Group Blog
All Blog
<<< "ความประมาทของลูกศิษย์" >>>









“ความประมาทของลูกศิษย์”

ความจริงการไปมีอาจารย์

ก็เพื่อจะได้ไปศึกษาคำสอนของท่าน

 ท่านก็สอนให้เราปฏิบัติ

สอนให้เราสร้างที่พึ่งให้กับตัวเราเอง

เพราะอาจารย์เดี๋ยวก็ต้องแก่เจ็บตาย

 ตั้งแต่องค์แรก คือ พระพุทธเจ้าท่านก็ต้องแก่เจ็บตาย

 ท่านก็สอนให้เราปฏิบัติ สร้างที่พึ่ง

สร้างมรรคขึ้นมา สร้างสติสร้างปัญญา

 ถ้าเรามีที่พึ่งมีสติมีปัญญา ใจเราจะไม่ต้องพึ่งผู้อื่น

 เมื่อไม่ต้องพึ่งผู้อื่นเวลาผู้อื่นเขาเป็นอะไรไป

 เราก็ไม่เดือดร้อน แต่ถ้าเรายังพึ่งตัวเราไม่ได้

เรามัวแต่ไปพึ่งผู้อื่นที่เขาจะต้องมีวันจากเราไป

 พอเขาจากเราไปเราก็หวั่นไหว เพราะเราจะไม่มีที่พึ่ง

 เราหวั่นไหวเพราะเรากลัวว่า

 ต่อไปท่านไปแล้วเราจะไม่มีที่พึ่ง

นี่คือความประมาทของลูกศิษย์ลูกหา

ที่เข้าหาครูบาอาจารย์ แต่ไม่ได้เข้าหาเพื่อปฏิบัติ

 เข้าหาเพื่อเกาะท่าน ได้ยินได้ฟังธรรมของท่าน

ตอนนั้นก็เหมือนกับมีธรรม

 ฟังธรรมแล้วใจก็มีความสุข รู้สึกว่ามีปัญญา

 แต่มันเป็นปัญญาแบบชั่วคราว

 เวลาฟังก็เข้าใจ พอหยุดฟังก็หายไปลืมไป

 พอมีเหตุการณ์อะไรมากระทบใจก็หวั่นไหวขึ้น

 เพราะว่าปัญญาที่เกิดจากการฟังธรรมนี้

มันเสื่อมได้ ฟังแล้วเดี๋ยวก็ลืม

ฉะนั้น ต้องเอาปัญญาที่เราฟังนี้มาพิจารณาอยู่เรื่อยๆ

คิดอยู่เรื่อยๆ ว่าอนิจจาไม่เที่ยง

ของต่างๆ ในโลกนี้ไม่เที่ยง

 ครูบาอาจารย์ที่เราพึ่งพาอาศัยท่านก็ไม่เที่ยง

 เดี๋ยวท่านก็ต้องจากเราไป ร่างกายของเราก็ไม่เที่ยง

 เดี๋ยวเราก็ต้องจากโลกนี้ไป

เราต้องมาสร้างธรรมที่เที่ยง ถ้ามีธรรมแล้ว

เราจะอาศัยธรรมนี้เป็นที่พึ่ง

ปกป้องรักษาใจของเราได้

 ธรรมที่เราต้องมีก็คือ สมาธิกับปัญญา ที่เราไม่มีกัน

 ถ้าเรามีสมาธิมีปัญญาแล้วใจของเราจะไม่หวั่นไหว

กับเหตุการณ์ต่างๆ อะไรจะเกิดอะไรจะดับนี้

ใจเราไม่เดือดร้อน

 เพราะใจเรามีที่พึ่งมีความสุขในตัวเอง

 ไม่ต้องหาความสุขจากผู้อื่น

ไม่ต้องหาความสุขจากการไปฟังเทศน์ฟังธรรม

กับครูบาอาจารย์ ไม่ต้องหาความสุข

จากการไปทำบุญกับครูบาอาจารย์

 เราสามารถมีความสุขได้ด้วยตัวเราเอง

 ด้วยธรรมของเรา.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.........................................

สนทนาธรรมบนเขา

วันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๖๑






ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 23 สิงหาคม 2561
Last Update : 23 สิงหาคม 2561 6:10:58 น.
Counter : 466 Pageviews.

0 comment
<<< "การพลัดพราก" >>>








“การพลัดพราก”

พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนพุทธะศาสนิกชน

 ให้หมั่นพิจารณาอยู่เนืองๆ ว่าเราเกิดมาแล้ว

ย่อมมีการพลัดพรากจากกันเป็นธรรมดา

 ล่วงพ้นการพลัดพรากจากกันไปไม่ได้

 นี่คือความจริงของชีวิต ของทุกๆ ชีวิต

 ไม่ว่าจะสูงจะต่ำ จะรวยจะจน จะฉลาดหรือโง่

 จะต้องมีการพลัดพรากจากกันเป็นธรรมดา

 ถ้าไม่พิจารณาอยู่เนืองๆ ใจจะหลงจะลืม

 จะคิดว่าจะอยู่ร่วมกันไปเรื่อยๆ ไม่มีวันสิ้นสุด

พอถึงเวลาที่จะต้องพลัดพรากจากกัน

ก็จะเกิดความทุกข์ใจ เกิดความไม่สบายใจขึ้นมา

 แต่ถ้าหมั่นพิจารณาอยู่เรื่อยๆ จะไม่หลงจะไม่ลืม

จะเตรียมตัวเตรียมใจ จะไม่ยึดไม่ติดกับสิ่งต่างๆ

กับบุคคลต่างๆ เพราะรู้ว่าไม่ช้าก็เร็ว

จะต้องจากกันอย่างแน่นอน นี่คือธรรมที่สำคัญ

 เพราะจะปกป้องจิตใจไม่ให้ทุกข์

กับการพลัดพรากจากกัน

 จากการสูญเสียสิ่งต่างๆ ไป

การพิจารณาก็ควรพิจารณาสิ่งต่างๆ

 หรือบุคคลต่างๆ ที่เรารัก หรือเราชัง

 เพราะสิ่งที่เรารักบุคคลที่เรารักหรือสิ่งที่เราชัง

 สิ่งที่เรารักนี้มีอิทธิพลต่อความรู้สึกของเรานั่นเอง

สำหรับสิ่งที่เราไม่รักไม่ชัง

 บุคคลที่เราไม่รักไม่ชังนี้ไม่ค่อยเป็นปัญหา

 เขาจะมาเขาจะไปไม่มีปัญหาอะไร

 แต่คนที่เรารักสิ่งที่เรารักถ้าเขาจากเราไป

เราจะเดือดร้อนเราจะวุ่นวายใจ

 หรือสิ่งที่เราชังบุคคลที่เราชัง

 เวลาจะต้องอยู่กับเขาเราก็วุ่นวายใจไม่สบายใจ

 เราต้องพิจารณาว่าไม่ช้าก็เร็ว

เขาก็ต้องจากเราไปอยู่ดี

ในขณะที่เขาอยู่เราไม่สามารถที่จะให้เขาไปได้

 เราก็ต้องทำใจ สำหรับคนที่เรารัก

หรือสิ่งที่เรารัก ถ้าเขาอยู่กับเราเราก็จะดีใจ

และมีความสุข แต่เราก็จะไม่สามารถ

สั่งให้เขาอยู่กับเราไปได้ตลอด

 ไม่ช้าก็เร็วไม่เขาก็เราจะต้องไป

 ต้องจากกันไปอยู่ดี

นี่คือสิ่งที่เราต้องหมั่นพิจารณาอยู่เรื่อยๆ

ถามตัวเราเองว่าเรารักใครเราชอบใคร

 เราอยากให้เขาอยู่กับเราไปนานๆ ใช่ไหม

 แต่เขาจะอยู่กับเราไปนานๆ ได้หรือเปล่า

 หรือเราจะอยู่กับเขาไปนานๆ ได้หรือเปล่า

 เรากับเขาจะไม่มีวันจะต้องจากกันหรืออย่างไร

ถ้ามันมาถึงวันนั้น วันที่จะต้องมีการจากกัน

 เราจะทำใจอย่างไร ถ้าเราคอยหมั่นสอนใจเตือนใจ

ถึงความเป็นจริงอันนี้ว่า

 จะต้องมีการพลัดพรากจากกันเป็นธรรมดา

 ไม่ว่าจะเป็นพ่อเป็นแม่ เป็นสามีเป็นภรรยา

 เป็นบุตรเป็นธิดา เป็นญาติสนิทมิตรสหาย

 หรือเป็นสิ่งของต่างๆ เช่นลาภยศสรรเสริญ

สุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย เป็นสิ่งที่จะต้อง

มีการพลัดพรากจากกันอย่างแน่นอน

 ช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง

 ถ้าเราหมั่นพิจารณาอยู่เรื่อยๆ

 เราจะเตรียมตัวเตรียมใจและตัดใจของเรา

 หัดอยู่แบบไม่ต้องมีเขาให้ได้

ไม่ต้องมีลาภ ยศสรรเสริญ

สุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย

 ไม่ต้องมีบิดามารดา ไม่ต้องมีสามีภรรยา

 ไม่ต้องมีบุตรธิดา ไม่ต้องมีญาติพี่น้อง

 อยู่ตัวคนเดียวนี่แหละดีที่สุด

 แม้แต่ร่างกายนี้ก็ต้องจากเราไป

 การอยู่คนเดียวนี้ก็หมายถึงว่า

 แม้แต่ไม่มีร่างกายก็ยังอยู่ได้ไม่เดือดร้อน

 แม้แต่ร่างกายนี้ก็ต้องจากเราไปเช่นเดียวกัน

 แล้วการที่เราจะอยู่คนเดียวได้

โดยที่ไม่ต้องมีบุคคลต่างๆ ไม่ต้องมีสิ่งต่างๆ

เราต้องมีธรรมเท่านั้น

 ถึงจะทำให้เราอยู่คนเดียวได้ อยู่ตามลำพังได้

ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ เราต้องมีธรรมเป็นที่พึ่

ถ้าเรามีธรรมเป็นที่พึ่งแล้ว เราไม่ต้องพึ่งสิ่งต่างๆ

 ไม่ต้องพึ่งบุคคลต่างๆ ไม่ต้องพึ่งลาภยศสรรเสริญ

 ไม่ต้องพึ่งความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย

 ไม่ต้องพึ่งพ่อพึ่งแม่ พึ่งสามีพึ่งภรรยา

 พึ่งบุตรธิดา พึ่งญาติสนิทมิตรสหาย

 พึ่งร่างกายของเราเอง

เพราะเขาเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยงแท้แน่นอนไม่ถาวร

 ไม่ช้าก็เร็วเขาก็จะต้องจากเราไป

 แล้วเวลาที่เขาจากเราไป

เราไม่มีที่พึ่งเราจะทำอย่างไร เราก็ต้องเดือดร้อน

 จนกว่าเราจะหาที่พึ่งใหม่ได้

 เช่น สามีจากไปถ้ายังต้องการมีสามี

ก็ต้องไปหาสามีใหม่ ลูกจากไปถ้ายังอยากจะมีลูก

 ก็ต้องหาลูกมาใหม่ ถ้าคลอดเองไม่ได้

ก็ไปขอเด็กมาเลี้ยงเป็นลูก

 เพราะเรายังพึ่งสิ่งเหล่านี้

เพื่อมาให้ความสุขกับเรานั่นเอง

 เพราะว่าเราไม่มีธรรมะเป็นที่พึ่ง

 ไม่มี ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ เป็นที่พึ่ง

ถ้าเรามี ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ เป็นที่พึ่งแล้ว

เราไม่ต้องพึ่งอะไร ไม่ต้องพึ่งใคร

ไม่ต้องพึ่งลาภยศสรรเสริญ ไม่ต้องพึ่งความสุข

ทางตาหูจมูกลิ้นกาย ไม่ต้องพึ่งทรัพย์สมบัติ

ไม่ต้องพึ่งตาหูจมูกลิ้นกาย

ไม่ต้องพึ่งร่างกายคือชีวิตอันนี้

 พระพุทธเจ้าทรงสอนให้สละให้หมด

 สละทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทอง

 สละอวัยวะคือความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย

 และให้สละชีวิต สละร่างกายอันนี้

ถ้ามันต้องไปให้มันไป ไม่ต้องไปพึ่งมัน

 มันไม่ใช่เป็นที่พึ่ง มันเป็น ภารา หะเว ปัญจักขันธา

 มันเป็นภาระที่ใจจะต้องแบกตั้งแต่วันเกิด

ไปจนถึงวันตาย ผู้ฉลาดนี้จึงไม่กลับมาเกิด

ไม่กลับมาแบก ภารา หะเว ปัญจักขันธา

 อันนี้ ไม่มาแบกขันธ์ รูปขันธ์นี้

 เพราะว่ามันเป็นทุกข์นั่นเอง.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.............................

ธรรมะบนเขา

วันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๕๘

"การพลัดพราก"






ขอบคุณที่มา f. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 22 สิงหาคม 2561
Last Update : 22 สิงหาคม 2561 9:34:04 น.
Counter : 439 Pageviews.

0 comment
<<< "ผูกใจไว้ด้วยบทภาวนา" >>>










"ผูกใจไว้ด้วยบทภาวนา"

การนั่งสมาธิก็นั่งเพื่อให้ใจสงบ ไม่ให้คิดอะไร

ใจจะไม่คิดอะไรก็ต้องมีเครื่องกำกับ

เช่นคำบริกรรมพุทโธพุทโธ

 หรือการดูลมหายใจเข้าออก

เอาอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ บริกรรมพุทโธไป

โดยที่ไม่ต้องดูลมหายใจเข้าออกก็ได้

 ให้อยู่กับคำบริกรรมพุทโธพุทโธไป

หรือจะดูลมหายใจอย่างเดียวก็ได้

ดูลมหายใจเข้าหายใจออก ที่ปลายจมูก

หรือจะเอาสองอย่างปนกันก็ได้

หายใจเข้าก็ว่าพุท หายใจออกก็ว่าโธก็ได้

 แล้วแต่ความพอใจ แล้วแต่ความถนัด

หรือถ้าเรายังดูลมไม่ได้ หรือพุทโธไม่ได้

จะสวดมนต์ไปภายในใจก่อนก็ได้

 สวด อิติปิโส สวด อะระหังสัมมา สวากขาโต

สุปะฏิปันโน สวดไปเพื่อป้องกัน

ไม่ให้ใจไปคิดถึงเรื่องราวต่างๆ

 แล้วพอใจรู้สึกเบาเย็นสบาย

 ถ้าดูลมได้ก็ดูลมต่อไป

 ถ้าพุทโธได้ก็พุทโธต่อไป

 แล้วใจก็จะเข้าสู่ความสงบ

 เข้าสู่ความสุขความสบายใจ

โดยที่เราไม่ต้องไปทำอะไร

 ไม่ต้องมีเงินทอง ไม่ต้องมีสิ่งของต่างๆ

มาให้ความสุขกับเรา เราสามารถหาความสุข

ภายในตัวของเราได้

 แล้วต่อไปเราจะได้ไม่ต้องพึ่งใคร

 ไม่ต้องพึ่งเงินทอง ไม่ต้องพึ่งสิ่งของ

ไม่ต้องพึ่งบุคคลต่างๆ

 และไม่ต้องพึ่งร่างกายของเรา

 จะได้ไม่ต้องทุกข์กับเขา เพราะไม่ช้าก็เร็ว

เขาก็จะต้องมีวันจากเราไปนั่นเอง

ดังนั้น ตอนนี้เรามาหัดทำใจให้สงบกัน

เราได้ยินได้ฟังมามากมายพอสมควรแล้ว

ตอนนี้ถูกบังคับให้นั่ง ถ้ามันไม่ถูกบังคับ

มันก็จะไม่นั่งกัน กิเลสมันไม่ยอมให้นั่งง่ายๆ

 เวลานั่งแล้วก็ไม่ต้องกังวลกับร่างกาย

 ร่างกายจะเอนไปทางไหนก็ไม่ต้องไปสนใจ

คันตรงไหนก็ไม่ต้องไปสนใจ

 มีอะไรมาให้รู้ก็อย่าไปสนใจ ให้รู้อยู่กับลม

 หรืออยู่กับพุทโธ

 หรืออยู่กับการสวดมนต์ของเราไป

 ใจจะได้เป็นสมาธิเป็นหนึ่ง

ถ้าไปสนใจเรื่องนั้นเรื่องนี้ มันก็จะทำให้ใจแตก

 ใจไม่รวมเป็นหนึ่ง เราต้องการให้ใจรวมเป็นหนึ่ง

 เราต้องอยู่กับเรื่องเดียว

อยู่กับพุทโธ หรืออยู่กับลม

 หรืออยู่กับการสวดมนต์

ขอให้เราพยายามทำกัน

 แล้วเราจะได้พบกับสิ่งที่ดีที่วิเศษ

ที่มีอยู่ในตัวของเราเอง

ที่จะอยู่กับเราไปตลอดไม่มีวันสิ้นสุด

 แม้ร่างกายนี้จะตายไป

 เราก็ไม่ได้ตายไปกับร่างกาย

และความสงบที่เราได้ก็จะไม่จากเราไป

เพราะมันอยู่กับเรา อยู่ที่ใจ.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

........................................

หนังสือสติธรรม





ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 22 สิงหาคม 2561
Last Update : 22 สิงหาคม 2561 9:15:20 น.
Counter : 296 Pageviews.

0 comment
<<< "ฝึกใจให้เฉย" >>>









"ฝึกใจให้เฉย"

ให้พิจารณาความไม่เที่ยงแท้ไม่ถาวร

ของทุกสิ่งทุกอย่างที่เรามีอยู่

 แม้แต่ร่างกายของเรา

ก็จะต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย

ห้ามมันไม่ได้ อนัตตา แปลว่าห้ามมันไม่ได้

สั่งมันไม่ได้ เป็นเหมือนลม

 ห้ามมันไม่ได้สั่งมันไม่ได้

 เราสั่งลมได้ไหม ห้ามได้ไหม ไม่ได้

 เราสั่งความแก่ ความเจ็บ ความตายได้ไหม

 แต่เราจะทุกข์หรือไม่ทุกข์

 อยู่ที่ว่าเราจะเฉยหรือไม่เฉย

ถ้าเราเฉยเราก็จะไม่ทุกข์ แก่ก็แก่ไป เจ็บก็เจ็บไป

ตายก็ตายไป ถ้าอย่างนี้ก็ไม่ทุกข์

 แต่ถ้าไม่อยากแก่ก็จะทุกข์ขึ้นมาทันที

 ผมหงอกเส้นหนึ่งก็ทุกข์แล้ว ใจไม่สบายแล้ว

 ฟันปวดหน่อยก็ทุกข์แล้ว เจ็บฟันหน่อยก็ทุกข์ขึ้นมา

 แต่ถ้าเรารู้ว่าห้ามมันไม่ได้ ไปสั่งมันไม่ได้

เราก็ทำใจให้เฉยเหมือนกับลมพัดอย่างนี้

 เรารู้ว่าเราห้ามลมพัดไม่ได้ ลมพัดเราก็เฉยไป

 ต้องฝึกสติให้มากๆ ฝึกใจให้เฉยให้มากๆ

 ฝึกใจให้ใจเข้าสู่สมาธิให้มาก

เพราะเวลาเข้าสู่สมาธิแล้วมันจะเฉยจริง.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

...................................

สนทนาธรรมบนเขา

วันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๖๐






ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 19 สิงหาคม 2561
Last Update : 19 สิงหาคม 2561 11:37:26 น.
Counter : 579 Pageviews.

0 comment
<<< "หัวโขน" >>>










"หัวโขน"

ขอให้จำไว้นะว่าพวกเราเป็นตัวละคร

 ร่างกายนี้เป็นเหมือนหุ่นที่เรามาใช้เล่นละครกัน

 หรืออย่างที่เขาเล่นโขนนั่น

ร่างกายเรานี้ก็เป็นเหมือนหัวโขน

 เอามาสวมใส่ทับใจเราอีกทีหนึ่ง

 ตัวแท้จริงของเราคือใจ

ทีนี้ใจเราไม่มีรูปร่างหน้าตา

ก็เลยต้องเอาหัวโขนคือร่างกายนี้

 มาครอบมาคลุมไว้

 จะได้รู้ว่านี่เป็นทศกัณฐ์ หรือจะเป็นหนุมาน

 เป็นพระราม ก็ร่างกายนี้แหละเป็นตัวละคร

ใจเรานี้เป็นตัวชักร่างกายเหมือนกับชักหุ่น

 เป็นผู้ที่สั่งให้ร่างกายนี้ทำอะไรต่างๆ

 แล้วพอร่างกายนี้ตายไป เราก็ใช้ร่างกายนี้ไม่ได้

ก็แสดงว่าบทของเราจบ

 ละครเรื่องนี้จบ แต่เราก็ไม่เบื่อ

ไปเล่นโรงใหม่ต่อ ย้ายโรง เดี๋ยวก็ไปเกิดใหม่

 แล้วก็ไปเริ่มใหม่ แล้วก็ไปวุ่นวายแบบนี้แหละ

 เล่นมาไม่รู้กี่ล้านโรงแล้วไม่รู้กี่ล้านเรื่องแล้ว

ละครชีวิตของพวกเรานี่ เปลี่ยนไปเรื่อยๆ

ที่เรียกว่าเวียนว่ายตายเกิด ก็เวียนว่ายตายเกิด

ตามโรงละครต่างๆ ตามโลกต่างๆ

โลกอาจจะไม่เป็นโลกกลมๆ แบบนี้ก็ได้

โลกกลมๆ ใบอื่นก็น่าจะมีในจักรวาลนี้

 เราอาจจะมาจากโลกอื่นก็ได้

 อาจจะมาจากโลกที่เจริญกว่าโลกเราก็ได้

หรือล้าหลังกว่าโลกเราก็ได้ แต่ว่ามันก็เหมือนกัน

 เพราะว่าไปโลกไหนก็เจอตัวละครเหมือนกัน

 ตัวรักตัวชังเหมือนกัน แล้วก็ไปรักไปชัง

ไปกลัวไปหลงกับเขา แล้วก็ดีใจเสียใจ

ไปกับสิ่งที่เราได้ไปสัมผัสรับรู้กัน

เล่นละครไปตามบทตามผู้กำกับสั่งให้เล่น

เห็นไหมพอเขาตั้งเราเป็น ผอ.

ทีนี้เราก็คิดว่าเราเป็น ผอ. จริงๆ ใช่ไหม

 พอตั้งให้เป็นเจ้าอาวาส

ก็คิดว่าเป็นเจ้าอาวาสขึ้นมาจริงๆ

 เลย เล่นบทเต็มที่เลย แล้วเดี๋ยวเวลาเขาปลดปั๊บ

 หน้าก็จ๋อยละสิ เราไม่ได้เป็นเสียแล้ว

 ก็เวลาเขาตั้งเราต้องคอยบอกเราว่าเราไม่ได้เป็น

 เขาตั้งก็ปล่อยเขาตั้งไป

เขาให้เราทำอะไรเราก็ทำไปตามหน้าที่

 ทำเพื่อเงินเดือนก็พอ ทำเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง

 แต่อย่าไปหลงกับตำแหน่งว่าเราเป็นโน่นเป็นนี่

 เราทำเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง

ทำตามหน้าที่ตามเนื้อผ้าไป แล้วก็คอยเตือนว่า

เดี๋ยวสักวันหนึ่งเขาก็ต้องปลดเรา

 ไม่ปลดก็โยกย้าย

 ไม่โยกย้ายก็เลื่อนตำแหน่ง มันก็มีแค่นี้แหละชีวิต

 มันก็เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ขึ้นๆ ลงๆ ถ้าไม่ยึดไม่ติด

 ถ้ารู้ว่าเป็นบทละครมันก็เล่นไปอย่างสบาย

ไม่ซีเรียส ไม่เครียดกับมัน

แต่เราไม่สบายเพราะเวลาเราชอบอะไร

 เราก็อยากได้ อยากให้มันอยู่กับเรานานๆ

 แล้วเวลาที่มันไม่อยู่กับเรา เราก็เสียอกเสียใจ

 แล้วบางทีก็พยายามวิ่งเต้นกัน

 ต่อสู้กันเพื่อรักษาสิ่งที่เรารักสิ่งที่เราชอบ

ให้อยู่กับเราไปนานๆ ก็เลยทุกข์กันไง

ที่มันทุกข์ก็ทุกข์เพราะอย่างนี้

 ทุกข์เพราะว่าเราต้องดิ้นรนกันต่อสู้กัน

ทั้งๆ ที่เป็นของปลอมทั้งนั้น เป็นละคร

 เป็นของโลกละคร ไม่ใช่เป็นของเราอย่างแท้จริง.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

..............................

สนทนาธรรมบนเขา

วันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๖๐







ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 18 สิงหาคม 2561
Last Update : 18 สิงหาคม 2561 10:08:44 น.
Counter : 398 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ