Group Blog
All Blog
<<< "เราควรที่จะฝึกสติกัน" >>>











"เราควรที่จะฝึกสติกัน"

พวกเราโชคดีที่ได้มาเกิดในเมืองพุทธศาสนา

ที่มีคำสอนของพระพุทธเจ้า

 ที่จะสอนให้เรามาหาความสุขที่แท้จริงกัน

 ให้เราเลิกหาความสุขปลอมกัน

 ความสุขปลอมก็คือความสุขที่จะกลายเป็นความทุกข์

 เพราะมันไม่เที่ยงมันไม่ถาวร เป็นความสุขชั่วคราว

เวลาเสียความสุขนี้ไป ไม่สามารถหาความสุขนี้ได้

มันก็จะทำให้เราทุกข์กัน

ฉะนั้นเราควรที่จะมาฝึกสติกัน เพื่อที่จะทำให้ใจเราสงบ

 ใจเราถ้าไม่มีสตินี้มันไม่สงบหรอก สงบเองไม่ได้

 มันเหมือนกับรถที่วิ่ง ถ้าไม่มีเบรคมันหยุดเองไม่ได้

 ถ้าจะให้รถหยุดนี้ต้องมีเบรค

 ต้องเหยียบเบรครถถึงจะหยุด

 ใจของเราก็วิ่ง วิ่งด้วยความคิด คิดตั้งแต่ตื่นขึ้นมา

 คิดตั้งแต่ก่อนตื่น เวลานอนก็คิด

 เวลาเราฝันนี้มันก็เป็นความคิด

ความฝันมันมาจากความคิด

ใจเราคิดไปในเวลาที่เราหลับ

มันก็เลยเป็นความฝันขึ้นมา

 เวลาเราตื่นเราก็ฝันต่อ ฝันแบบลืมตา

เพราะใจเราก็ยังคิดต่อ คิดอยากไปที่นั่น

คิดอยากทำโน่นอยากทำนี่

 คิดอยากเห็นคนนั้นเห็นคนนี้

 อยากเจอสิ่งนั้นอยากเจอสิ่งนี้ จะเรียกว่าเพ้อฝันไง

ความเพ้อฝันก็เกิดจากความคิดของเรา

คิดแล้วก็ทำให้อารมณ์เสียอารมณ์ไม่ดี

คิดแล้วก็อยากได้ พออยากได้ใจก็ไม่เป็นปกติ

 ใจก็เริ่มกระวนกระวาย กระสับกระส่าย

หงุดหงิดรำคาญใจ ก็เลยต้องไปหาสิ่งที่อยากได้มา

 เพื่อที่จะให้ความหงุดหงิดรำคาญใจหายไป

 ก็เลยคิดว่าเป็นความสุข พออยากได้อะไร

ก็ต้องไปหาสิ่งที่อยากได้

พอได้มาความหงุดหงิดรำคาญใจก็หายไป

 ก็เลยรู้สึกว่าสุขขึ้นมา ความจริงมันไม่ได้สุขหรอก

 มันดับความกระวนกะวายกระสับกระส่าย

ความหงุดหงิดรำคาญใจ

ที่เกิดจากความอยากนี่เอง

 ถ้าไม่มีความอยากตอนนี้

ก็ไม่มีความหงุดหงิดรำคาญใจ

 สบาย ตอนนี้ไม่มีความอยากแล้ว

กระวนกระวายกระสับกระส่าย เฉยๆ

 แต่พอเกิดความอยากใหม่นี้ เริ่มแล้ว

เริ่มกระวนกระวาย กระสับกระส่าย

 หงุดหงิดรำคาญใจ

 ก็เลยต้องไปทำตามความอยาก พอได้ทำเสร็จแล้ว

 ความหงุดหงิดก็หายไป แต่หายไปชั่วคราว

 เดี๋ยวความอยากก็มาอีก ก็ยังคิดต่อ

 เดี๋ยวคิดถึงคนนั้นคิดถึงคนนี้ คิดถึงสิ่งนั้นคิดถึงสิ่งนี้

 คิดถึงรูปเสียงกลิ่นรสก็อยากได้แล้ว

ฉะนั้นเราต้องใช้สติมาหยุดความอยากเหล่านี้

หยุดความคิด ถ้าเรามีสติเราสั่งให้หยุดความคิดได้

ถ้าเราสั่งให้มันหยุดคิดไม่ได้ แสดงว่าเรายังไม่มีสติ

 ถ้าเรายังไม่มีสติเราก็ต้องสร้างสติขึ้นมา

วิธีสร้างสติก็คือบริกรรม พุทโธ พุทโธ ไป

ถ้าเราบริกรรมพุทโธอยู่กับพุทโธ

เราก็จะไปคิดถึงสิ่งนั้นสิ่งนี้ไม่ได้คนนั้นคนนี้ไม่ได้

พอเราไม่คิดเราก็จะไม่อยาก

 พอไม่อยากใจเราก็จะไม่กระวนกระวาย

 ไม่กระสับกระส่าย ใจเราก็มีความสุข

 นี่แหละไม่ต้องไปมีอะไร ที่มีกันก็เพราะอยาก

ถ้าไม่อยากก็ไม่ต้องมี.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

..................................

สนทนาธรรมบนเขา

วันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๖๐









ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 21 มีนาคม 2561
Last Update : 21 มีนาคม 2561 5:43:23 น.
Counter : 302 Pageviews.

0 comment
<<< "กิเลส ราคะ ตัณหา ไม่มีขอบเขตเหตุผลใดๆ" >>>








"กิเลส ราคะ ตัณหา 

 ไม่มีขอบเขตเหตุผลใดๆ "

"...ลำพังของกิเลสราคะตัณหานั้น

ไม่มีขอบเขตเหตุผลใดๆ ทั้งสิ้น

ท่านกล่าวไว้แล้วว่า นตฺถิ ตณฺหาสมา นที

แม่น้ำเสมอด้วยความอยากความหิวโหยตลอดเวลา

ไม่มี แม่น้ำมหาสมุทร ทะเล จะกว้างและลึกขนาดไหน

 ก็ยังมีฝั่งมีฝามีเกาะมีดอน

แต่ราคะตัณหาคือความอยากความทะเยอทะยานนี้

 ไม่มีขอบมีเขตไม่มีเกาะมีดอน ไม่มีฝั่งมีฝา

ไม่มีเครื่องกั้นตัวเองให้อยู่ในความพอดีงามตาเย็นใจ

 แต่ไหลอยู่ทั้งวันทั้งคืนล้นฝั่งภายในหัวใจตลอดเวลา

 ถ้าไม่มีศีลธรรมเป็นทำนบกั้นให้อยู่ในความพอดีแล้ว

 โลกนี้จะเดือดร้อนที่สุด

ด้วยอำนาจแห่งตัณหาตาเป็นไฟลากจูงไป

 ถ้าปล่อยให้เจ้าราคะตัณหานี่ออกเพ่นพ่าน

ก็ยิ่งจะร้ายกว่าสัตว์จำพวกเดือนเก้าเสียอีก

 จะฆ่ากันพินาศฉิบหายด้วยฤทธิ์แห่งราคะตัณหานี่แล

 นอกนั้นยังแสดงเป็นความโง่ให้สัตว์เขาหัวเราะเข้าอีก

 เพราะฉะนั้น เพื่อกันไม่ให้สัตว์เขาหัวเราะมนุษย์เรา

สมกับภูมิแห่งความเป็นมนุษย์

จึงต้องมีศีลธรรมเป็นคู่เคียงเครื่องรักษา

 ให้มีขอบเขตอันดีงามในการประพฤติปฏิบัติ

ชอบต่อตนเองและครอบครัว..."

หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน

.............................

พระธรรมคำสอนโดย
พระธรรมวิสุทธิมงคล(หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน)
วัดเกษรศีลคุณ (วัดป่าบ้านตาด) จ.อุดรธานี
(พ.ศ. ๒๔๕๖ - ๒๕๕๔)
ศีลธรรมสำหรับครอบครัว
เทศน์อบรมฆราวาส ณ กรมทหาร ร. พัน. ๓ อุดรธานี
เมื่อวันที่ ๑๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๑๙





ขอบคุณที่มา fb. ธรรมะพระธุดงคกรรมฐาน
สายพระบูรพาจารย์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺตเถระ
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 21 มีนาคม 2561
Last Update : 21 มีนาคม 2561 5:30:10 น.
Counter : 691 Pageviews.

0 comment
<<< " ธรรมที่จะทำให้ใจนี้ไม่เสื่อม" >>>











“ธรรมที่จะทำให้ใจนี้ไม่เสื่อม”

การกระทำอะไรต่างๆทั้งหมดที่เราทำกันนี้

 เราก็ทำเพื่อร่างกายของเรา

 แต่ร่างกายของเราก็อยู่ได้ไม่นาน

 อย่างมากก็ ๑๐๐ ปีก็ต้องตายไป

 และผลต่างๆที่เราได้ทำให้กับร่างกาย

 มันก็หมดความหมายไป

แต่การกระทำต่างๆที่เราทำให้กับใจของเรานี้

 เป็นสิ่งที่จะอยู่กับใจไปได้ตลอด

เช่นถ้าเราดับความทุกข์ของใจได้

 ความทุกข์นั้นก็จะหมดไป สร้างความสุขให้กับใจ

 ความสุขนั้นก็จะอยู่กับใจต่อไป

 หลังจากที่ร่างกายนี้ตายไปแล้ว

 การสร้างความสุขดับความทุกข์ของใจ

ก็อยู่ใน ๒ ระดับด้วยกัน

ระดับที่ถาวรและระดับที่ไม่ถาวร

ถ้าสร้างความสุขดับความทุกข์ให้กับใจ

ด้วยการทำทาน ด้วยการรักษาศีล

ด้วยการเจริญสมถภาวนา ทำใจให้สงบ

 ก็จะได้รับผลชั่วคราว

 คือผลเหล่านี้มีวันที่จะเสื่อมหมดไปได้

เช่นถ้าเราทำทานรักษาศีล ๕ ได้

 เราก็จะได้ความสุขระดับเทพ

 ดับความทุกข์ในระดับของเทพได้

 แต่บุญหรือผลที่เราได้สร้างไว้นี้

มันเสื่อมได้ มันหมดได้

พอบุญที่เราได้สร้างกันขึ้นมา จากการทำทาน

 จากการรักษาศีล เสื่อมลงไป

เราก็จะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ใหม่

 แล้วเราก็ต้องกลับมาทำบุญทำทานใหม่

 รักษาศีลใหม่ ถ้าเราไปถึงขั้นภาวนาได้

 เจริญสมถภาวนาทำใจให้สงบได้

 เวลาร่างกายนี้ตายไป ใจของเรานี้

ก็ยังมีความสุขระดับสมถภาวนาอยู่ คือระดับพรหม

 ก็จะไปเกิดบนพรหมโลก

แต่บุญที่ได้จากการภาวนาทำใจให้สงบ ก็เสื่อมได้

 พอเสื่อมลงมาก็จะเลื่อนลงมาสู่เทวโลก

 แล้วจากเทวโลกก็จะเลื่อนลงมาสู่มนุษยโลกต่อไป

 นี่คือบุญกุศลที่ยังอยู่ในขั้นที่เสื่อมได้

 แล้วก็มีบุญกุศลที่เรียกว่าไม่เสื่อม

 เรียกว่าโลกุตตรธรรม ธรรมที่จะทำให้ใจนี้ไม่เสื่อม

 คือความสุขในใจไม่เสื่อม ความทุกข์ที่ได้ดับไปแล้ว

ไม่หวนกลับคืนมาอีก อันนี้ก็ต้องปฏิบัติธรรมขั้นที่สูง

ต่อจากขั้นภาวนาขึ้นไป ขั้นสมถภาวนาขึ้นไป

ต้องเจริญขั้นวิปัสสนาภาวนา คือต้องเจริญปัญญา

ต้องพิจารณาให้เห็นสัจจธรรมความจริง

คืออริยสัจ ๔ พิจารณาให้เห็นอนิจจังทุกขังอนัตตา

 ถ้าเห็นอริยสัจ ๔ เห็นทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค

 เห็นไตรลักษณ์ เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

 ใจก็จะสามารถดับความทุกข์ในระดับต่างๆได้

 ซึ่งมีอยู่ ๔ ระดับด้วยกัน

คือระดับของพระโสดาบัน ระดับของพระสกิทาคามี

 ระดับของพระอนาคามี และระดับของพระอรหันต์

 ก็จะเจริญขึ้นไปตามลำดับขั้นของปัญญา

ที่สามารถพิจารณา เห็นไตรลักษณ์ เห็นอริยสัจ ๔

 หรือเห็นความไม่สวยไม่งามของร่างกาย

 ใจก็จะก้าวขึ้นไปตามลำดับ.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

................................

ธรรมะบนเขา จุลธรรมนำใจ๔๑

วันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๗







ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 20 มีนาคม 2561
Last Update : 20 มีนาคม 2561 8:54:10 น.
Counter : 629 Pageviews.

0 comment
<<< " ลักษณะของอนิจจัง" >>>











"ลักษณะของอนิจจัง"

อะไรคือสิ่งที่เป็นทุกข์แต่กลับถูกเห็นว่าเป็นสุข

 ก็ ลาภ ยศ สรรเสริญ กามสุข นั่นไง

 ที่ทุกๆคนปรารถนากัน ไม่มีใครปฏิเสธ

ว่าไม่อยากได้กัน มีแต่อยากมีเงินทองมากๆ

 มีตำแหน่งสูงๆ มีคนสรรเสริญมากๆ

มีกามสุขมากๆด้วยกันทั้งนั้น

แต่สิ่งเหล่านี้พระพุทธเจ้ากลับทรงเห็น

ด้วยพระปัญญาญาณว่าเป็นทุกข์

ทุกข์เพราะเหตุใด ทุกข์เพราะว่าสิ่งเหล่านี้

เป็นของไม่เที่ยง เป็นของไม่แน่นอน

 มีอยู่ในวันนี้ พรุ่งนี้ก็อาจจะหมดไปได้

รวยวันนี้ พรุ่งนี้ก็อาจจะจนได้

 เป็นนายกวันนี้ พรุ่งนี้ก็อาจจะกลับมา

เป็นคนธรรมดาสามัญก็ได้

วันนี้มีคนสรรเสริญ พรุ่งนี้ก็อาจจะมีคนด่าเอาก็ได้

วันนี้มีกามสุขกัน ได้ไปเที่ยวกัน ก็มีความสุข

 แต่พรุ่งนี้อาจจะไม่มีก็ได้

 เพราะสิ่งที่ให้ความสุขอาจจะหายจากไปก็ได้

 เช่นมีความสุขกับแฟน สามี ภรรยา

 แต่พรุ่งนี้แฟน สามี ภรรยา อาจจะจากไปก็ได้

 ด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง อาจจะตายจากไป

 อาจจะทะเลาะเบาะแว้งกัน ไม่เข้าอกเข้าใจกัน

 ก็แยกทางกันไป ทิ้งกันไปก็ได้

นี่คือลักษณะของความเป็นอนิจจัง

เมื่อเปลี่ยนแปลงไปแล้ว

 ความสุขที่มีอยู่ก็จะกลายเป็นความทุกข์

เป็นอนัตตาเพราะไม่ได้เป็นของเราอย่างแท้จริง

 เราไม่สามารถที่จะเอาสิ่งต่างๆ

ไว้เป็นของๆเราได้ไปตลอด

 ถึงเวลาจะหายไป หมดไป

 ก็จะเป็นไปตามเรื่องของเขา

ผู้ที่ไม่ได้ปฏิบัติธรรม ไม่ได้ชำระอวิชชา

 ความมืดบอด ความหลงในจิตใจ

จะไม่เห็นสภาพที่แท้จริงของสภาวธรรมเหล่านี้

 แล้วก็จะหลงไปเรื่อยๆ แล้วก็จะอยากไปเรื่อยๆ

อยากไปจนกระทั่งวันตายเลย

 เมื่อตายไปแล้ว ความอยากนี้ก็จะเป็นตัวผลักดัน

ให้จิตไปเกิดใหม่ ไปหาภพใหม่ชาติใหม่

 แล้วก็ไปอยากต่อไปเรื่อยๆอย่างนี้

 ไม่มีที่สิ้นสุด มีภพชาติมากมายก่ายกองนับไม่ถ้วน

 พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า

 น้ำตาที่เราหลั่งแต่ละภพแต่ละชาติ

ที่เกิดจากความทุกข์นั้น ถ้าเอามารวมกันแล้ว

น้ำตาที่หลั่งนี้จะมากยิ่งกว่าน้ำในมหาสมุทรเสียอีก

 คิดดูสิว่าภพชาติจะมากแค่ไหน

 น้ำตาที่หลั่งมานี้มากกว่าน้ำในมหาสมุทรเสียอีก

 นี่คือเรื่องของภพชาติ เรื่องของความทุกข์

ที่มีอยู่ในจิตใจที่เกิดจาก

อวิชชา ความหลง ความไม่รู้.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

..............................

ธรรมะบนเขา(กำลังใจ ๕)

วันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๔๔







ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 19 มีนาคม 2561
Last Update : 19 มีนาคม 2561 19:00:27 น.
Counter : 587 Pageviews.

0 comment
<<< "เรื่องของธรรม" >>>










“เรื่องของธรรม”

การฟังธรรมกับการแสดงธรรม

ก็ต้องอาศัยสถานที่สงบ ถ้ามีเสียงอึกทึกครึกโครม

 มันก็รบกวนทั้งผู้แสดงทั้งผู้ฟัง

เพราะฟังธรรม แสดงธรรมก็ต้องมีใจที่สงบ

 ถ้าใจไม่สงบแล้ว มันสับสน

 แสดงด้วยเหตุด้วยผลไม่ได้

แทนที่จะเห็นเหตุผลรู้เหตุผล ต้องมีใจที่สงบ

 ถ้าใจไม่สงบมันจะมองไม่เห็นเหตุมองไม่เห็นผล

นี่พอเสียงเข้ามามันก็ดึงใจไปจากเรื่องที่ว่ากำลังจะพูด

 เสียงมามันก็ดึงออกไป เดี๋ยวคนเดินเข้ามาอีก

 บางทีต้องปิดตาหลับตา แล้วไม่รับรู้ไม่เห็น

 เห็นแล้วใจมันไปแล้ว มันรับรู้เรื่องนั้นเรื่องนี้ขึ้นมา

 มันก็เลยไม่ได้อยู่กับเรื่องที่กำลังพูดอยู่การฟังธรรม

เพื่อให้เกิดประโยชน์ เกิดอานิสงส์ เกิดผล

ก็จำเป็นจะต้องฟังในที่ที่สงบ ถึงจะได้ผลเต็มร้อย

 ผลที่เกิดจากการฟังธรรมก็มีอยู่ 5 ประการด้วยกันคือ

1.จะได้ยินได้ฟังธรรมที่เราไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน

2. ธรรมที่เราเคยได้ยินได้ฟังมาแล้ว

ถ้าได้ฟังซ้ำอีกก็จะเกิดความเข้าใจดีขึ้นไปตามลำดับ

3. จะกำจัดความลังเลสงสัยต่างๆ ความขัดข้องใจ

สิ่งที่ขัดข้องใจต่างๆให้หมดไปได้

4.จะทำให้มีความเห็นที่ถูกต้อง

5.จะทำให้จิตใจผ่องใส สงบ มีความสุข

ถ้าจะฟังให้ได้ผลนี่ต้องนั่งเฉยๆ กายวาจาใจต้องสงบ

 นอกจากสถานที่ต้องสงบแล้ว

 กายวาจาใจของผู้ฟังก็ต้องสงบ

 กายก็คือร่างกายไม่เคลื่อนไหวนั่งเฉยๆ ไม่ทำอะไร

 วาจาก็ไม่พูดคุยกัน ใจก็ไม่คิดถึงเรื่องนั้นเรื่องนี้

 คิดอยู่กับเสียงธรรม คิดอยู่กับเรื่องธรรมที่กำลังฟังอยู่

ถ้ามีกายวาจาใจที่สงบ ฟังแล้วก็จะได้ผลดี

 กายวาจาที่สงบก็เรียกว่าศีล

 คือตอนนี้ผู้ฟังได้เฉยๆ นี้ถือว่ามีศีลแล้ว

ร่างกายไม่ได้ทำบาป ไม่ได้ฆ่าสัตว์

 ไม่ได้ลักทรัพย์ ไม่ได้ประพฤติผิดประเวณี

 ไม่ได้พูดปด วาจาก็ไม่ได้พูดอะไร

ไม่ได้ดื่มสุรายาเมา มีกายวาจาที่สงบ เรียกว่าศีล

 ใจถ้าไม่ไปคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้

 มีความตั้งใจที่จะฟังธรรม ก็เรียกว่ามีสมาธิใจตั้งมั่น

คำว่าสมาธิก็คือใจที่ตั้งมั่นอยู่ในความสงบ

 ไม่คิดปรุงแต่ง ถ้าฟังธรรมด้วยศีลหรือสมาธิ

ผลก็คือปัญญาก็จะเกิด ปัญญาก็คือสัมมาทิฏฐิ

 ความเห็นที่ถูกต้อง เห็นว่าบุญมีจริง บาปมีจริง

ผลของบุญคือสวรรค์มีจริง ผลของบาปคือนรก

 อบายมีจริง ตายแล้วไม่สูญ ตายแล้วไปเกิดใหม่

 ถ้าได้ปฏิบัติได้ชำระ ได้กำจัดกิเลสตัณหา

ให้หมดไปจากใจ ใจก็ไม่ต้องไปเกิดใหม่

 ใจก็ไปสู่นิพพาน นี่คือสัมมาทิฏฐิ ความเห็นที่ถูกต้อง

 โดยปกติแล้ว ถ้าไม่ได้ฟังเทศน์ฟังธรรม

 จะไม่รู้เรื่องบุญเรื่องบาป

เรื่องผลของบุญผลของบาป ไม่รู้ว่าตายแล้วไม่สูญ

ตายแล้วต้องไปรับผลบุญผลบาปต่อ

ต้องไปเวียนว่ายตายเกิด

ต่อถ้ายังมีกิเลสตัณหาอยู่ภายในใจ

 ถ้าชำระกิเลสตันหาให้หมดไปจากใจได้

ตายไปก็ไม่ต้องไปเกิด ไม่ต้องไปรับผลบุญผลบาป

นี่คือความเห็นที่ถูกต้อง

 ที่จะได้จากการฟังเทศน์ฟังธรรม

เพราะเวลาแสดงธรรมก็จะแสดงเรื่องราวเหล่านี้

 เรื่องบุญเรื่องบาป อธิบายว่า

บุญเป็นอย่างไรบาปเป็นอย่างไร

ผลของบุญเป็นอย่างไรผลของบาปเป็นอย่างไร

 ใครเป็นผู้รับผลของบุญผลของบาป

 ใครไปเกิดใหม่ นี่คือเรื่องของธรรม

 ธรรมที่จะแสดงเรื่องของบุญของบาป

 เรื่องของผู้ไปรับผลบุญผลบาป

เรื่องของผู้ไปเกิดแก่เจ็บตายใหม่

 เรื่องของผู้ไปที่นิพพาน.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

....................................

สนทนาธรรมบนเขา

วันที่ 10 ตุลาคม 2560









ขอบคุณที่มา fb'. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 18 มีนาคม 2561
Last Update : 18 มีนาคม 2561 6:17:58 น.
Counter : 808 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ