Group Blog
All Blog
<<< " ใจนี่แหละไปสวรรค์ไปนรก” >>>










“ใจนี่แหละไปสวรรค์ไปนรก”

สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสอนทรงตรัสรู้

 ก็คือกฎแห่งกรรมนี่

พระธรรมคำสอนก็สอนเรื่องกฎแห่งกรรม

พระอริยสาวกทุกองค์ก็สอนเรื่องกฎแห่งกรรม

 ไม่มีองค์ไหนสอนอย่างอื่น

 สอนแต่เรื่องกฎแห่งกรรมนี้เท่านั้น

ถ้าสอนอย่างอื่นก็แสดงว่าไม่ใช่เป็นพระอริยสงฆ์

 แสดงว่ายังไม่รู้เรื่อง

เป็นพระแต่อาจจะไม่ได้เป็นพระอริยะ

 พระนี่มีสองแบบ พระปุถุชน กับ พระอริยะ

 พระที่นุ่งเหลืองห่มเหลืองเนี่ย ที่บวชกันเนี่ย

ช่วงเข้าพรรษาเนี่ย ไปงานบวชกันเนี่ย

พวกนี้พอออกมาจากโบสถ์ ไม่ได้เป็นพระอริยะทันที

 ก็ยังเป็นปุถุชนมีกิเลสเหมือนกับตอนก่อนเข้าโบสถ์

 ออกมาจากโบสถ์ก็ไม่ได้ไปทำลายให้กิเลสมันตายลง

 ต้องเอามาศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้า

และปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าก่อน

จึงจะสามารถกำจัดกิเลสตันหาโมหะ

อวิชชาที่ครอบงำจิตใจให้หมดไป

จนเห็นชัดว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์นี้มีอย่างเดียวเท่านั้น

ก็คือ กฎแห่งกรรม ที่มองไม่เห็นกันก็เพราะ

ถูกโมหะอวิชชา ความหลง ความโง่มันหลอกเรา

หลอกให้เราคิดว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งศักสิทธิ์

สิ่งนี้เป็นสิ่งศักสิทธิ์กัน สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริง

กลับไม่เห็นกันไม่เชื่อกัน ไม่เชื่อกฎแห่งกรรมกัน

 เพราะว่าผู้ที่ทำกรรมกับผู้ที่รับผลกรรม

มันเป็นสิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่านั่นเอง

 ผู้ที่ทำกรรมนี้ไม่ใช่ร่างกาย

ผู้ที่รับผลของกรรมก็ไม่ใช่ร่างกาย

 ผู้ที่ทำกรรมผู้ที่รับผลของกรรมก็คือใจ

ที่ไม่มีรูปร่างหน้าตา มันเลยทำให้คนไม่รู้ว่า

อะไรเป็นอะไรกัน เราไม่รู้ว่าเราเป็นใครกัน

 เราไม่รู้ว่าเราเป็นใจ เราไม่รู้ว่าเราเป็นผู้รู้ผู้คิด

เพราะเราเห็นแต่ร่างกายเราก็เลยคิดว่า

ร่างกายนี้เป็นเราเป็นตัวเราเป็นของเรา

 แล้วร่างกายทำอะไร

ร่างกายจะต้องเป็นผู้รับผลของกรรม

 ทีนี้เวลาทำไปบางทีร่างกายก็ไม่ได้รับผลของกรรม

ทำบาป ไปฆ่าคนไม่มีใครรู้ไม่มีใครเห็น

ก็ไม่มีใครมาจับไปติดคุกติดตะราง

ไม่มีใครจับไปลงโทษประหารชีวิต หรือรู้ก็หลบหนีได้

 ถ้าเก่งกว่าตำรวจก็หลบหนีได้

 หรือถ้าถูกจับถ้ามีเงินก็เปลี่ยนคดีได้

 เปลี่ยนจากผิดมาเป็นไม่ผิดได้

 อันนี้มันจึงทำให้คนงงกัน

 เอ้า แล้วกฎแห่งกรรมมันเป็นยังไง

เห็นชัดๆ ว่าโกง เห็นชัดๆ ว่าทำบาป

 แต่ทำไมได้ดิบได้ดีกัน ทำไมได้เป็นใหญ่เป็นโตกัน

 คนที่ทำดีแสนดีกลับไม่ได้อะไร

 ก็เลยทำให้คนเราไม่เชื่อกฎแห่งกรรม

ไม่รู้ว่ากฏแห่งกรรมนี้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์

มีสิ่งเดียวเท่านั้นในโลกที่ศักดิ์สิทธิ์

ที่เกี่ยวข้องกับตัวเราก็คือกฎแห่งกรรมนี้

 แต่เราไม่รู้ว่าเรานี้เป็นใคร

 เราเนื่องจากมองไม่เห็นตัวเราเอง

 เราไม่รู้ว่าเราเป็นผู้รู้ผู้คิด เราไปคิดว่าเราเป็น

 เราคิดเนี่ย เราคิด ผู้คิดเนี่ยไปคิดว่าร่างกายเป็นผู้คิด

 เป็นผู้รู้ ก็เลยมองทุกสิ่งทุกอย่างไปที่ร่างกาย

ถ้าทำดีแล้วร่างกายได้ดิบได้ดีก็คิดว่าเป็นผลเป็นเหตุ

 แต่ถ้าทำดีแล้วไม่ได้ดิบได้ดีขึ้นมาก็สับสน

 เอ๊ะ ไม่แน่ใจซะแล้วว่ากฏแห่งกรรมนี้

หมายถึงอะไรกันแน่

นี่แหละคือสิ่งที่พวกเราไม่เข้าใจกันว่า

กฏแห่งกรรมนี้มันมีผลกระทบต่อกับใครกันแน่

 กฏแห่งกรรมนี้มีผลกระทบต่อจิตใจ

จิตใจเป็นผู้กระทำ ร่างกายเป็นเพียงแต่ผู้รับคำสั่ง

 ร่างกายนี้เป็นเหมือนปืน

เวลาเราเอาปืนไปยิงคนตายนี้

เขาจับปืนไปติดคุกติดตะรางหรือเปล่า

 ปืนมันเป็นเพียงเครื่องมือ

 เขาจับคนที่เอาปืนเนี่ยไปยิงคนตายเนี่ยไปติดคุก

 ฉันใด ใจก็ใช้ร่างกายนี้ไปฆ่าคน ไปทำบาป

ใจผู้รู้ผู้คิดเนี่ยเป็นผู้สั่งให้ร่างกายไปทำบาป

หรือไปทำบุญ แล้วพอทำเสร็จแล้ว

ผู้ที่รับผลก็คือใจนี่แหละ

โดยที่ไม่ต้องมีใครมาให้ผลต่อการกระทำของใจ

ทำบุญนี่เกิดความสุขใจขึ้นมา

ทำบาปนี่เกิดความทุกข์ใจขึ้นมาทันที

นี่แหละคือผู้กระทำกรรม

และผู้รับผลแห่งกรรม ไม่ใช่ร่างกาย

ร่างกายเป็นเพียงเครื่องมือของใจอีกทีหนึ่ง

 ร่างกายไม่ได้เป็นผู้รับผลบุญผลกรรมแต่อย่างใด

 ตายไปร่างกายก็กลายเป็นขี้เถ้าไป

 แล้วใครไปสวรรค์ใครไปนรกล่ะ

ก็ใจนี่แหละไปสวรรค์ไปนรก

ใจผู้ที่ทำบุญที่ทำบาปนี่แหละ

 ถ้าทำบุญก็ไปสวรรค์ ถ้าทำบาปก็ไปนรก

 อยากจะรู้ว่านรกสวรรค์เป็นยังไง

ก็ดูตอนที่เรานอนหลับ ตอนที่เรานอนหลับตอนนั้น

ร่างกายก็เหมือนตายชั่วคราว

ร่างกายไม่ทำอะไรนอนเฉยๆ

 แต่ใจเรานี้ไม่เฉย ใจเราไปสวรรค์ละ

หรือเวลาเรานอนหลับแล้วใจเราฝันร้ายแล้ว

ใจเราไปนรกแล้วไปอบายแล้ว

นี่แหละคือสวรรค์นรก นี่แหละคือผู้รับผลบุญผลบาป

 ไม่ใช่ร่างกาย เป็นใจเป็นผู้รู้ผู้คิด

 ที่เวลาร่างกายตายหรือเวลาร่างกายนอนหลับนี้

ใจมันไม่ได้หลับไปกับร่างกายไม่ได้ตายไปกับร่างกาย

 ใจมันรับผลบุญผลบาป

 ถ้าทำบาปบาปมันจะทำให้เราฝันร้าย

ถ้าทำบุญบุญจะทำให้เราฝันดี ฝันดีเป็นยังไง

 มีความสุขไหม บางคืนฝันดีตื่นขึ้นมา

ยังไม่อยากจะตื่นเลยอยากจะกลับไปนอนต่อ

 เพราะว่าพอตื่นแล้วมาเจอชีวิตที่สู้ขณะที่เราฝันไม่ได้

 นี่แหละคือความจริงที่เราไม่เข้าใจกัน.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.........................

สนทนาธรรมบนเขา

วันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๖๑





ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 16 พฤษภาคม 2561
Last Update : 16 พฤษภาคม 2561 9:19:40 น.
Counter : 544 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ