:: การศึกษาที่ไร้สติ ::
:: การศึกษาที่ไร้สติ ::
เขียนโดย : กะว่าก๋า
สถานที่ : โรงเรียนต้นกล้า เชียงใหม่
อะไรคือการศึกษา ?
หลายคนคิดว่าการศึกษาเป็นเพียงการศึกษาเพื่อเกรด
เพื่อปริญญาบัตร
และนั่นไม่ได้ทำให้เราเรียนรู้และเติบโตขึ้นเลย
ใช่หรือไม่ว่าการศึกษาที่ไร้สติกำลังนำพาประเทศ
เข้าไปสู่วงจรแห่งปัญหา
สร้างคนที่เห็นแก่ตัว คนที่ฉกฉวย
คนที่คิดอยู่อย่างเดียวว่าทำอย่างไรก็ได้
ขอให้สอบผ่าน ขอให้ฉันได้งานที่ดี ทำงานสบายๆ
เงินเดือนเยอะๆ ขอให้ฉันรวยเร็วๆ เป็นคนดังในชั่วข้ามคืน
ไม่ว่าสิ่งนั้นจะได้มาด้วยวิธีการที่ถูกต้องหรือไม่ก็ตาม
เด็กมากมายเลือกคณะฯดัง เพราะคิดว่าจบแล้วมีงานทำ
รวยเร็ว รวยง่าย โดยไม่คิดเลยว่า
ตัวเราเองถนัดและชอบในสิ่งที่เราเรียนหรือไม่
เด็กเก่งของเราถูกผลักไปเรียนแพทย์ เรียนวิศวะ
โดยที่เด็กไม่เคยได้คิดเลยว่า
ตนเองต้องเรียนในสิ่งที่ตนเองต้องการอย่างแท้จริงหรือไม่
ไม่น่าแปลกใจใช่ไหม
ที่ทุกวันนี้
เรามีนายแพทย์ที่ไร้ความสุข เพราะในใจลึกๆอยากเป็นนักดนตรีร็อก
เรามีนักบัญชีที่หน่ายเหนื่อย แทนที่จะได้นักวาดภาพที่มีความสุข
เรามีสถาปนิกที่ถามตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่าเมื่อไหร่ฉันจะรวย
แต่ไม่เคยพัฒนารูปแบบการออกแบบของตนเอง
เรามีเด็กสาวหน้าตาดีที่คิดว่าจะต้องทำตัวเป็นข่าวทางลบยังไงถึงจะดัง
ฯลฯ
การศึกษาของเราที่ผ่านมา
ไม่ได้สร้างความตื่นรู้เลยใช่ไหม
สร้างแต่ความสงสัย สร้างแต่ความสับสน
เด็กที่กล้าถาม กลายเป็นเด็กที่ก้าวร้าว
เด็กที่ไม่ให้เพื่อนลอกข้อสอบ คือ คนเห็นแก่ตัว
เด็กที่ไม่กินเหล้าไม่สูบบุหรี่ คือ ไก่อ่อน
เด็กที่ไม่เที่ยวกลางคืน ไม่มีแฟน คือ ตัวประหลาดประจำรุ่น
ฯลฯ
การศึกษาของเรา
กำลังนำพา “อนาคต” ของประเทศเดินทางไปในทิศใด ?
ผมเคยถามคำถามนี้กับตัวเอง
เมื่อครั้งเป็นนักศึกษาในระดับระดับปริญญาตรี
ที่สุดแล้วเมื่อทะเลาะกับระบบ
ผมก็ใช้การประท้วงแสดงออกซึ่งความไม่พอใจที่ตนเองมี
ด้วยการจัดนิทรรศการประจานอาจารย์ในคณะฯตัวเอง
ร่วมกับเพื่อนสองสามคน
และอาจารย์ที่ปรึกษาซึ่งเป็นรุ่นพี่ที่จบไปก่อนหน้านั้นหนึ่งภาคการศึกษา
เรามีแนวคิดตรงกันในการมองเห็นปัญหาที่มีในคณะฯ
ภาพถ่ายและบทกวีที่สะท้อนความรู้สึกด้านลบ ที่มีกับตัวอาจารย์และวิธีสอน
กลายเป็นสิ่งที่คณบดียืนอ่านด้วยความสนใจในวันเปิดงาน
แต่เรื่องราวบานปลายจนอาจารย์ในคณะถูกเรียกเข้าไปพูดคุย
อาจารย์ที่ปรึกษาของผมถูกอาจารย์ผู้ใหญ่ในคณะฯเรียกไปตำหนิ
(ท้ายที่สุดอาจารย์ก็ลาออกหลังจากจบปีการศึกษานั้น)
คณบดีเรียกผมเข้าพบในห้องของท่าน
“มีอะไรหรือคุณถึงเขียนข้อความเหล่านั้น” ท่านถาม
ผมเล่าให้ท่านฟังถึงปัญหาที่มีด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยอารมณ์คุกรุ่น
ทั้งการไม่เข้าสอน การตัดเกรดที่ไม่ยุติธรรม
วิธีการสอนที่ดูแล้วไม่เป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น...
ฯลฯ
เมื่อผมเล่าจบและเตรียมทำใจไว้แล้ว
ว่าอาจจะโดนทำทัณฑ์บนหรือไม่ก็โดนไล่ออก
ท่านคณบดีกลับมองหน้าผม
แล้วกล่าวขึ้นด้วยความเมตตาว่า
“ที่คณะฯของเรา มีทุนการศึกษาในระดับปริญญาโทอยู่
คุณอยากไปศึกษาต่อที่นิวซีแลนด์ไหม
เรียนจบแล้วกลับมาพัฒนาคณะฯด้วยกัน”
ผมฟังแล้วอึ้งไป....
ในตอนนั้นจำได้เลย..ผมตอบท่านไปว่า
“อาจารย์ครับ...ผมจะทำงานกับคนที่ผมเกลียดได้ยังไงครับ”
ในวันนั้นผมไม่ได้ตอบคำถามท่านด้วยความสะใจ
แต่มั่นใจในความคิดของตัวเองว่า
ด้วยวิธีคิด วิธีใช้ชีวิต
ผมคงไม่อาจทนอยู่ในระบบการศึกษาแบบนี้ได้แน่นอน
ผมไม่ได้คิดว่าตัวเองเท่ หรือสะใจ
ที่ลุกขึ้นมาทำนิทรรศการด่าประจานคณะฯตัวเอง
ตอนนั้นผมเพียงต้องการระบายความอัดอั้นตันใจที่ตนเองมี
ต่อความวาดหวังในระบบการศึกษาเท่านั้นเอง
หลายปีผ่านไป
ผมเจอรุ่นน้องบางคนที่จบจากที่เดียวกัน
เลยถามว่าคณะฯเป็นอย่างไรบ้างหลังจากที่ผมจบมา
“ก็เหมือนเดิมพี่ มีอาจารย์ใหม่ๆ ก็ดีขึ้นนะ” รุ่นน้องตอบ
แต่ใจผมไม่เหลือความผูกพัน ไม่เหลือความศรัทธาใดใด
สองปีที่นั่นกลายเป็นฝันร้ายที่หลอกหลอนใจผมนานหลายปี
ผมไปเรียนพร้อมตั้งความหวังว่าอยากจะเป็นครูด้านสถาปัตยกรรมที่ดี
อยากไปเรียนรู้เพิ่มเติมวิชาความรู้เพื่อนำมาพัฒนาตัวเองให้เป็นสถาปนิกที่ดีและมีความสามารถ
สุดท้ายผมได้กระดาษแผ่นเดียวที่รับรองความเป็นบัณฑิตของตัวเอง
กับความรู้ที่ไม่ได้เพิ่มพูนขึ้น
แถมพ่วงมาด้วยการเกลียดคณะฯและอาจารย์.....
วันนี้ผมไม่ได้เป็นทั้งสถาปนิกและไม่ได้เป็นครูอย่างที่เคยวาดหวัง
เสียดายไหมกับวิชาความรู้ด้านสถาปัตย์ที่เรียนมายาวนานถึง 7 ปี
ก็เสียดายอยู่....
แต่สุดท้ายก็รู้ได้เองว่า
ความรู้ศาสตร์ใด แขนงใดก็ตาม
มันปรับใช้ได้กับทุกการงานอาชีพที่เราทำอยู่
ถ้า “วิธีคิด” ของเราถูกต้อง ถูกทาง ถูกธรรม
ไม่ต้องกลัว แม้จะล้มกี่ครั้ง
เราจะลุกขึ้นและกลับมาเดินอยู่บนหนทางอันถูกต้องได้เสมอ
ผมได้แต่เสียใจว่าตัวเองรู้ช้าเกินไป
ว่าเราเรียนไปทำไม ?
เราศึกษาไปทำไม ?
ผมเสียดายที่ไม่น่าเอาเวลาไปทะเลาะกับระบบ
หรือเสียเวลามานั่งเกลียดอาจารย์ตัวเอง
ผมน่าจะเอาเวลาในตอนนั้นไปทำ ไปคิดในเรื่องอื่น
อันจะเป็นการพัฒนาตัวเองไปในด้านบวก
ผมเสียเวลาโกรธและด่าทอคนอื่นนานเกินไป
จนลืมหยุดคิดและสำรวจตัวเอง
ว่าเราได้เสียเวลาที่มีค่าในชีวิตไปนานขนาดไหน
เพียงเพื่อต้องการเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ยาก
เพียงเพื่อหวังเปลี่ยนแปลงคนที่เปลี่ยนแปลงได้ยาก
เปลี่ยนที่ตัวเราเองง่ายกว่า เร็วกว่า
เป็นไปได้มากกว่า
นี่คือสิ่งที่มหาวิทยาลัยไม่เคยสอน
นี่คือสิ่งที่การศึกษาในระบบของเราไม่เคยมอบให้เรา
อะไรไม่ดี ไม่ชอบ รังเกียจ
อย่าเป็นสิ่งนั้น อย่าทำสิ่งนั้น
แล้วไม่ต้องไปเสียเวลาคิดเปลี่ยนแปลงสิ่งอื่นหรือคนอื่น
เปลี่ยนที่ตัวเราเองก่อน
เปลี่ยนที่ความคิดของตัวเราเองก่อน
แล้วสิ่งที่เราทำนั่นล่ะ
ถึงวันหนึ่งมันจะไปเขยื้อนโลก
และสั่นสะเทือนผู้คนให้เขากลับมาย้อนมองส่องตน
ถ้าเขาไม่อยากเปลี่ยน อยากเลว อยากห่วยอยู่อย่างนั้น
ใครจะทำอะไรได้
คนทุกคนล้วนต้องการเพียงปกป้องตัวเอง
และอยู่อย่างสุขสบายตามความเคยชินเท่านั้น
เรามีสิทธิ์อะไรไปทำลายความคิดความเชื่อของคนอื่น
ทางเดียวที่เราทำได้คือ หมั่นสำรวจตรวจสอบความคิดตนเอง
เราทำสิ่งต่างๆอย่างดีที่สุดแล้วหรือยัง
เรารักคนที่เราควรรักอย่างดีที่สุดแล้วหรือยัง
อะไรที่ยังไม่ได้ทำ และไม่ควร
เราได้ลงมือทำแล้วหรือยัง
ถึงวันนี้ผมจบมาแล้วเกือบ 20 ปี
ระบบการศึกษาของเราก็ยังคงมีปัญหามากมาย
วิธีการสอนยังมะงุมมะงาหราอยู่กับเปลือกผิวของการศึกษา
โดยไม่เคยพาผู้เรียนให้ได้พบ “แก่นแท้” ของการศึกษาเลย
อีกนานไหมที่ทุกอย่างจะเปลี่ยนไป ?
อีกนานเพียงใดที่เราจะได้เห็นการศึกษาที่ดีงาม
และนำพาผู้เรียนไปสู่ความดีงาม
สร้างปัญญาเป็นอาวุธ
สร้างความดีเป็นอาภรณ์ที่ห่มคลุมชีวิต
อีกนานไหม ?
ผมไม่รู้
ผมไม่รู้จริงๆ
Create Date : 20 มีนาคม 2555 |
Last Update : 27 มกราคม 2556 7:31:43 น. |
|
94 comments
|
Counter : 1550 Pageviews. |
|
|
|
ฝ้ายขอยกย่องพี่ก๋าจริงๆนะค่ะ (พี่ก๋าตีพิมพ์หนังสือเลยค่ะ)
ฝ้ายมาบล๊อกพี่ก๋าทีไรได้แง่คิดกลับไปทุกที (วันนี้แอบไปเจอพี่ก๋าตอบคำถามในบล๊อกของคุณเสือย้อมแมว)
ฝ้ายขอสมัครเป้นแฟนคลับของพี่ก๋าเลยค่ะ
ปล. ขออนุญาติสำรวบบล๊อกพี่ก๋าอย่างจริงจังค่ะ อิอิ