Group Blog
All Blog
<<< " มีดวงตาเห็นธรรม" >>>









“มีดวงตาเห็นธรรม”

ธรรมะก็คือธรรมชาตินี้เอง

เสียงน้ำ เสียงลม เสียงฝนนี้เป็นธรรมชาติ

 ถ้าพิจารณาเห็นไตรลักษณ์ในธรรมชาติก็จะบรรลุธรรมได้

 มีเรื่องในสมัยพุทธกาล มีพระรูปหนึ่ง

ท่านมีคำถามอยากจะไปถามพระพุทธเจ้า

พอไปถึงกุฏิฝนตกพอดีก็เลยรออยู่ข้างล่างกุฏิ

 เห็นน้ำฝนที่ตกลงมาจากหลังคา

ลงไปกระทบกับน้ำที่อยู่ข้างล่างน้ำที่อยู่บนดิน

 น้ำฝนที่ตกลงไปบนดินเป็นฟองแล้วก็แตกกระจายไป

 เกิดเป็นฟองแล้วก็แตกกระจายไป

พอท่านเห็นอย่างนั้นท่านก็ได้คำตอบ

 เห็นว่าความไม่เที่ยงเป็นอย่างไร

ก็เลยไม่ต้องไปถามพระพุทธเจ้า

 ความไม่เที่ยงก็คือมันเกิดขึ้นแล้วมันก็ดับเอง

เหมือนฟองน้ำ น้ำฝนที่ตกลงมาจากชายคา

พอตกลงมากระทบกับน้ำที่เลอะนองอยู่บนพื้น

ก็กลายเป็นฟองน้ำขึ้นมา แล้วฟองนั้นก็แตกดับไป

 เห็นอนิจจัง เห็นอนัตตา เห็นว่าห้ามไม่ได้

 ห้ามไม่ให้ฟองน้ำที่มันเกิดแล้วไม่ให้มันแตกไปไม่ได้

 ฟองน้ำมันเกิดแล้วเดี๋ยวมันก็แตกไป

ห้ามไม่ให้มันเกิดก็ไม่ได้

มันคือฟองน้ำตกลงมาจากบนหลังคา

มาสู่น้ำที่อยู่ข้างล่างก็กลายเป็นฟองน้ำขึ้นมา

แล้วก็แตกไป ก็เลยเข้าใจความเป็นจริงว่า

อนิจจังเป็นยังไง อนิจจังก็คือมันไม่แน่

มันไม่เที่ยงมันไม่ถาวร ฟองน้ำตกลงมาแล้วก็แตกไป

แล้วฟองน้ำตกลงมาใหม่ หยดน้ำตกลงมาใหม่

ก็เป็นฟองน้ำขึ้นมาใหม่ แล้วก็แตกไป

 ก็เห็นว่าการเกิดดับเกิดดับของธรรมชาติ

ทุกอย่างเป็นธรรมชาติ สัพเพ ธัมมา อนัตตา

 อะไรที่เกิดแล้วดับ อันนั้นก็ต้องเป็นธรรมชาติ

เพราะเราห้ามเขาไม่ได้

ร่างกายของเราเกิดแล้วเดี๋ยวมันก็ดับ

ไม่ว่าจะเป็นร่างกายของสัตว์ของมนุษย์

ก็เกิดแล้วก็ต้องดับ เป็นหญิงเป็นชาย เป็นคนรวยคนจน

 เป็นเหมือนกันหมด ไม่ใช่ร่างกายนี้ไม่ได้เป็นของใคร

 เป็นของธรรมชาติ เพราะทำมาจากธรรมชาติ

 ร่างกายนี้ก็ทำมาจากน้ำ จากดิน จากลม จากไฟ

 พอมันมารวมกันก็เกิดเป็นขน ผม เล็บ ฟันขึ้นมา

 เหมือนกับน้ำที่ตกลงมาจากชายคา

มารวมกับน้ำที่อยู่ที่บนพื้นดิน

ก็กลายเป็นฟองน้ำขึ้นมา แล้วมันก็แตกไปดับไป

ร่างกายก็ได้มาจากน้ำที่เราดื่มเข้าไป

ลมที่เราหายใจเข้าไป อาหารที่เรารับประทานเข้าไป

 อาหารก็เป็นธาตุดินส่วนใหญ่ ข้าวก็ทำมาจากดิน

 ผักก็ทำมาจากดิน เนื้อสัตว์ก็มาจากผัก

มาจากข้าวอีกทีหนึ่ง สัตว์ก็ต้องกินข้าวกินผัก

แล้วก็กลายเป็นเนื้อสัตว์ เนื้อสัตว์ก็เข้ามาในร่างกายเรา

 ก็มากลายเป็นเนื้อเรา

เป็นหนัง เป็นเนื้อ เป็นเอ็น เป็นกระดูก

อันนี้เป็นธรรมชาติทั้งนั้น

 ร่างกายนี้ไม่มีเราอยู่ในร่างกายนี้ เรานี้เราคิดไปเอง

 เราคือผู้คิดผู้รู้ เราคิดว่าร่างกายเป็นเรา

 แท้จริงร่างกายมันเป็นดินน้ำลมไฟ

 แต่เรากลับไปคิดว่ามันเป็นเรา

 พอเราคิดว่าเป็นเราเราก็จะไปรักไปหวงมัน

 พอมันจะดับก็เลยทุกข์กับมัน เพราะอะไร?

เพราะอยากไม่ให้มันดับ

 ตันหาความอยากเป็นต้นเหตุของความทุกข์ใจ

 ความทุกข์ใจก็คือการเกิดแก่เจ็บตายนี้เอง

 เกิดก็ต้องทุกข์ แก่ก็ต้องทุกข์ เจ็บก็ต้องทุกข์

ตายก็ต้องทุกข์ เพราะเกิดแล้วก็ไม่อยากจะให้มันตาย

 อยากจะให้มันอยู่ ก็ต้องหากินหาอะไร

 ต่อสู้กับอะไรต่างๆเพื่อให้ร่างกายมันอยู่

 ก็ต้องทุกข์กับการเลี้ยงดูร่างกาย

 แล้วพอมันแก่ก็ทุกข์เพราะไม่อยากให้เหมือนแก่

 มันเจ็บก็ไม่อยากให้มันเจ็บ

 มันตายก็ไม่อยากให้มันตาย

 มันก็เลยทำให้ใจทุกข์กับร่างกาย

เพราะใจไม่รู้จักร่างกายว่าเป็นอะไร ไปคิดว่าเป็นเรา

ถ้าคิดว่ามันเป็นเหมือนฟองน้ำที่ตกลงมาจากชายคา

แล้วก็ลงมากระทบกับน้ำที่อยู่บนพื้นดิน

ก็ปรากฏเป็นฟองขึ้นมา

 ถ้าเราไปยึดฟองนั้นว่าเป็นเราเราก็จะทุกข์

 เพราะอยากจะให้ฟองนั้นมันไม่แตก

แต่เรารู้ว่ามันเป็นฟองมันไม่ได้เป็นเรา

เราเลยไม่ไปยึดมัน เราเลยไม่ทุกข์กับฟองน้ำ

ถ้าเรารู้ว่าร่างกายเราก็เป็นเหมือนฟองน้ำ

เราไม่ไปยึดกับมัน เราไม่ไปทุกข์กับมัน

 เพราะเราไม่ได้เป็นมัน นี่คือการมีดวงตาเห็นธรรม.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.....................................

ธรรมะบนเขา

วันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๖๑




ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 10 กรกฎาคม 2561
Last Update : 10 กรกฎาคม 2561 8:15:55 น.
Counter : 628 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ