- 5 AOUT 09 - ขอพักอีกวัน

ขอพักอีกวัน

สัปดาห์นี้วันทำงานเริ่มต้นช้า เพราะเพิ่งกลับจากมุมไบเมื่อคืนตอนเที่ยงคืน พอถึงบ้าน สองสามีภรรยายังมีกะใจเปิดดูรีรันของรายการโปรด so you think you can dance กว่าจะได้นอนก็ตีสองหว่า หวานใจมีประชุมเช้า ลุกจากเตียงก่อน ส่วนฉันนอนต่อสู้กับความขี้เกียจ

สุดท้ายก็ตัดใจลุกขึ้นมาจนได้ ระหว่างลังเลว่าจะส่งข้อความไปยกเลิกโยคะดีมั้ย เมื่อเอ่ยความในใจออกไปดังๆ ว่าไม่อยากลุกจากที่นอนเลย หวานใจในชุดทำงานตอบกลับมาเรียบๆ ว่า เขาเองก็ไม่อยาก

แหงะ ... เจอย้อนนิ่มๆ แบบนี้เข้า ตาสว่างเลยฉัน ส่งสามีไปทำงาน อาบน้ำอาบท่า ลงมาจัดสถานที่ เริ่มต้นวันด้วยสุริยะนมัสการ รอเพื่อนร่วมชั้นและอาจารย์

วันนี้ในชั้นเรียนมีการฝึกสวดมนต์ "ต้านมฤตยู" เป็นภาษาสันสฤตด้วย และไม่ได้สวดขมุบขมิบเบาๆ ด้วยนะ ต้องร้องออกมาเป็นเพลงเลยล่ะ

เฮ่อ หลายชั่วโมงผ่านไป ออกไปเดินจ่ายกับข้าวกับมันจุฬาก็แล้ว กินอาหารกลางวันไปแล้ว ความขี้เกียจยังสิงสถิตย์เหนียวแน่น ท่าทางวันนี้จะไม่ได้งาน เอาภาพที่ถ่ายตอนไปมุมไบทริปนี้มาฝากกันดีกว่า



ภาพทั้งหมดนี้ถ่ายจากไอโฟนล้วนๆ สีเลยจืดชืด ได้เท่าที่ได้ ฉันเอากล้องลูมิกซ์ไป เอาที่ชาร์จแบ็ตไป แต่ไม่ได้เอาแบตและการ์ดไป เชื่อเขาเลยจริงๆ ดีนะหวานใจติดเดอะด็อก กล้องไลก้าไปด้วย พอจะหยิบยืมมาถ่ายได้บ้าง

ฉันไปมุมไบครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 แล้ว คราวที่แล้วไปนอนบูติกโฮเต็ล แต่คราวนี้เปลี่ยนไปนอนโรงแรมหรูที่ถือกันว่าเป็นเอกลักษณ์แห่งความอลังการของวงการโรงแรมเชื้อชาติอินเดีย นั่นคือ โรงแรม ทาจ มหาโฮเต็ล ที่ตั้งเด่นอยู่ตรงประตูเข้าอินเดีย หรือ The Gateaway Of India พอดิบพอดี

ใครที่ติดตามข่าวคราว คงจะจำได้ว่าเมื่อปีที่แล้ว มีผู้ก่อการร้ายบุกเข้าจับตัวประกันและสังหารแขกกับพนักงานโรงแรม จนทางการอินเดียต้องยิงกระสุนปืนใหญ่ใส่ตึกสวยๆ ตอนนี้คดีนั้นยังอยู่ในศาล สรุปจบกันยังไม่ได้สักที

กลับมาที่โรงแรมต่อ ที่นี่เขาจะแบ่งพื้นที่ออกเป็นสองส่วนคือส่วนดั้งเดิมที่ก่อตั้งมาร้อยสี่ปี เป็นส่วนที่ถูกบุกและถูกทำลายจนต้องปิดทำการซ่อมแซม อีกส่วนเป็นตึกสูงที่เปิดทำการ 3 อาทิตย์หลังจากจับผู้ก่อการร้ายได้ ทางทาจช่างเฉลียวฉลาด พลิกวิกฤติเป็นโอกาสทำการตลาดในทันที จัดทำหนังสือรวบรวมเรื่องราวที่เกี่ยวกับโรงแรมนี้ในมุมมองของคนดัง ส่งผลให้ที่นี่จนกลายเป็นสถานที่ในตำนานไปแล้ว

ปัจจุบัน แขกที่เข้ามาพัก อย่างน้อยก็ฉันคนนึงล่ะ นอกจากจะรู้สึกถึงความหรูหราอลังการแล้ว ยังอดไม่ได้ที่ไพล่ไปนึกถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้น ความกล้าหาญทุ่มเทของพนักงานที่อยู่เหตุการณ์และมีเกร็ดเล็กๆ น้อยๆ เล่าลือกันไปต่างๆ นานา มีอยู่เรื่องนึงน่ารักมาก

หลังจากหน่วยสวาทแทรกซึมเข้าไปจนถึงบริเวณห้องอาหารที่มีแขกแอบซ่อนหลบภัยอยู่ได้ และชี้ทางบอกให้ออกทางประตูหลังที่เคลียร์เรียบร้อยแล้ว แขกคนหนึ่ง ด้วยความดีใจหรือความงกไม่ทราบได้ หยิบแก้วน้ำกับขวดเชมเปญที่ตั้งโชว์อยู่ หวังจะมุบมิบดื่มฟรี และต้องผงะเมื่อพนักงานเสิร์ฟคนหนึ่งเข้ามาทำท่าห้าม

ด้วยความขัดเขิน แขกนักฉวยโอกาสคนนั้นกล่าวแก้ตัวว่า "แหม ก็แค่อยากฉลองเท่านั้นเอง" พนักงานคนนั้น หยิบขวดเชมเปญมาเปิดให้ แล้วบอกว่า "ท่านหยิบแก้วผิดประเภทขอรับ" พร้อมกับหยิบแก้วทรงสูงเพรียวสำหรับเชมเปญโดยเฉพาะมารินให้






ฝากข้อความ เชิญคลิกที่นี่






 

Create Date : 05 สิงหาคม 2552    
Last Update : 5 สิงหาคม 2552 17:03:25 น.
Counter : 760 Pageviews.  

- 31 JUILLET 09 ช่วงพักผ่อนใกล้สิ้นสุดแล้ว

ช่วงพักผ่อนใกล้สิ้นสุดแล้ว

Je vais me remettre au travail bientôt.

     ตั้งแต่กลับจากเมืองไทยวันที่ 11 ฉันไม่ได้ทำงานเป็นชิ้นเป็นอัน มีงานแก้ไขต้นฉบับมาประปรายเล็กๆ น้อยๆ ฉันไม่ค่อยอยากนับว่าเป็นงานเสียเท่าไหร่

     โดยที่ไม่ได้ตั้งใจกะไว้ตั้งแต่แรก ฉันค่อยๆ สังเกตปฏิกิริยาและกิจกรรมที่ตัวฉันเลือกที่จะทำในช่วงโล่งๆ สามอาทิตย์เต็มๆ ที่ผ่านมาในแต่ละวัน คอยเช็คความรู้สึกเมื่อสิ้นสุดวัน การใช้ชีวิตสบายๆ นำการใส่ใจกับสิ่งรอบตัวมาให้ ได้ความรู้ใหม่ๆ มีมนุษยสัมพันธ์กับผู้คนมากขึ้น ได้อ่านหนังสือมากขึ้น สบายมันก็สบายอยู่หรอก แต่ฉันรู้สึกว่ามีอะไรที่ขาดหายไป

     ฉันกลับมาเปิด "เนือบช้า" ของคุนเดอรา แปลต่อจากที่ค้างไว้ แต่เป็นการแปลแบบสบายๆ ไม่มีกำหนดโควต้าในแต่ละวัน เซ็งก็พอ เบื่อก็หยุด ไม่ต้องมีความมุ่งมั่นที่จะเอาชนะตนเอง ไม่มีความภาคภูมิใจที่ได้ล่วงพ้นศักยภาพของตนเองวันละนิด

     นี่ไง สิ่งที่ขาดหายไป ... ความพอใจกับความอุตสาหะของตนเองในการทำงานประจำวัน การฝึกตัวเองให้ก้าวพ้นศักยภาพของตัวเองวันละนิด เหมือนกับการออกกกำลังกายด้วยโยคะ วันนี้หน้าผากแตะพื้น พรุ่งนี้จมูก วันต่อไป คาง

     ฉันจึงสรุปว่า ฉันคงไม่เหมาะกับชีวิตชิลล์ๆ ฉันเป็นคนบ้างาน และมีความสุขในการทำงาน ความสุขของฉันคือการได้เห็นผลงานออกมาจากความเพียรพยายามและหยาดเหงื่อ อย่างไรก็ตาม สามอาทิตย์ว่างๆ ที่ผ่านมาก็ใช่ว่าจะสูญเปล่า เป็นช่วงเวลาที่ทำให้ฉันพอจะเห็นกิจกรรมที่น่าทำ วิธีการทำ ช่วงเวลาที่ทำได้ เป็นฐานข้อมูลเพื่อปรับตารางชีวิตของฉันให้อยู่สายกลางมากขึ้นกว่าเดิม

     ได้เวลาตั้งเป้าหมายในการทำงานอย่างเข้มข้น มีวินัยอย่างจริงจัง สิ่งที่จะแตกต่างจากเมื่อก่อน คือ นอกจากกำหนดเวลาทำงานที่แน่นอนแล้ว ฉันต้องกำหนดเวลาพักผ่อนคลายที่แน่นอนด้วย ไม่ใช่ก้มหน้าก้มตาโหมงานตลอดเวลาอย่างเดียวเหมือนที่เคยทำ


     ได้เวลาปรับความตึง-หย่อนในชีวิตอีกครั้ง



     กำหนดเริ่มต้นวันพุธหน้า หลังจากกลับจากมุมไบ



>> ฝากข้อความเชิญคลิกที่นี่






 

Create Date : 31 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 31 กรกฎาคม 2552 13:47:30 น.
Counter : 962 Pageviews.  

- 30 JUILLET 09 เดี๋ยวก็ดีเอง

เดี๋ยวก็ดีเอง

ça va aller.

     วันนี้ไม่มีเรียนโยคะตอนเช้า ตื่นมา กินอาหารเช้าเป็นข้าวหน้าไข่เจียวเบคอน ส่งหวานใจไปทำงานแล้วก็นั่งหน้าจอเลย รู้สึกผิดเล็กน้อย เพราะวันนี้งานการไม่ได้มีอะไรเร่งรีบ ที่จริงควรจะออกกำลังกายก่อน

     บ.ก.ของแพรว สนพ. ส่งต้นฉบับ "ทุกสิ่งอันที่เรามิได้เอื้อนเอ่ยต่อกัน" ที่ผ่านการตรวจความถูกต้องในการแปลจากรีดเดอร์และความสละสลวยของสำนวนจากบรรณาธิการ มาให้เกลาบางประโยคที่อ่านแล้วขลุกขลัก ทำเสร็จส่งไป แจ้งว่าสุดสัปดาห์นี้จนถึงวันอังคารฉันจะไม่อยู่บ้าน ถ้าส่งต้นฉบับมาช่วงนั้นคงดูและส่งกลับได้วันพฤหัส (นี่ลอกคำจากในอีเมลมาเป๊ะๆ เลย)

     เมื่อเช้าเปิดเช็คอีเมล มีอีเมลจากคุณหริ่นเนตรนภา ณ ปราก เขียนมาถามไถ่ เพราะดูเหมือนช่วงนี้ฉันจะมีเรื่องไม่สบายใจ

     ได้แต่ตอบไปว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่ตัวปัญหา ปัญหาไม่ได้ใหญ่โตอะไร ไม่ได้สร้างความเจ็บปวด แต่สร้างความรำคาญมากกว่า และในส่วนที่เกี่ยวกับฉัน ก็เป็นปัญหาของผู้บริหารมือใหม่ที่ยังไม่สามารถตัดใจส่งตัดความรับผิดชอบให้ผู้มีหน้าที่ดูแลแก้ไขปัญหาโดยไม่แอบรู้สึกกังวลหรือเป็นห่วง (นี่ไม่ได้ลอกมาเป๊ะๆ แต่รวมๆ ก็ประมาณนี้ล่ะ) เลดี้หริ่นผู้อยู่ระหว่างการไปเปลี่ยนบรรยากาศที่บ้านน้องสะใภ้ตอบกลับมาทันใจ แนะนำในฐานะผู้มีประสบการณ์มาก่อนว่า การทำงานทางไกล เวลามีปัญหาที่เราเข้าไปจัดการด้วยตัวเองไม่ได้ หนทางเดียวที่จะช่วยทุเลาความร้อนรุ่ม คือ ทำใจ



     หลังจากทำใจแล้ว นั่งตัดต่อวิดีโองานเปิดตัวเจ้าชายน้อย อัพขึ้นยูทูป เดี๋ยวอารมณ์ดีๆ จะเอาไปแปะในเบล้อกกำมะหยี่ อัพเสร็จแล้ว เปิดไฟล์เวิร์ดขึ้นมา พิมพ์ลงไปว่า

     คำสาปร้านเบเกอรี

     คำนำสำนักพิมพ์


     รวบรวมสมาธิ จ้องสองข้อความที่ปรากฎอยู่หน้าจอสักพัก

     เซฟ


     แล้วปิดไฟล์






     ภาพสไลด์ที่นำมาฝากวันนี้ เป็นภาพอาหารจากร้าน Graze ในโรงแรม Taj Residency ซึ่งเป็นร้านโปรดในบังกาลอร์ของฉันกับหวานใจ ร้านนี้เสิร์ฟอาหารตะวันตกแบบฟิวชั่น เป็นร้านที่มีไวน์นำเข้าดีๆ ให้ดื่มมากที่สุด นานๆ ครั้งจะมีการจัดดินเนอร์-ไวน์เทสติ้ง เป็นเซ็ตเมนูที่มีไวน์ในธีมต่างๆ ประกอบอาหารแต่ละจาน ฉันกับหวานใจเป็นแขกขาประจำชนิดที่พอโทรไปจอง พนักงานรับสายเรียกชื่อตัวอย่างสนิทสนมเป็นกันเอง เวลาไปถึงร้าน พนักงานเสิร์ฟทุกคนรวมถึงนักดนตรีเข้ามายิ้มแย้มทักทาย หวานใจเคยพาเพื่อนร่วมงานที่มาจากฝรั่งเศสไปกิน เพื่อนร่วมงานคนนั้นเห็นการต้อนรับแล้วประหลาดใจใหญ่

     บรรยายภาพกันนิดนึงเนอะ : มื้อนั้นเป็นมื้อที่ฉันกับหวานใจอารมณ์ดีและขี้เกียจเลือกอาหารเอง จึงตัดสินใจสั่งเมนูชวนชิมที่ทางร้านจัดขึ้นพร้อมไวน์ที่เปลี่ยนไปในแต่ละคอร์สที่มีทั้งหมด 5 คอร์ส หลังจากมีของกินเล่นเล็กๆ เรียกน้ำย่อยที่เชฟแถมให้แล้ว คอร์สแรกเริ่มต้นด้วยสลัดกุ้งลอบสเตอร์หรือสลัดลูกฟีก ต่อด้วยครีมซุป เข้าสู่คอร์สที่ 3 ด้วยพาสต้าหรือฟัวร์กราส์สดทอด

     ล้างปากด้วยเชอร์เบ็ตตะไคร้ แล้วต่อคอร์สที่ 4 ปลา หรือ เนื้อ ตบท้ายด้วยคอร์สที่ 5 ของหวาน ช็อคโกแล็ตซูเฟล่

     ไวน์ส่วนใหญ่ในเมนูเป็นไวน์ขาว ไม่ชาร์ดอนเนต์ก็โซวิญงบล็องค์ จากประเทศต่างๆ ค่ะ



>> ฝากข้อความเชิญคลิกที่นี่






 

Create Date : 30 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 30 กรกฎาคม 2552 15:39:25 น.
Counter : 845 Pageviews.  

- 29 JUILLET 09 สิ่งที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นในชีวิตของฉัน

สิ่งที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นในชีวิตของฉัน

La meilleure chose qui arrive dans ma vie.

The best thing that happended into my life.
     ช่วงนี้ใช้ชีวิตล่องลอยไปเรื่อยๆ ไม่ได้มุงานคร่ำเคร่งเหมือนเมื่อก่อน เรียนรู้ที่จะละเว้นการเช็คอีเมล และจัดลำดับความสำคัญของการตอบ ไม่โหมตอบทุกเรื่องในทันทีเหมือนเคยๆ

     ชีวิตไม่ตึง มีเวลาว่างเยอะ พามันจุฬากับชีวา น้องสะใภ้ของมันจุฬาไปกินอาหารที่ร้านอาหารใกล้บ้าน เป็นอาหารสไตล์ Multi Cuisine ซึ่งหมายถึงมีอาหารจากหลากหลายภาคในอินเดีย รวมไปถึงอาหารจีนแบบเสฉวนที่เน้นเครื่องเครารสชาดจัดจ้าน หลังจากได้กินอาหารอินเดียที่คนอินเดียกินตามร้านหลายๆ ครั้ง ฉันเริ่มรู้สึกถึงสเนห์ของอาหารอินเดียมากขึ้นทีละนิด แต่ยังไม่ถึงขนาดกินแบบอินเดียแท้ด้วยการใช้มือเปิบ

     สุดสัปดาห์นี้ ฉันกับหวานใจจะไปมุมไบ เพื่อรอรับวีซ่าเข้าฝรั่งเศสของฉันที่นั่นในวันอังคาร

     จบรายงานชีวิตโดยทั่วไป

     ควรจะเข้าหัวข้อสักหน่อยมั้ย

     ตอนนี้ความรู้สึกของฉันที่มีต่อหวานใจ สามีสุดที่รัก มันเพิ่มระดับขึ้นอีกขั้นแล้ว จากการเป็น My favorite Humain Being - มนุษย์คนโปรดของฉัน ขึ้นสู่ The best thing that happended into my life. สิ่งที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นในชีวิตของฉัน



     และฉันก็บอกเขาไปแล้วด้วย



>> ฝากข้อความเชิญคลิกที่นี่






 

Create Date : 29 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 29 กรกฎาคม 2552 14:12:46 น.
Counter : 714 Pageviews.  

- 27 JUILLET 09 วันดาว(น์)ๆ + ภาพจากไมซอร์ อินเดีย

วันดาว(น์)ๆ + ภาพจากไมซอร์

Ce lundi, je suis un peu deprime'e

     วันจันทร์ วันทำงานเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง แต่ฉันกลับรู้สึกเนือยๆ ไม่มีกะใจอยากจะเปิดไฟล์ไหนออกมาดูทั้งสิ้น

     มันเซ็ง มันหน่าย ใจมันกร่อย สาเหตุคืออะไร บอกไม่ถูก หรือลมจะไปเลือดจะมา หรือเป็นเพราะฉันยังไม่บรรลุถึงความสงบที่แท้จริง หรือการข่มความคับข้องหมองใจมันลงไปอัดแน่นที่ก้นบึ้งจวนเจียนจะระเบิด ทั้งที่รู้ว่าช่วงเวลาแบบนี้เมื่อผ่านแล้วจะผ่านไป เหมือนพายุกระหน่ำที่พัดมาแล้วจะพัดไป ทิ้งไว้เพียงซากปรักพังให้เก็บกวาด จัดใจให้เข้าที่เข้าทางอย่างเข้มแข็งกว่าเดิม รอวันเผชิญกับพายุลูกต่อไปในอนาคต

     เมื่อมานั่งพินิจดูแล้ว ชีวิตคนเรามันก็เท่านี้จริงๆ มีปัญหาสารพันเวียนเข้ามาให้ได้เจอะเจอ สุดแต่เราจะปล่อยให้มันมาโยกคลอนความแข็งแกร่งของเราได้มากน้อยแค่ไหน จะโอนเอนไปกับมัน หรือยืนหยัดต่อสู้อย่างไม่หวาดหวั่น และที่สุดแล้วมันก็วนกลับมาที่เดิม คือ ไม่มีสิ่งไหนที่ทำให้จิตใจเราร้อนรุ่มได้มากไปกว่า "ตัวกู" เมื่อตัดตัวกูออกไปได้แล้ว ไม่มีอะไรเป็นเรื่องใหญ่โตเลยแม้แต่น้อย

     เอาเหอะ อย่ามัวแต่พล่ามในเรื่องที่น้อยคนจะเข้าใจว่าพูดถึงอะไรอยู่เลย เล่าเรื่องที่ไปเที่ยวไมซอร์เมื่อเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมาดีกว่า





     เริ่มต้นเดินทางจากบ้านที่บังกาลอร์เช้าวันเสาร์ สองสามี-ภรรยาตื่นสาย ออกจากบ้านช้าที่กำหนดไว้ว่าเก้าโมงครึ่งไปเกือบสองชั่วโมง วิโนดขับรถตัดเมืองไปทางตะวันตก เข้าถนนบังการ์ลอร์-ไมซอร์ ลงไปทางตะวันตกเฉียงใต้ ระยะทางร้อยกว่ากิโลเมตร กว่าจะหลุดออกจากการจราจรหนึบหนับในเมืองได้ แต่พอออกนอกเมืองแล้วถนนสี่เลนตัดตรงวิ่งได้เรียบ บ่ายๆ กว่าท้องเริ่มร้อง เหลือบเห็นโลโก้แม็คโดนัลด์อยู่ข้างทาง ใจเริ่มชื้นขึ้น แต่ป้ายอะไรต่างๆ ในอินเดียเนี่ยจะติดแจ้งเอาไว้ประมาณ 10 กิโลก่อนถึงสถานที่จริง ฉันกับหวานใจชะเง้อแง้มองหาอยู่นาน จนเกือบถอดใจว่าโดนแขกหลอก แต่สุดท้ายก็เจอจนได้

     การใช้ชีวิตในอินเดีย สิ่งเดียวที่ฉันเสียใจคือฉันไม่สามารถกินอาหารท้องถิ่นได้ทุกอย่าง ถึงช่วงหลังจะปรับตัวปรับลิ้นได้มากแล้ว แต่อาหารมังสวิรัติเนี่ย ยังทำใจให้สั่งกินไม่ลงเสียที ทำให้เวลาหิวๆ อยู่บนถนนนอกเมืองที่มีร้านอาหารตั้งเป็นระยะๆ หากล้วนเป็นอาหาร Veg แม็คโดในปั๊มน้ำมันริมทางจึงเป็นเหมือนแหล่งน้ำกลางทะเลทราย

     กินอิ่มท้อง ถึงจะไม่ได้เอร็ดอร่อยมากมายนักแต่ก็ยังดีกว่าทนหิว นั่งรถต่อเข้าเมืองไมซอร์ ซึ่งติดป้ายว่าเป็น Heritage City - City of Palaces ในปีนี้รัฐบาลอินเดียจัดเป็นปีรณรงค์เที่ยวอินเดียด้วยสโลแกน Incredible India (คอนเฟิร์มฮ่ะว่าจริง ประเทศของเขาเหลือเชื่อจริงๆ) เมืองต่างๆ จึงต้องหาจุดเด่นของตัวเองมาติดป้าย เช่น บังกาลอร์เป็น Garden City เมืองสองเมืองเล็กๆ ที่อยู่ระหว่างทาง คือ Channapatna เป็น Toys City เพราะเป็นแหล่งผลิตของเล่นไม้เคลือบแล็คเกอร์ Mandya เป็น City of sugar เพราะเป็นแหล่งผลิตน้ำตาล

     คืนนั้นพักที่โรงแรม Lalitha Mahal Palace Hotel เป็นตึกเก่าแก่อายุใกล้จะครบร้อยแล้ว เมื่อก่อนเอาไว้เป็นพี่พักรับรองบรรดาแขกเหรื่อของมหาราชารัฐไมซอร์ ตัวตึกสวยงามแบบยุโรปผสมอินเดีย ต่อมาปรับปรุงเป็นโรงแรม บริหารงานโดยรัฐบาลอินเดีย จึงต้องทำใจว่าอาจจะไม่ได้มีทุกอย่างครบถ้วนเหมือนโรงแรมห้าดาวในเครือโรงแรมใหญ่ และโดยรวมๆ แล้ว ฉันว่าเขาก็พยายามดูแลให้สะอาดสะอ้านได้มาตรฐานนะ ถึงจะไม่หรูหราเพียบพร้อมทันสมัยดูดีเสียทั้งหมด แต่โดยรวมก็โอเคล่ะ ไม่มีอะไรน่าผิดหวัง (เพราะไม่ได้หวังอะไร)

     หลังจากเจอห้องแรกเป็นเตียงคู่ หวานใจไม่ยอม เปลี่ยนไปห้องเตียงเดี่ยวที่มีอ่างอาบน้ำอายุร้อยปี เราเข้าพักที่ห้อง duplex suite เป็นห้องชุดที่จัดเป็นสองระดับ ด้านล่างเป็นส่วนนั่งเล่น มีบันไดเล็กๆ ขึ้นไปยังส่วนที่เป็นห้องนอน มีแอร์ตัวใหญ่ส่งเสียงครางหึ่ง ไม่สามารถปิดได้เพราะปุ่มปิดพัง มีทีวีสองเครื่อง มีตู้เย็นอยู่ในตู้ไม้กันอุอาจตา ข้างในมีน้ำดื่มในขวดพลาสติก 2 ขวด กับ โซดา 2 ขวด หึหึ ดีนะที่ไม่ได้หวังอะไรมากกว่านี้





     พักผ่อนเอนกายจากการเดินทาง เดินถ่ายรูปตัวอาคารจนทั่วแล้ว เราไปเที่ยวในเมืองกัน เริ่มจากโบสถ์คริสต์ใหญ่ประจำเมือง เขาไม่อนุญาตให้ถ่ายรูป เลยไม่มีรูปมาฝาก เข้าไปเยี่ยมชมข้างใน เห็นคริสตศาสนิกชนเข้ามาสวดมนต์อธิษฐาน ดูแล้วรู้สึกว่าพวกเขาเชื่อในพระเจ้าจริงๆ และเป็นพระเจ้าที่เขาเลือกแล้วว่าจะเคารพนับถือในบรรดาเทพเจ้านับพันองค์ในประเทศ

     จบจากโบสถ์คริสต์ นั่งรถแล่นเลียนถนนริมเขาขึ้นไปที่วัด Nanjundeshwara temple บนเนินเขา Nanjangud เห็นว่ามีขั้นบันได 1000 ขั้นให้ขึ้น ฉันกับหวานใจเลยขอบายไม่ยอมเข้าไปข้างในตามประสาคนไม่ชอบเดิน

     คืนนั้น กินมื้อค่ำที่ร้านอาหารในโรงแรมที่พักอยู่ เป็นคืนพิเศษสั่งอาหารอินเดียมากินกัน เช้าวันรุ่งขึ้นแวะไปที่ Mysore Palace ปราสาทมหาราชา จุดเยี่ยมชมจุดสำคัญของเมือง ไปถึงตอนสิบโมง ปรากฎว่าเขาเปิดให้เข้าชมตอน 10 โมงครึ่ง หวานใจคำนวณเวลานั่งรถกลับบังกาลอร์แล้วบอกว่าอย่ารอเลย เดี๋ยวจะไปกินบรันช์ไม่ทัน เราสองคนจะโมโหหิวเสียเปล่าๆ


     ส่วนฉันลังเลใจ : จะไปกินไม่ทัน+หน้าที่ภรรยาในการเชื่อฟังสามี(แฮ่ม)+เข้าไปก็ถ่ายรูปไม่ได้ -ไหนๆ ก็มาถึงที่แล้ว = กลับบังกาลอร์





>> ฝากข้อความเชิญคลิกที่นี่






 

Create Date : 27 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 27 กรกฎาคม 2552 13:26:43 น.
Counter : 899 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  94  95  96  97  98  99  100  101  102  103  104  105  106  107  108  109  110  111  112  113  114  115  116  117  118  119  120  121  122  123  124  125  126  127  128  129  130  131  132  133  134  135  136  137  138  139  140  141  142  143  144  145  146  147  148  149  150  151  

Mutation
Location :
somewhere in Hong Kong SAR

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




ฉั น คื อ ใ ค ร

     สาวพฤษภชาวแกลงแห่งเมืองระยอง ลอยละล่องเรื่อยไปจนปาเข้าสามสิบ กว่าจะได้พบอาชีพที่ต้องจริตจนคิดตั้งตัวเป็นนักแปลรับจ้างเร่ร่อนไร้สังกัด ปัจจุบันเปิดสำนักพิมพ์เล็กๆ ชื่อ "กำมะหยี่"

     จุดหมายในชีวิต หลังจากผันผ่านคืนวันมาหลายปีดีดัก ขอพักไม่หวังทำอะไรใหญ่โต ขอเพียงมีชีวิตสุขสงบ ได้ทำสิ่งที่ดีๆ ทำตามหน้าที่ของตนในทุกด้านอย่างดีที่สุด แค่นั้นพอ

      ฉันมีหวานใจ- สามี - สุดที่รักแสนดีชาวฝรั่งเศส แถมเรือพ่วงสองลำเล็กๆ ตอนนี้มาใช้ชีวิตกันอยู่ที่ฮ่องกง



Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add Mutation's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.