"ตัณหาทั้งสาม"
พระบรมศาสดาจึงทรงสอนให้ตัดตัณหาทั้ง ๓
คือ กามตัณหา ความอยากในกามสุข
วิภวตัณหา ความอยากไม่มีอยากไม่เป็น
เช่นไม่อยาก แก่ ไม่อยากเจ็บ ไม่อยากตาย
ภวตัณหา ความอยากมีอยากเป็น
อยากจะเป็นอย่างนั้น อยากจะเป็นอย่างนี้
มันก็เป็นสมมุติทั้งนั้น ความจริงแล้วคนเราเกิดมา
ไม่มีใครเป็นอะไร มาตั้งกันขึ้นมาเอง
ตั้งคนนี้เป็นนายก คนนี้เป็น ส.ส.
แล้วก็ให้มีอำนาจอย่างนั้นอย่างนี้ มีเงินเดือนสูงๆ
คนที่ไม่รู้เรื่องก็หลง ก็อยากจะมีอยากจะเป็นกับเขา
แต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงสภาพความเป็นจริงของตัวเอง
ไม่ได้เปลี่ยนความแก่ ความเจ็บ ความตายของตัวเอง
ไม่ได้ไปแก้ความทุกข์ภายในจิตใจ
แต่กลับไปเพิ่มความทุกข์ให้มีมากขึ้นอีก
เพราะเมื่อเคยเป็นใหญ่แล้ว เวลาไม่ได้เป็นใหญ่
จะรู้สึกทุกข์มาก
สังเกตดูเวลาเป็นนายกจะยิ้มแย้มแจ่มใส
แต่พอไม่ได้เป็นแล้วหน้าตาเศร้าสร้อยหงอยเหงา
เพราะความหลงนั่นเองทำให้ยึดติดกับสิ่งต่างๆ
คิดว่ามีแล้วจะมีความสุข แต่หารู้ไม่ว่า
สิ่งเหล่านี้เป็นต้นเหตุของความทุกข์ทั้งนั้น
เมื่อไปยึดไปติดแล้ว เวลาไม่มีเข้าก็จะทุกข์ใจ
จึงทรงสอนไม่ให้ไปยึดไปติดกับความอยากทั้ง ๓ นี้
ไม่ให้มีกามตัณหา ความอยากในกาม
ไม่ให้มีภวตัณหา ความอยากมีอยากเป็น
ไม่ให้มีวิภวตัณหา ความอยากไม่มีอยากไม่เป็น
คืออยากไม่แก่ อยากไม่เจ็บ อยากไม่ตาย
อยากจะไม่เจอสิ่งต่างๆที่ไม่ปรารถนา
ที่เกิดจากความโง่เขลาเบาปัญญา
ไม่รู้จักธรรมชาติของโลก เมื่ออยู่ในโลกนี้แล้ว
จะไปฝืนความจริงของโลกได้อย่างไร
ความจริงเป็นอย่างไรก็ต้องเป็นอย่างนั้น
ทรงเจริญวิปัสสนาปัญญา
พิจารณาหลังจากที่จิตมีความสงบ
เพราะจะสามารถพิจารณา
จนเห็นคล้อยตามความเป็นจริงได้
ในขณะที่จิตสงบ
จะไม่มีอารมณ์ของกิเลสมาคอยต่อต้าน
ไม่มีความโลภ ความโกรธ ความหลง
ไม่มีความอยากต่างๆมาคอยต่อต้าน
มาคอยคัดค้าน มาคอยแย้ง
ก็เลยทำให้เห็นสภาพความเป็นจริง
เห็นโทษของความโลภ ความโกรธ ความหลง
เห็นอนิจจัง ความไม่เที่ยง ทุกขัง
ความเป็นทุกข์ อนัตตา ความไม่มีตัวตน
ของสภาวธรรมทั้งหลาย ที่ไปชื่นชมยินดี
อยากมีอยากเป็น สิ่งเหล่านี้เป็นของชั่วคราว
ในที่สุดก็ต้องหมดไป ช้าหรือเร็ว
และเมื่อหมดไปก็จะมีความทุกข์ ถ้าไปยึดไปติด
ถ้าไม่ยึดไม่ติดก็จะมีแต่ความสบายใจ
ใครจะเป็นนายกหรือไม่เป็นนายกก็ไม่เดือดร้อน
จะมีเงินทองมากหรือน้อยก็ไม่เดือดร้อน
ตราบใดมีกินมีอยู่ก็ใช้ได้แล้ว ให้ร่างกายอยู่ไปได้
ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย ไม่หิว
จากการขาดแคลนในเรื่องปัจจัย ๔ ก็พอเพียงแล้ว
ความสุขที่แท้จริงเกิดจากการระงับดับความอยาก
ที่มีอยู่ในใจต่างหาก
ถ้าระงับดับความอยากได้แล้ว
ก็จะถึงเมืองพอ ถึงคำว่าอิ่ม คำว่าพอ
ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว จิตที่อิ่ม จิตที่สงบ
จิตที่ตัดกิเลส ตัดความอยากออกไปได้แล้ว
จะไม่หิวกับอะไร ไม่อยากกับอะไร
อยู่เฉยๆก็มีความสุข
เปรียบเหมือนน้ำที่เต็มแก้วแล้ว
เติมเข้าไปอีกก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร
น้ำเต็มแก้ว เติมเข้าไป
ก็มีแต่จะล้นทิ้งไปเสียเปล่าๆฉันใด
ใจก็เหมือนกัน ใจนี้เปรียบเหมือนกับตุ่มน้ำ
ที่มีรอยรั่วอยู่ ๓ รอย ที่เกิดจากความอยากในกาม
อยากเป็น และความกลัวแก่ เจ็บ ตาย
นี่คือรอยรั่วของใจ ถ้าไม่อุดรอยรั่วทั้ง ๓ รอยนี้แล้ว
เวลาเติมน้ำให้เต็ม
เดี๋ยวน้ำก็ต้องซึมออกมาจนหมดไป
ต้องเติมอยู่เรื่อยๆ ต้องอยาก ต้องกลัวไปเรื่อยๆ
แต่คนฉลาดถ้ารู้ว่ามีรอยรั่วอยู่
ก็จะอุดรอยรั่วทั้ง ๓ นี้เสีย
เมื่ออุดแล้วทีนี้เติมน้ำเข้าไปทีเดียวให้เต็ม
น้ำก็จะไม่พร่อง จะเต็มอยู่เสมอ
ใจก็เหมือนกับตุ่มน้ำนี่แหละ ตุ่มน้ำที่ยังมีรอยรั่วอยู่
รอยรั่วที่เกิดจากความอยากทั้ง ๓ คือ
กามตัณหา ภวตัณหา และวิภวตัณหา
ถ้าอุดรอยรั่วทั้ง ๓ นี้ได้ คือ ตัดตัณหาทั้ง ๓ นี้ได้
ใจก็จะถึงเมืองพอ ถึงบรมสุข ปรมัง สุขัง.
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
.............................
ธรรมะบนเขา (กำลังใจ ๕)
วันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๔๔
ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ