ปริศนามนุษย์กลของอูโก้ กาเบรต์ : ผลงานเล่มแรกในชีวิต

เด็กชายผู้ไร้ตัวตน อาศัยอยู่ในเงามืดของสถานี กับมนุษย์กลลึกลับ ซึ่งนำไปสู่ปลายทางอันคาดไม่ถึง บันทึกว่าด้วยงานแปลชิ้นนี้
ตอนที่เจอหนังสือเล่มนี้ครั้งแรก ไม่ได้รู้สึกอะไรกับมันมากนัก เพราะหน้าปกเรียบง่ายไม่ชวนให้จับเอาเสียเลย แต่พอได้หยิบพลิก ๆ ก็ตัดใจควักเงินในกระเป๋าซื้อเลย เพราะชอบลายเส้นขาวดำ มืด ๆ ทึม ๆ อย่างนี้อยู่เลย พอกลับมาถึงบ้าน ก็อ่านแต่ต้นจนจบในรอบเดียว และเกิดอาการอยากแปลหนังสือเล่มนี้ขึ้นทันที ถึงกับลงทุนเข้าเวบหาตัวเจ้าของลิขสิทธิ์ โทร.หลอกเอเจนซี่เพื่อขอเบอร์เจ้าของสำนักพิมพ์ (ขอโทษด้วยนะคร้าบ) จนในที่สุดก็ได้คุยกับพี่เอ๋ - อริยา ไพฑูรย์ พอรู้ว่าเป็นพี่เอ๋ก็รู้สึกกรี๊ด ๆ เพราะทราบว่าเธอเป็นบรรณาธิการที่มีฝีมือดีมาก และดูแลหนังสือชื่อดังมาแล้วหลายเล่ม เช่น วินนีเดอะพูห์ ลอร์ดออฟเดอะริงส์ หรือความสุขของกะทิ อันที่จริงพี่เอ๋วางตัวคนแปลไว้แล้ว แต่ตอนนั้นนักแปลท่านนั้นยังไม่เริ่มงาน พี่เอ๋เลยให้ลองทดสอบแปลดูก่อน เสร็จแล้วก็นั่งลุ้น ๆ จำได้ว่าวันที่พี่เอ๋โทร.มาบอกว่าจะให้แปลนั้น เป็นวันที่มีเหตุการณ์สำคัญในชีวิตอีกอย่างหนึ่ง (แต่เป็นเรื่องอะไรนั้น ขออุบไว้ครับ) หลังจากนั้น ก็เริ่มแปลไปพร้อมกับทำภารกิจประจำของตัวเองไปด้วย (ตอนนั้นยังเรียนปีสี่อยู่เลย) คิดถึงลูกบ้าของตัวเองในตอนนั้นแล้วก็อดขำไม่ได้ เด็กยังเรียน ไม่ได้มีเครดิตใด ๆ ในบรรณพิภพ ทำไมถึงได้หาญกล้าไปติดต่อ บก.ระดับนั้น และทำไมถึงได้กระหายอยากแปลหนังสือเล่มนี้ขนาดนั้น เคยมีนิตยสารมาสัมภาษณ์ แต่ตอนนั้นยังเด็กมาก ไม่เข้าใจความคิดของตัวเองอย่างละเอียดลึกซึ้ง จึงตอบผ่าน ๆ ไปตามเรื่อง จนโตขึ้น ผ่านโลกมากขึ้น ถึงได้เข้าใจ หนังสือเล่มนี้ไม่ได้บอกประเด็นที่ว่ามาโดยตรง แต่เราสัมผัสได้เอง ในหนังสือบอกว่า "มนุษย์ที่ไร้ความฝัน ก็เหมือนกับหุ่นกลที่ใช้การไม่ได้" พ่อจอร์จในเรื่องสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง รวมถึงความเคารพในตัวเอง ใช้ชีวิตอยู่ในสถานีรถไฟ มองผู้คนเดินผ่านไปวัน ๆ อย่างผีตายซาก เป็นสภาพอันน่าสยองขวัญที่สุดในความรู้สึกของผู้แปล เพราะตัวเองนั้นเป็นคนที่อยู่ได้ด้วยความฝันและความทะเยอทะยาน ตอนเรียนหนังสือก็อยากเรียนในคณะดัง ๆ พูดชื่อไปใครก็ต้องรู้จักคณะนี้ เวลาทำงาน ก็อยากได้ทำกับสำนักพิมพ์ดัง ๆ หรือ บก.เก่ง ๆ แม้รู้ว่าความฝันจะยากเพียงใด หรืออยู่สูงจนเราไม่อาจเอื้อมคว้าได้ แต่ก็ยืนยันที่จะยืนหยัดต่อไป และสิ่งที่จะไม่มีวันปล่อยให้หายไป คือความเคารพและภาคภูมิใจในตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ให้เราสามารถอยู่บนโลกที่ทั้งโหดร้ายและน่ารักได้ หนังสือเรื่องนี้จะคอยย้ำเตือนตัวเองตลอดไป ประเด็นต่อไปที่ผู้แปลสัมผัสได้เอง แต่คนอื่นอาจจะไม่รู้สึกคือ "ความเหงา" ภาพบรรยากาศกรุงปารีสในช่วงฤดูหนาวที่มีหิมะโปรยปรายก็ชวนให้หดหู่แล้ว แต่ยิ่งมาเจอกับหนูน้อยกำพร้าพ่อ อูโก้ กาเบรต์ ที่ต้องใช้ชีวิตอย่างไม่มีตัวตนหลังกำแพงนาฬิกา ยังชีพด้วยการขโมยสิ่งของหรืออาหารที่มีคนทิ้งไว้ให้ ดูแข็งแกร่งดีนะ แต่ใครจะรู้ข้างในจิตใจ ผู้แปลเองเป็นคนที่ได้รับคำชมจากคนอื่นว่าเป็นคนเก่ง ที่สามารถยืนหยัดได้ตัวเอง ต่อให้อยู่คนเดียวก็อยู่ได้ แต่จริง ๆ แล้วบางครั้งก็รู้สึกเหงาและไม่มั่นใจในตัวเอง อูโก้โดดเดี่ยวและไม่มั่นใจในอนาคตของตัวเองอย่างไร ผู้แปลก็รู้สึกไม่ต่างกัน แต่ความเคารพตัวเอง(ในประเด็นแรก)ทำให้สามารถผ่านพ้นสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นมาได้ สรุปว่า อูโก้ กาเบรต์เห็นหนังสือที่ผู้แปลรักมากเหลือเกิน ขอบคุณพระผู้เป็นเจ้าที่ทรงรู้เห็นเป็นใจในบางเวลา ขอบคุณพี่เอ๋ ที่ให้โอกาสแปลหนังสือดี ๆ เล่มนี้ ขอบคุณอูโก้ กาเบรต์ ที่ได้นำชีวิตมาสู่หุ่นกลตัวนี้ คำอุทิศ (ที่ไม่ได้ตีพิมพ์) หนังสือแปลเล่มแรกในชีวิตนี้ ขออุทิศให้พ่อกับแม่ ผู้จับมือหุ่นกลตัวน้อยหัดอ่านหัดเขียน จนมาเป็นหนังสือเล่มนี้ พ่อกับแม่คือผู้สร้างหุ่นกลตัวนี้
Free TextEditor
Create Date : 22 กรกฎาคม 2552 |
|
7 comments |
Last Update : 30 กรกฎาคม 2552 0:30:34 น. |
Counter : 4461 Pageviews. |
|
 |
|