์

ที่พุทธศาสนิกชนมักท่องจำกันไปปฏิบัติ

 ซึ่งเป็นเพียงคาถาในสามคาถา

กึ่งของโอวาทปาฏิโมกข์เท่านั้น

ส่วนพระพุทธพจน์คาถาสุดท้าย

 ทรงกล่าวถึงหลักการปฏิบัติของพระสงฆ์

ผู้ทำหน้าที่เผยแผ่พระศาสนา ๖ ประการ

 คือ การไม่กล่าวร้ายใคร ,

การไม่ทำร้ายใคร ,

การมีความสำรวมในปาฏิโมกข์ทั้งหลาย ,

การเป็นผู้รู้จักประมาณในอาหาร

และการรู้จักที่นั่งนอนอันสงัด.

ไม่ว่าพระพุทธเจ้าพระองค์ใดก็ตาม

 เมื่อได้มาตรัสรู้และประกาศคำสอนแล้ว

 ก็จะประกาศหัวใจของศาสนาด้วยกันทั้งสิ้น

 ซึ่งมีหัวข้อสำคัญอยู่ ๓ หัวข้อด้วยกัน

คือ ๑. ละเว้นจากการทำบาปทั้งปวง

 ๒. ทำกุศลทั้งหลายให้ถึงพร้อม

๓. ชำระจิตใจให้บริสุทธิ์ กำจัดความโลภ

ความโกรธ ความหลงให้หมดสิ้นไปจากจิตจากใจ

นี่คือ หัวใจของพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า

ทุกๆ พระองค์ที่อุบัติขึ้นมาในอดีตก็ดี

 หรือจะมาตรัสรู้ในภายภาคหน้าก็ดี

ก็จะสอนเหมือนกันทั้งนั้น เพราะคำสอนนี้เป็นเหตุ

ที่จะนำสัตว์โลกไปสู่ความสุข ความเจริญ

แคล้วคลาดปลอดภัย

จากทุกข์ภัยอันตรายทั้งหลายทั้งปวง

เพราะสัตว์โลกทั้งหลาย

ทั้งแต่ท้าวมหาพรหมลงมาจนถึงสัตว์นรก

ก็ตกอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรมทั้งสิ้น

 คือ “กฎของเหตุและผล” เหตุก็คือการกระทำ

 ผลก็คือความสุขความเจริญ

 หรือความทุกข์ความเสื่อม

ก็จะตามมาไม่ยกเว้นใครทั้งสิ้น

ถ้าทำเหตุที่ดีตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอน

ให้ทำทั้ง ๓ ประการ

ก็จะได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ในที่สุด

ถ้ายังไม่ได้บรรลุก็จะได้เป็นเทพ

 เป็นพรหม เป็นมนุษย์ไปก่อน

 จนกว่าจะทำภารกิจให้เสร็จสิ้นไป

ก็จะได้กลายเป็นพระอรหันต์

กลายเป็นพระพุทธเจ้า

 ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป

ถ้ายังไม่ถึงขั้นพระอรหันต์

ก็จะเวียนว่ายอยู่ในภพที่ดี อยู่ในสุคติ

เกิดเป็นมนุษย์บ้าง เป็นเทพบ้างเป็นพรหมบ้าง

แล้วในที่สุดก็จะได้เป็นพระอรหันต์

ไม่ต้องไปเกิดอีกต่อไป ได้ไปอยู่ในพระนิพพาน

 อันเป็นดินแดนที่มีแต่ความสุข

มีแต่ความเจริญโดยฝ่ายเดียว

ปราศจากความทุกข์ต่างๆ

การกำจัดความโลภความโกรธความหลง

ด้วยการสร้างปัญญาให้เกิดขึ้น

สอนตนเองว่าไม่มีอะไรในโลกนี้เที่ยงแท้แน่นอน

ที่เป็นของเราอย่างแท้จริงที่จะอยู่กับเราไปตลอด

 ที่จะให้ความสุขไร้ความทุกข์

เมื่อต้องพลัดพรากจากกัน ก็จะต้องปล่อยวาง

 เตรียมตัวเตรียมใจว่าสักวันหนึ่งจะต้องจากกันไป

 จะได้รู้สึกเฉยๆ ไม่เดือดร้อนไม่ทุกข์

 เพราะเดือดร้อนไปทุกข์ไป

ก็ไม่ได้ห้ามไม่ให้เกิดขึ้นได้

 เมื่อถึงเวลาจะต้องตายจากกัน

จะทุกข์หรือไม่ทุกข์ก็ต้องตายจากกันเหมือนกัน

 แต่คนที่ไม่ทุกข์เป็นคนฉลาด เพราะใจสบาย

คนที่ทุกข์เป็นคนโง่

 ต้องแบกความทุกข์ความเศร้าโศกเสียใจ

กินไม่ได้นอนไม่หลับ เพราะไม่สร้างปัญญา

มาทำลายความหลงนั่นเอง

 นี้ก็คือการกำจัดความโลภความโกรธ

ความหลงในจิตใจ

เพื่อที่จะทำให้ไม่ต้องไปเกิดอีกต่อไป"

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

..............................

ส่วนหนึ่งจากพระธรรมเทศนา ชุด กำลังใจ ๓๑

เรื่อง “วันมาฆบูชา” กัณฑ์ที่ ๓๐๒

วันที่ ๓ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐


“ข้อมูลจากหนังสือ ป้ายบอกทาง”







ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 11 กุมภาพันธ์ 2560
Last Update : 11 กุมภาพันธ์ 2560 9:48:22 น.
Counter : 1198 Pageviews.

1 comment
<<< สติเป็นเหตุ สมาธิเป็นผล >>>









"สติเป็นเหตุ สมาธิเป็นผล"

พยายามดึงใจให้อยู่กับงาน

ที่เรากำลังทำอยู่อย่าให้ไปที่อื่น

ใจมันชอบไปที่อื่น ไม่ชอบอยู่ที่นี่เดี๋ยวนี้

ชอบไปอดีตบ้างชอบไปอนาคตบ้าง

 ไปที่ใกล้ ไปที่ไกล

แต่ตรงนี้มันไม่ค่อยอยู่หรอกปัจจุบัน

 ปัจจุบันนี้เป็นที่ตั้งของความสงบ

ถ้าเราดึงใจให้อยู่ในปัจจุบันได้มันจะสงบ

ถ้ามันไปอดีตไปอนาคต

ไปเรื่องนั้นเรื่องนี้ มันจะวุ่นวาย

 ถ้าอยู่ในปัจจุบันแล้วก็ให้มันรู้เฉยๆ

 ไม่คิดอะไรให้รู้ว่าตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่

 เรากำลังเดิน กำลังนั่ง กำลังยืน

กำลังทำงานอย่างใดอย่างหนึ่ง

ให้อยู่กับปัจจุบันไปเรื่อยๆ อย่าให้ปรุงแต่ง

อย่าให้คิดปรุงแต่ง ให้เป็นผู้ดูอย่าเป็นผู้คิด

 ใจมีสองส่วนผู้ดูผู้รู้ส่วนหนึ่ง

ผู้คิดอีกส่วนหนึ่ง ตอนนี้ผู้คิดมันเป็นตัวปัญหา

 เพราะมันคิดไม่เป็น คิดแล้วทำให้วุ่นวาย

ไม่ได้คิดแล้วทำให้สงบ เพราะมันหลง

หลงไปคิดว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้เป็นของเรา

เพราะอะไรเป็นของเราก็เกิดความอยาก

 ให้มันดีให้มันอยู่กับเรา

 แต่ธรรมชาติของทุกสิ่งทุกอย่าง

มันต้องเปลี่ยนไป ต้องมีวันเสื่อม

 ต้องมีการเปลี่ยน พอมันเปลี่ยนไป

 เราก็ไม่พอใจ วุ่นวายใจ

อยากให้มันกลับมาเหมือนเดิม

กลับมาดีเหมือนเดิม อยากตลอดเวลา

 นอกจากนั้น อยากจะได้สิ่งต่างๆ

อยากได้รูปเสียงกลิ่นรส

 เวลาได้มาแล้วมันมีความสุข

แต่มันเป็นความสุขเดี๋ยวเดียว

แล้วก็ทำให้เราต้องอยากอยู่เรื่อยๆ

 เพราะเวลาไม่ได้ไม่มีอะไรให้เราได้เสพ

 ได้สัมผัส เราก็รู้สึกอ้างว้างเปล่าเปลี่ยว

ไม่มีความสุข ต้องมีรูปดู ต้องมีเสียงฟัง

ต้องมีกลิ่นให้ดม ต้องมีรสให้ลิ้ม

แล้วก็ต้องให้มีอะไร

มาสัมผัสทางร่างกายที่ถูกใจ

อันนี้มันเป็นความอยากที่อยู่ในใจตลอดเวลา

 มันเกิดตามความคิด

พอคิดถึงรูปก็อยากได้รูป

คิดถึงเสียงก็อยากได้เสียง

 คิดถึงสิ่งนั้นสิ่งนี้ก็อยากจะได้ขึ้นมา

ฉะนั้น เราหยุดความคิดเหล่านี้ให้ได้จะดีกว่า

 เพราะหยุดแล้วมันก็จะทำให้

ความอยากเกิดขึ้นมาไม่ได้

พอไม่มีความอยาก ใจก็จะว่าง

จะเย็น จะสบาย จะเบา

ใจก็เหลือแต่ผู้รู้ผู้คิด

หยุดคิดก็เหลือแต่ผู้รู้

 ผู้รู้ก็รู้ทุกสิ่งทุกอย่างตามความเป็นจริง

 ว่ามันสุขก็อยากได้

ถ้าไปว่ามันทุกข์ก็อยากจะหนี

 นี่แหละมันเป็นอย่างนี้

 แต่ถ้ามันไม่ไปคิดว่ามันดีหรือไม่ดี

 มันก็อยู่กับสิ่งที่สัมผัสรับรู้ได้

 แล้วเวลานั่งสมาธิใจก็จะสงบง่าย

 ถ้าไม่มีความคิดปรุงแต่ง

แล้วสงบนิ่งจะมีความสุข

จะรู้ว่าไม่มีอะไรดีกว่าความสุข

ที่ได้จากความสงบ แล้วรู้ว่าความสงบนี้

เราสามารถสร้างมันได้

ถ้ารู้จักวิธีสร้างมันขึ้นมา

 แล้วก็ไม่ต้องใช้อะไรเป็นเครื่องมือ

 ไม่ต้องใช้เงิน เราใช้เงินทองเป็นเครื่องมือ

ซื้อความสุขต่างๆ แต่ถ้าเกิดเงินทองหมด

ก็ซื้อไม่ได้ ก็ทำให้เราต้องไปหาเงินหาทอง

 ไปทุกข์ไปยากลำบากกับการหาเงินหาทอง

 หามาได้ก็เอาไปใช้หมด

หมดแล้วก็ต้องไปหาใหม่

 ใจก็เลยไม่มีวันสงบเสียที

 แต่ถ้าเราหยุดใช้เงิน

หยุดหาเงินมาหาสติแทน

 มาฝึกสร้างสติกันทั้งวัน อย่าให้ใจคิด

 ให้ใจรู้เฉยๆ แล้วก็มีเวลาว่างก็นั่งกัน

 แทนที่จะไปดูหนังสือพิมพ์ ดูไลน์ (LINE )

 ดูอะไร ก็ดูลมหายใจดีกว่า

 นั่งหลับตาดูลมหายใจเข้าออก

 ความคิดปรุงแต่งให้หมดไป

พอมันหมดปั๊บ มันก็สงบ

มันก็จะนิ่งสบาย สุขกว่าดู ไลน์ (LINE)

ดูอะไรในเครื่องมือถือ ดูทีวีดูข่าวดูอะไร

สู้ดูลมหายใจเข้าออกไม่ได้

หายใจเข้าก็รู้หายใจออกก็รู้ รู้ที่ปลายจมูก

 หายใจเข้าก็รู้ว่าหายใจเข้า

หายใจออกก็รู้ว่าหายใจออก

หายใจยาวก็รู้ว่าหายใจยาว

หายใจสั้นก็รู้ว่าหายใจสั้น

ไม่ต้องไปบังคับมัน

ยาวก็อย่าไปทำให้มันสั้น

 มันสั้นก็อย่าไปทำให้มันยาว

 ปล่อยมันไปตามธรรมชาติ

 ถ้าเราไปจัดการกับลมใจมันก็จะไม่นิ่ง

 ใจมันจะต้องทำงาน เราต้องการให้ใจนิ่งเฉยๆ

 ให้รู้อย่างเดียว ไม่ให้ไปจัดการ

ให้ไปทำอะไรกับสิ่งต่างๆ กับลมหายใจ

ไม่ไปทำอะไรเดี๋ยวมันก็นิ่งสงบ

พอสงบแล้ว ก็สบาย เย็น มีความสุข

 มีความสุขที่เหนือกว่าความสุขทั้งปวง

 ถ้าได้พบความสุขที่เกิดจากความสงบแล้ว

 ก็จะทิ้งความสุขในรูปแบบอื่นได้

 ทิ้งความสุขในรูปเสียงกลิ่นรสได้

 ทิ้งความสุขจากลาภ ยศ สรรเสริญได้

ไม่ต้องมีเงินทองไม่ต้องมียศ ไม่ต้องมีตำแหน่ง

 ไม่ต้องให้มีใครมายกย่องสรรเสริญ

ไม่ต้องมีรูปเสียงกลิ่นรสมาเสพ

 เสพความสงบดีกว่า เป็นสุขอย่างยิ่ง

อันนี้แหละคือเป้าหมายของการเจริญสติ

 สติเป็นเหตุ สมาธิเป็นผล

 สมาธิคือความนิ่งสงบของใจ

สติคือการระลึกรู้ไม่คิดปรุงแต่ง

 ถ้าเรามีแต่การระลึกรู้ ไม่มีการคิดปรุงแต่ง

 เดี๋ยวความคิดปรุงแต่งมันก็จะหยุด

หยุดแล้วก็จะเหลือแต่ผู้รู้ เหลือแต่ความนิ่ง

 เหลือแต่ความสงบ

 เหลือแต่ความเป็นกลางของใจ

 เวลาใจนิ่งใจสงบนี้ จะปราศจากอารมณ์ต่างๆ

 อารมณ์รัก อารมณ์ชัง อารมณ์กลัว

 อารมณ์หลงนี้จะหายไป.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.............................

สนทนาธรรมะบนเขา
วันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐




ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 10 กุมภาพันธ์ 2560
Last Update : 10 กุมภาพันธ์ 2560 10:51:28 น.
Counter : 662 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ