- 25 mai 07

โอ้ว่า....ชีวิตนักแปล (ภาคเอาแต่ใจตัวเอง)


      ขนชมพู่ โน้ตบุคคู่บารมีออกมานั่งจิบเบียร์เป็นเพื่อนที่ระเบียงหน้าบ้าน ต้านยุงร้ายตัวเป้งด้วยสเปรย์กันยุงตะไคร้หอม

     หลังจากเผชิญงานราษฎ์ งานหลวง งานประจำและจ๊อบฝิ่นเสร็จสิ้น สองสามวันมานี่ เครื่องเริ่มอืดอีกแล้ว ถึงแม้จะมีงานที่เหลือให้ทำอยู่เพียงอย่างเดียวคือแปล Vous revoir ให้เสร็จ เหลือค้างอีกเจ็ดวันทำงานเท่านั้น

     พูดแล้วก็อาย เล่มนี้เหลือเจ็ดวันมาตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว ป่านนี้ก็ยังไม่ขยับไปถึงไหน ทำได้วันละสามสี่หน้า งานน้อยๆ แทนที่จะโล่งๆ เร่งเครื่องฉิวๆ กลับชะลอความเร็วเสียนี่

     หวานใจบอกว่า สงสัยฉันจะเสพติดความเครียด งานไม่เร่ง งานไม่แล่น

     พอเจอสถานการณ์แบบนี้ นิสัยเข้าข้างตัวเองก็กำเริบขึ้น แทนที่จะเอาเวลาไปแปลหนังสือให้ครบโควต้า กลับพยายามตั้งข้อสังเกต ตั้งทฤษฎีแบบเอาสีข้างเข้าถูว่า ฉันอยู่ในช่วงที่สี่ของวัฐจักร (เขียนถูกมั้ยเนี่ย) ของการแปลหนังสือ

     ทฤษฎีของฉันกล่าวว่า ในการแปลหนังสือหนึ่งเล่ม จะแบ่งช่วงเวลาและอารมณ์ของนักแปลออกเป็น 5 ช่วง

     ช่วงที่หนึ่ง - 20% แรกของหนังสือ คนแปลจะกระดี๊กระด๊า แปลลื่นโลด เปลี่ยนเล่มใหม่ ให้ความรู้สึกเหมือนได้แฟนใหม่ สดใสซาบซ่า

     ช่วงที่สอง - 30% ต่อมา คนแปลเริ่มเต็มกลืน เจอข้อบกพร่องของคนเขียน เจอประโยคยืดเยื้อน่าเบื่อ ใช้คำซ้ำๆ ซากๆ ชักเซ็งๆ มันจะปูพื้นไปถึงไหนวะ

     ช่วงที่สาม - 20% ให้หลัง เรื่องราวในหนังสือค่อยๆ ขมวดเร้าใจขึ้น คนแปลเริ่มกลับมาสนุกสนานอีกครั้ง

     ช่วงที่สี่ - 20% หลังจากนั้น คนเขียนเริ่มพยายามตบเรื่องราวเข้ากรอบเพื่อเตรียมจบ คนแปลเรื่มเซ็งอีกรอบ เอ้า แถไปแถไป จะว่าไงก็ว่ามา แกะไปเซ็งๆ ตามแต่ท่าน

     ช่วงที่ห้า - 10% สุดท้าย ใกล้จบแล้ว จะจบง่อย จบเปลี้ย จะจบดีเลิศ ซาบซึ้ง ประทับใจยังไงก็ช่าง แต่งานฉันจะเสร็จแล้ว เอ้า เร่งมือๆ



     แก้ตัวเสร็จแล้ว สบายใจ เปลี่ยนเรื่องดีกว่า

      เมื่อคืนนั่งดู Desperate housewives อีกรอบ เรื่องของเรื่องก็คือ ฉันบอกนักแปลในโครงการ "กำมะหยี่" คนนึงไปว่า อยากได้น้ำเสียงของคนบรรยายแบบในเรื่องนี้ ก่อนจะส่งดีวีดีให้เธอดู ฉันก็ลองเอามาเปิดๆ ดูเสียหน่อย

     การณ์กลับกลายเป็นว่า ไม่หน่อยแฮะ นั่งดูยาวเลย เกือบเจ็ดชั่วโมง จากทุ่มกว่าๆ ถึงตีสาม

     เอ้อ...ก็หย่อนใจดีนะ ไม่ต้องคิดอะไรมาก ติดตามเนื้อเรื่องไปเรื่อยๆ

     ฉันเคยแปลหนังสือเยาวชนอยู่เรื่องนึงให้นานมีเมื่อสองปีก่อน ป่านนี้ยังไม่เห็นออกวางแผง ในเนื้อเรื่องแม่ของตัวละครเอกเป็นนักแปล และพอจบงานแปลแต่ละเล่ม เธอจะนั่งๆ นอนๆ ดูละครน้ำเน่าทั้งวันทั้งคืนเพื่อล้างสมองคลายเครียด ตอนที่แปลก็ไม่ได้คิดอะไร แค่ขำๆ



     แต่เมื่อคืนนี้ลองดูละครติดๆ กัน นานๆ แล้ว ก็ประจักษ์ว่าวิธีล้างสมอง คลายเครียดแบบนี้ได้ผลจริงๆ แฮะ


     ป.ล. รูปประกอบ : ภาพเงาะสีชมพู (เงาะพันธ์เดียวที่ฉันยอมกิน) และลิ้นจี่ที่ซื้อในตลาดนัดหน้าวัดวังหว้า ระหว่างการขับรถระงับจิตใจ หลังจากโดนเจ้าหน้าที่อำเภอปฏิเสธไม่ออกใบโสดให้ เพราะไม่มีบัตรประชาชนตัวจริงไปด้วย



>> ฝากข้อความ เชิญคลิกที่นี่






 

Create Date : 25 พฤษภาคม 2550    
Last Update : 25 พฤษภาคม 2550 21:34:37 น.
Counter : 994 Pageviews.  

- 21 Mai 07

ท่าทางจะอีกนาน .... กว่าจะได้เป็นมาดาม


      โปรด 'ซาบ'...

      ตอนนี้ฉันกับหวานใจเปลี่ยนแผนการ ไม่ (จดทะเบียน) แต่งงานที่ฝรั่งเศสแล้ว หันมาดำเนินการที่เมืองไทยดีกว่า


     เรื่องของเรื่องก็คือ หวานใจเริ่มถอดใจกับระบบการทำงานที่ไม่แน่ไม่นอนของฝรั่งเศสแล้ว เพราะเปลี่ยนเจ้าหน้าที่ดูแลเรื่องแต่งงานทีหนึง มีเอกสารที่ต้องหาเพิ่มเติมไปยื่นเพิ่มอีกใบนึง ไม่มีกฎเกณฑ์แน่นอน ตามแต่ใจท่านๆ แต่ละคนจะปรารถนา

     ขอสาวความเดิมนิดนึง ... ฉันกับหวานใจเตรียมเอกสาร "พื้นฐาน" ทั้งหมดที่รวบรวมจากแห่งต่างๆ จ่ายเงินแปล จ่ายเงินรับรองไว้เรียบร้อยแล้ว พอไปยื่นตอนที่ฉันไปฝรั่งเศสเดือนมีนา ก็มีรายการเพิ่มเติม ต้องไปเจาะเลือดตรวจเทียบข้อมูลทางการแพทย์ นัยว่าเพื่อคู่แต่งงงานจะได้รู้กันแต่เนิ่นๆ ว่า มีเชื้อมีเลือดอะไรที่ไม่สมพงษ์ จะก่อปัญหาในการสืบพันธ์หรือเปล่า

     โอเช ตรวจก็ตรวจ ไปเจาะไปตรวจกันก่อนที่ฉันจะกลับมาเมืองไทย พอกลับเมืองไทยก็ดำเนินการเรื่องเอกสารทีรับรองว่า "เป็นที่ผู้อยู่อาศัย" ของบ้านจากเจ้าบ้าน ต้องแปลหลักฐานบัตรประชาชน สำเนาทะเบียนบ้านของแม่ พร้อมกับเขียนจดหมายรับรอง

      ได้เลย ทำได้ไม่มีปัญหาเรื่องแค่นี้ แต่พอจะจัดการส่งไป หวานใจบอกว่าไปหาเจ้าหน้าที่อีกรอบ เขาบอกให้มีเอกสารอีกฉบับหนึ่งที่ยืนยันว่าฉันอยู่ที่บ้านนี้จริงๆ เป็นจดหมายจากหน่วยงานอะไรสักอย่างที่ส่งถึงฉัน

     เวรกรรม ... ฉันไม่มีกิจธุระต้องจ่ายอะไรในบ้าน ค่าน้ำค่าไฟมาในชื่อแม่ทั้งหมด ... มีแต่ใบเสร็จจากโทรศัพท์มือถือ ใช้ได้หรือเปล่า ...หวานใจช่างระแวงบอกว่า ท่าทางจะไม่น่าเชื่อถือ


      อืมม... ท่าอย่างนั้น สงสัยจะต้องรอจดหมายแนบคืนเช็คจากสรรพากรนะ ...

      เอ้ารอไป กระวนกระวาย ... สองเดือนผ่านไป ได้เอกสารมา พอจะส่งแปล ฉุกนึกขึ้นได้ว่า เอกสารใบรับรองโสดที่มีอยู่ ขอไว้ตั้งแต่เดือนตุลาปีที่แล้ว มันจะหมดอายุใช้ได้อยู่หรือเปล่า

     วันนี้ฉันก็เลยไปอำเภอ เพื่อขอใบรับรองโสดอีกรอบ เจ้าหน้าที่ขอดูบัตรประชาชน ฉันไม่มีให้เขาเพราะทิ้งไว้ที่ฝรั่งเศส เนื่องจากเจ้าหน้าที่ฝรั่งเศสจะต้องขอดูด้วยตอนที่ยื่นเอกสารทั้งหมดอีกครั้ง เจ้าหน้าที่ไทยก็เลยไม่รับทำเรื่องให้ ... (ยกเว้นจะมีเส้นหรือรู้จักใคร)

     กรี๊ดๆๆๆ ... มันอะไรกันนักกันหนา โทรไปโวยวายกับหวานใจ ตอนกลางวันหวานใจกลับบ้านเช็คเอกสาร ตรวจดูกฎระเบียบในแบบฟอร์มขอแต่งงานอีกที ปรากฎว่าเอกสารการแพทย์ที่ตรวจกันต้องทำก่อนวันยื่นไม่เกินสามเดือน ใบเกิดของหวานใจต้องขอคัดลอกจากอำเภอไม่เกินสองเดือน (ที่โน่นเขาคัดลอกใบเกิดเป็นครั้งๆ ไป ไม่ได้เกิดแล้วได้ใบหนึ่งเหมือนเรา)

      เท่าที่กะๆ ดูแล้ว เดือนหน้าหวานใจเดินทางตลอด กว่าจะยื่นได้ก็เข้าเดือนกรกฎา .... เอกสารเกือบทุกสิ้นหมดอายุ ใช้ไม่ได้

      สรุปก็คือ แทบจะต้องทำเอกสารใหม่ทั้งหมด ถ้าคิดจะแต่งงานในเมืองน้ำหอม

      แฮ่ม.... อันนั้นไม่เท่าไหร่ อยากได้เอกสารอะไรขอให้บอกนะเจ้าคะ ทำให้ทำได้ ทำมานักต่อนักแล้ว เต็มใจทำถ้าเรื่องมันจะจบๆ ไป แต่ไอ้ความหวั่นเกรงว่า เดี๋ยวพอไปยื่นทั้งหลายทั้งปวงที่ตั้งใจทำใหม่แล้ว เจ้าหน้าที่จะขอเอกสารเพิ่มให้รอจนเอกสารชุดใหม่หมดอายุอีกหรืออีกหรือเปล่านี่สิ ... ไม่มีใครจะมารับประกันได้ว่าจะไม่เกิดขึ้น


      เราสองคนเลยกลับลำใหม่ ... มาทำเรื่องที่เมืองไทยดีกว่า เพราะถึงแม้จะต้องดำเนินการใหม่แทบทั้งหมดเหมือนกัน แต่เป็นที่แน่ใจได้ว่า ถ้าหาเอกสารตามรายการได้ครบ จะไม่มีเอกสารบ้าบออะไร "งอก" ออกมาให้เสียอารมณ์


     ขอเลือก ช้าแต่ชัวร์ แบบไทยๆ ... ไม่เอา.... ช้าด้วย มั่วๆ ซั่วๆ ด้วยแบบฝรั่งเศสนะคะ adieu!

     จบข่าว ขอบคุณที่ติดตามค่ะ



     บ่นทิ้งท้าย : จริงๆ เล้ย เดี๋ยวพอฉันแต่งงานเสร็จแล้ว จะเขียนหนังสือเรื่อง "กว่าจะเป็นมาดาม" รวบรวมความลำบากสาหัสที่ต้องเผชิญกับความไม่อยู่กับที่กับทางของเทศบาลฝรั่งเศสทั่วประเทศเสียเลยนี่ .....



     ป.ล. รูปประกอบ : ภาพที่ถ่ายจากโรงแรมเมโทรโปลิแตน ภาพสุดท้ายเป็นตุ๊กตาหน้ารถทัวร์



>> ฝากข้อความ เชิญคลิกที่นี่






 

Create Date : 21 พฤษภาคม 2550    
Last Update : 22 พฤษภาคม 2550 0:00:39 น.
Counter : 1001 Pageviews.  

- 19 Mai 07

สามสิบสี่ ยังแจ๋ว


      พักจากงานแปล Vous revoir (เหลือให้ทำอีกสักอาทิตย์นึง น่าจะเสร็จ) มาอัพบล้อก

     เมื่อวันพุธที่ผานมา ฉันเข้ากรุงไปทำธุระ เริ่มจากแวะไปฟรีฟอร์มเพื่อรับบทแปลที่ฝากพิมพ์ (พรินเตอร์ที่บ้านหมึกหมดมาเป็นปีๆ แล้ว) ก่อนจะเอาไปให้เฮียปุ่นพร้อมกับต้นฉบับภาษาฝรั่งเศส เพราะเฮียรับปากจะอ่านตรวจสอบบทแปล Nikopol ให้ ... เฮียมีดีกรีเป็นถึงด็อกเตอร์จากฝรั่งเศส น่าจะช่วยให้ Nikopol ฉบับภาษาไทยมีคุณค่า ไม่น่าสงสัยว่าแปลมั่วหรือเปล่าได้

     กินส้มตำ ลาบหมู แกล้มไวน์กับเฮีย ต่อด้วยบรั่นดีนิดหน่อย แล้วนั่งแท็กซี่ไปนั่งดื่มวิสกี้ต่อกับพี่ยักษ์ที่ร้าน white line เมาจนไม่รู้ว่าพูดพร่ำอะไรไปบ้าง กลับถึงบ้านฟ๊าบยังไง แท็กซี่พากลับทางไหน ไม่รู้ รู้แต่ว่าหิว เลยลงไปซื้อมาม่า ไส้กรอก สาหร่ายที่เซเว่นมาต้มกิน ก่อนเข้านอน

     ตื่นมา ฟ๊าบกับโน้ตไปทำงานกันหมดแล้ว ฉันแวะเข้าไปเซ็นสัญญาร่วมทุนสำหรับหนังสือที่เหลือในโครงการ "กำมะหยี่" นั่งโต๋เต๋ ทำงานแปลสักพัก พอตกเย็น ไปเซ็นทรัล ชิดลม ตามที่นัดกับจอยไว้

      วันนี้จอยกับรัตน์นัดกันไปดูสินค้าที่บูธออริจิน เห็นว่ารัตน์ได้รับเชิญไปดูสินค้า และมีการลดราคาให้เป็นพิเศษอะไรทำนองนั้น ฉันเองไม่ได้ตั้งใจจะไปซื้ออะไรกับเขาหรอก อยากไปเจอเพื่อน เอาเอกสารไปให้จอยแล้วก็กินข้าวเย็นด้วยกันเท่านั้นเอง

     แต่ไปๆ มาๆ ฉันก็ถูกประกบด้วยน้องนักขายของออแกนนิก เริ่มจากการถามว่าสนใจสินค้าอะไรอยู่หรือเปล่า ฉันตอบไปว่าอยากได้โฟมล้างหน้าสักหลอด น้องเขาแนะนำโฟมฟลอดนึง ที่พิเศษคือตอนนี้มีการจัดเซ็ตขายลดราคาพร้อมกับออยล้างเครื่องสำอางและสบู่เหลวอาบน้ำ ลดจากสามพันกว่าเหลือพันสอง

      โอเค ซื้อก็ได้ ออยล้างเครื่องสำอางให้พี่มีนเป็นของขวัญ ส่วนครีมอาบน้ำเก็บไปอาบกันหวานใจ


      ต่อมาน้องก็ชวนตรวจเช็คผิวหน้า ก็ไม่มีอะไรซับซ้อนเป็นการตอบคำถามง่ายๆ ว่าตอนนี้กำลังกังวลใจอะไรเกี่ยวกับผิวพรรณ (มีของกำนัลเป็นผ้าขนหนูเช็ดหน้าหนึ่งผืน)

      หลังจากนั้นน้องเขาจะแนะนำสินค้าที่มีคุณสมบัติในการแก้ไขปัญหาที่กำลังกังวลใจอยู่ ฉันตอบไปว่ามีปัญหาเรื่องรอยดำและสิวเสี้ยน น้องแนะนำครีมกรอผิวหน้า ตอนนี้มีการจัดเซ็ตกับครีมขัดตัวกับครีมรักษาส้นเท้าแตก

      รู้เขาหลอก แต่เต็มใจให้หลอก นานๆ จะได้ซื้อเครื่องประทินผิวเสียที ถือว่าเป็นของขวัญให้ตัวเองเนื่องในวันเกิดละกัน เอ้า ... ซื้อก็ได้ กำลังจะเป็นเจ้าสาว น่าจะขัดตัวเสียหน่อย ครีมส้นเท้าเก็บไปให้แม่ .... อ้อ ซื้อแชมพู-ครีมนวดมินต์ไปสระให้หอมชื่นใจ พร้อมกับครีมหมัก

      การซื้อของลดราคามากเป็นพิเศษ บางเซ็ตลดถึง 57% ถือเป็นโชคชั้นแรก ฝากจอยรูดบัตรเครดิตแล้วฉันจะจ่ายเงินสดกับเพื่อน เพื่อนจะได้คะแนนเพิ่ม นับเป็นโชคชั้นที่สอง

     และโชคชั้นที่สามคือ เซ็นทรัลกำลังจัดโปรโมชั่น ซื้อสินค้าเครื่องสำอางค์ครบเท่านี้ๆ สามารถแลกของขวัญได้ ฉันกับจอยได้เหยือกกรองน้ำคนละใบ ส่วนรัตน์ซื้อมากหน่อย ได้เครื่องล้างจิวเวอรี

     กินอาหารค่ำกับเพื่อนๆ ที่ FoodLoft แล้วรัตน์ขับรถไปส่งที่บ้านฟ๊าบ


     คืนนั้นนั่งคุยกับฟ๊าบเรื่อง Nikopol และเรื่องอื่นๆ กว่าจะเข้านอนตีหนึ่งกว่าๆ ก่อนนอนมีข้อความเข้ามาจาก (ตู๊ด เซ็นเซอร์) ที่จ้างฉันแปลโบรชัวร์ (ตู๊ด เซ็นเซอร์) บอกว่าเพิ่งส่งเอกสารให้แปล ไม่ทราบว่าแปลส่งก่อนสามโมงได้หรือเปล่า ... เฮ่ย... อะไรกันเนี่ย ...

      เช้าวันรุ่งขึ้น เจ็ดโมงเช้า โทรศัพท์ดัง ฟิลูลูโทรมาอวยพรวันเกิด ฉันขัดอกขัดใจ ทำไมถึงเป็นแฟนเก่าที่โทรมาเป็นคนแรก แฟนปัจจุบัน หวานใจฉันทำอะไรอยู่เนี่ย...ฮึ

      ถึงจะแฮงค์หมดแรง ลุกขึ้นมาตอนสิบโมง แต่ฉันก็อดเปิดคอมเช็คเมลที่คนจ้างงานส่งมาไม่ได้ โอ... หน้ากว่าๆ จะทำทันสามโมงมั้ยเนี่ย

     อาบน้ำ แต่งตัว หอบหิ้วข้าวของนั่งแท็กซี่ไปลงที่สมาคมฝรั่งเศส กินกาแฟ เสียบไฟใส่ชมพู่ เริ่มทำงานในห้องสมุด แกะเกลาเสร็จเรียบร้อยตอนบ่ายสอง ส่งเรียบร้อยแล้ว กินข้าวกลางวันกับฟ๊าบ

     สามโมงครึ่ง ขึ้นไปพรีเซนต์โครงการ "กำมะหยี่" กับเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบด้านความร่วมมือทางวัฒนธรรมของสถานทูตฝรั่งเศส

     ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี ไม่มีปัญหา เสร็จธุระแล้วกลับบ้านนอก

      ระหว่างนั่งรถทัวร์ ส่ง sms หาหวานใจ ไม่นานหนักหวานใจโทรมาหา ฉันรายงานผลการปฏิบัติงานเสร็จเรียบร้อย รอให้เขาอวยพรวันเกิด หยั่งเสียงแล้วท่าทางพ่อคุณจะลืมสนิท ฉันตัดสินใจไม่รอไม่เรอมันแล้ว เพราะมีวี่แวว่าจะรอเก้อ ฉันไม่อยากเก็บกดน้อยอกน้อยใจไร้สติ เลยบอกเขาไปว่า วันนี้เป็นวันเกิดฉัน ... หวานใจอึ้งไปหนึ่งวินาทีแล้วขอโทษขอโพยพัลวัน สัญญาว่าจะฉลองวันเกิดตอนที่มาหาฉันเดือนมิถุนา


      สรุปว่าเขาลืมจริงๆ นั่นแหล่ะ แต่ไม่เป็นไรหรอก ฉันเองไม่ได้ผูกใจเจ็บอะไรกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างนี้ เป็นคนไม่ค่อยจำวันเกิดของใครเหมือนกัน (ยกเว้นของแฟนคนปัจจุบัน - ฉันอุตส่าห์ฝ่าความหนาวเย็นออกไปซื้อของขวัญที่ร้าน Virgin ให้เขาตอนที่อยู่ปารีส ) เพราะฉะนั้นจะไปหวังให้คนอื่นมาจำวันเกิดตัวเองก็ไม่ใช่ที่

     กลับกลายเป็นว่าวันเกิดปีนี้ แฟนคนปัจุบันลืม แต่แฟนเก่าสองคนจำได้ เล็กส่ง sms มาอวยพรสั้นๆ ตอนที่ได้รับตกใจนิดหน่อย ไม่นึกเลยว่าจะจำได้

     ใครจำวันเกิดของเราได้ เราก็ควรจะจำวันเกิดของเขาได้เป็นการตอบแทน ใช่ไหม

     ฉันจำวันเกิดฟิลูลูได้ เพราะฟิลูลูย้ำอยู่บ่อยๆ แต่ฉันจำวันเกิดเล็กไม่ได้เนี่ยสิ... จะทำยังไงดี ถ้าโทรไปถามตรงๆ มันจะด่าเอามั้ยเนี่ย ...


     ป.ล. รูปประกอบเป็นของขวัญวันเกิดที่ซื้อให้ตัวเอง



>> ฝากข้อความ เชิญคลิกที่นี่






 

Create Date : 19 พฤษภาคม 2550    
Last Update : 19 พฤษภาคม 2550 20:49:54 น.
Counter : 910 Pageviews.  

- 13 Mai 07

เฮ่อ....ขาดเขา ยังไม่ขาดใจ แต่ขาดกำลังใจ


      กำลังอยู่ระหว่างเขียนคอลัมน์ Oversee แต่เขียนไม่ออก อัพบล้อกดีกว่า เดี๋ยวค่อยกลับไปทำต่อ

     ช่วงนี้ ความรู้สึกของฉันเหมือนกับความรู้สึกของพ่อหนุ่มน้อยผู้บรรยายในนิยายเรื่อง "รักร้าย" ตอนที่ว่า

      "ความหึงหวงของผมตามเธอไปถึงหลุมฝังศพ ผมหวังว่าหลังการตายจะไม่มีอะไรในนั้น เพราะเหตุนี้ เวลาคนที่เรารักไปอยู่กับคนมากมายในงานเลี้ยงที่เราไม่ได้ไป จึงเป็นเรื่องที่สุดจะทนไหว"

     เอาเถอะ... ที่จริงสถานการณ์ก็ไม่ได้เหมือนกันสักเท่าไหร่หรอก หวานใจยังไม่ตายเหมือนมาร์ธในท้องเรื่อง แค่อยู่ห่างออกไปอีกซีกโลกนึงเท่านั้นเอง แต่การที่ไม่ได้อยู่ในที่ที่คนที่เรารักอยู่ เป็นเรื่องสุดจะทนไหวจริงๆ นะ

     สมัยนี้แล้ว ในเมื่อเจอหน้ากันไม่ค่อยได้ ก็ต้องอาศัยการสื่อสารด้วยถ้อยคำผ่าน sms และโทรศัพท์

     พอฉันตื่นนอนปุ๊บ ส่งแรกที่ทำ คือ คว้าโทรศัพท์มาส่งข้อความปั๊บ อีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมา พอหวานใจตื่นปั๊บ ก็คว้าโทรศัพท์มาหาฉันปุ๊บ (เออ... ช่วงนี้ไม่ค่อยได้ chat ผ่านเวบแคมกันเท่าไหร่แฮะ)

      ตอนเย็นๆ ของฉัน คือตอนกลางวันของเขา เสียงโทรศัพท์ดังอีกหนึ่งรอบ พ่อกับแม่จะได้ยินเสียงฉันหัวเราะเอิ๊กอ๊าก ก่อนจะวางสายลงหงอยๆ

     ก่อนนอนของฉัน ตอนเย็นของเขา คุยกันอีกหนึ่งรอบ อวยพรอวยชัยประจำเวลา Bonne soiree สำหรับเขา Bonne nuit สำหรับฉัน

      เป็นดังนี้ทุกวัน....หวานใจกระเป๋าตุง และเป็นลูกน้ำจืด (จะมีใครเก็ตมุขมั้ยเนี่ย) ของฉันปล่อยให้คุยแบบไม่เสียดายค่าโทรศัพท์ ฉันเองมีเรื่องเล่าเยอะแยะเกี่ยวกับงานผู้จัดและอื่นๆ แต่มันไม่พอหรอก ต่อให้โทรมากกครั้งกว่านี้ แต่ละครั้งนานกว่านี้ ก็ไม่พอ.... เข้าใจหรือเปล่า

     จริงอยู่.... ในเมื่อยังไม่มีปัญญาอยู่ด้วยกัน ได้ฟังเสียง ได้ข้อความ มันก็ดีกว่าความเงียบ .... แต่ช่างเหตุผลมันสิ..... ฉันไม่สน ... ฉันอยากไปอยู่กับหวานใจ อยากใช้ชีวิตข้างๆ เขา ตื่นพร้อมกัน กินพร้อมกัน เที่ยวเล่นพร้อมกัน เข้านอนพร้อมกัน (ถึงฉันจะหลับก่อนเขาทุกทีก็เถอะ)


     เมื่อวานหวานใจขับ "ลา ดุชเชส" ไปเที่ยวนอกเมืองกับเดเด้เพื่อนรัก เขาเล่าให้ฟังทางโทรศัพท์ว่าไปเจอร้านกาแฟในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งน่ารักมาก เดี๋ยวพอฉันไปอยู่ฝรั่งเศส เขาจะพาไปนั่งกินเบียร์กัน คืนนั้น เขามีนัดไปฟังเพลงแจ๊ซกับเพื่อนอีกคนกลางกรุงปารีส แจ๊ซแบบมีนักร้อง สนุกสนาน ไม่ใช้แจ๊ซปัญญาชน ฟังแล้วสมองชาจนหงอยหลับไปเหมือนคราวที่แล้วตอนที่ฉันไปกับเขาด้วย

     โอ๊ย....อิจฉาๆๆๆ อิจฉาคนที่อยู่ข้างๆ ตัวหวานใจ ไม่ยอมๆๆๆ ...ฮึ

     กรี๊ดดดดดดดด .... เฮ่อ.... ได้ระบายหนึ่งเฮือก ค่อยโล่งหน่อย

     พอ... เลิกฟูมฟายได้แล้ว เปลี่ยนเรื่องเถอะ

      รายงานสภาพชีวิตทั่วไป : ระยะนี้ฝนตกทุกวัน หาโอกาสซักผ้าไม่ได้เลย ซ้ำร้าย ร่างกายอ่อนแอ เป็นหวัด น้ำมูกไหล ครั้นแนื้อครั้นตัว มึนหัวนิดๆ คุณนายแม่ซื้อยามาให้กินแล้ว หวังว่าตัวยาจะมีฤทธิ์แรงพอจะกำจัดวายร้ายไวรัสในร่างกายฉันได้ โดยที่ฉันไม่ต้องนอนหลับเพื่อเสริมกำลังให้กองทัพแอนตี้บอดีเป็นการเพิ่มเติม

      สองคืนมานี้ ฉันเข้านอนเร็ว ยังไม่ทันเที่ยงคืนก็หลับแล้ว อ่านหนังสือสืบสวนสอบสวนที่สนพ.ฝรั่งเศสแห่งหนึ่งส่งมาให้อ่านจบไปสองเล่ม ยังเหลืออีกสองเล่ม และได้ข่าวว่ามีส่งมาอีกหนึ่งห่อ

      นี่ก็เป็นส่วนบุญส่วนกุศลของการทำงานผู้จัด เวลาติดต่อเรื่องลิขสิทธิ์ เราได้อ่านหนังสือฟรี เพราะสนพ. เขาก็ต้องการจะขายลิขสิทธิ์หนังสือเล่มอื่นๆ ของเขาให้เรา แต่งานนี้ต้องแลกกับอาการเกร็ง เครียด และอารมณ์ความรู้สึกที่ท่วมท้นทำนบตลอดเวลาในการติดต่องาน ....

      ติอต่อไปครั้งแรกเพื่อสอบถามว่าลิขสิทธิ์ว่างหรือเปล่า - ระริกระรี้ >> ได้รับคำตอบมา (ส่วนใหญ่จะว่าง) - ดีใจ >> สอบถามราคาไป - ตุ้มๆ ต่อมๆ >> ได้ราคามา - ตกใจ >> ต่อรองกลับไป - ตื่นเต้น >> คำตอบกลับมา - ใจฟูหรือไม่ก็ใจแฟ่บ แล้วแต่กรณี

      แล้วลองคิดดู ฉันติดต่ออยู่ประมาณ 4-5 เล่ม ความรู้สึกหวือหวา เดี๋ยวขึ้น เดี๋ยวลง สลับกันไปเช่นี้ตลอดเวลา ทั้งวัน


      ... ทำเอาเหนื่อยหัวใจ และลามปามไปถึงกับนอนไม่หลับในบางคืน คอยแต่จะคิดว่าจะเล่มนี้จะเจรจายังไง เล่มนั้นจะต่อรองแค่ไหน เล่มโน้นทำไมไม่มีข่าวส่งมา นี่ฉันต่อรองมากไปหรือน้อยไป ฯลฯ...

      เล่าให้คุณนพดลฟังทางอีเมล คุณนพดลบอกว่า เดี๋ยวจะได้ตื่นเต้นจนถึงตกใจอีกทีตอนอ่านรายงานยอดขาย ...

     ตอนแรกๆ ฉันอึดอัด ฉันไม่ชอบอาการหัวใจติดสปริงขึ้นๆ ลงๆ แบบนี้ พอใจมันสั่นไหวจากกงานผู้จัด ฉันไม่มีสมาธิในการแสดง..เอ้ย...งานแปล แต่ช่วงหลัง ฉันปรับตารางทำงานใหม่ ตื่นมา ช่วงแรกๆ ไม่แตะ ไม่สน ไม่เหลือบดูงานผู้จัดเลย เปิดหนังสือแปลให้เต็มที่ สมองว่างๆ แล้วพอแปลหนังสือครบโควต้าประจำวัน ฉันค่อยเปิดอีเมลออกเขียนส่ง-รับ ดำเนินการเจรจา จำแลงตนเป็นนักต่อรอง

      เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว การเจรจาเกือบทุกเล่มเริ่มทยอยมีข้อตกลงในทางบวก ใกล้จะได้เซ็นครบทุกเล่มแล้ว หลังจากนี้ ฉันก็คงจะได้พักใจสงบ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของบรรดาท่านนักแปลทั้งหลายทำงานกัน แล้วค่อยมาเร้าใจกันอีกทีกับการเป็นบรรณาธิการต้นฉบับ ...

      ระหว่างนี้ ฉันก็ทำงานแปลของตัวเองไปเรื่อยๆ ตอนนี้กำลังแกะ Vous revoir หรือ ปฏิหาริย์รักต่างภพ ภาค ๒ อยู่ คิดว่าสิ้นเดือนนี้น่าจะเรียบร้อย เดือนมิถุนาจะได้เริ่มแปลหนังสืออีกเล่มนึงของ Martin Page ที่รับปากเจ๊นวล ณ วงกลม ไว้ว่าจะส่งเดือนสิงหา



      (สำหรับฉัน สิงหา หมายถึง ปลายสิงหา แต่สำหรับเจ๊นวล ไม่รู้ว่าเจ๊นึกถึงช่วงไหน ...แฮ่ๆๆๆ )


     ป.ล. รูปประกอบเป็นภาพที่เดเด้ (Dédé) ซึ่งเพิ่งเปลี่ยนมอเตอร์ไซค์จากฮอนด้าเป็นบีเอ็ม ใช้มือถือถ่ายรูประหว่างที่เขาสองคนขับรถเล่นกัน แล้วส่งมาให้ฉันทางอีเมล โดยตั้งชื่อว่า The red rocket man ตอนที่เปิดอีเมลที่บ้าน หวานใจอยู่ด้วยพอดี พอเห็นรูปและเห็นชื่อที่เพื่อนตั้ง หวานใจหัวเราะก๊ากชอบอกชอบใจ



>> ฝากข้อความ เชิญคลิกที่นี่






 

Create Date : 13 พฤษภาคม 2550    
Last Update : 13 พฤษภาคม 2550 21:26:13 น.
Counter : 881 Pageviews.  

- 10 Mai 07

ชีวิตบนชานชลา


      หวานใจมาอยู่ด้วยสี่ห้าวันแล้วบินกลับไปฝรั่งเศสเมื่อวันอังคาร ส่วนฉันกลับมาที่บ้าน เพื่อจัดการเรื่องราวทั้งหลายให้เสร็จสิ้น ระหว่างรอขึ้นรถไฟที่จะเข้ามารับไปสู่ชีวิตใหม่ บนชานชลาแห่งหนึ่ง.... เหมือนเดิม

      ฉันรู้สึกเสมอว่าชีวิตของฉัน เหมือนใช้เวลาอยู่บนชานชลาสถานีรถไฟ เป็นรถไฟที่หากไม่ได้นำไปสู่สถานที่ใหม่ๆ ก็นำสถานการณ์หรือบทบาทใหม่มาสู่ชีวิตแต่ละช่วง ไม่เคยเลยที่ฉันจะได้หยุดนิ่งลงหลักปักฐานกับสิ่งใดสิ่งหนึ้งนานๆ มันจะต้องมีการก้าวขึ้น เสียหลักลื่นไถลลง หรือเปลี่ยนทิศไปทางโน้นทางนี้ตลอดเวลา

     ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความซุกซนอยู่ไม่สุขของฉันเอง จะให้ทำยังไงได้

     แต่ตอนนี้ฉันเหนื่อยแล้ว พอแล้ว อยากจะหยุดแล้ว อยากขึ้นรถไฟเที่ยวสุดท้ายไปสร้างมหาอาณาจักรของตัวเองกับคนที่ฉันรัก

      แต่พอฉันตัดสินใจได้ ปัจจัยภายนอกและกฎเกณฑ์ก็รีบเข้ามาบีบบังคับทันทีให้ต้องรอต่อไป

     ฉันกำลังรอการจดทะเบียนแต่งงาน เฮ่อ... กว่าจะเป็นมาดามได้เนี่ยมันช่างยุ่งยากเสียจริง แม้แต่การจดทะเบียนที่เมืองไทยที่เคยคิดว่าน่าจะเร็วกว่า เอาเข้าจริงๆ เมื่อเช็คขั้นตอนแล้ว ความวุ่นวายไม่ได้ลดปริมาณมากไปกว่าจดที่ฝรั่งเศสเลย ฉันเลยถอดใจ หันมาใช้เส้นทางเดิม รอเอกสารที่ติดอยู่เพียงใบเดียวมาแปลส่งไปยื่นที่ฝรั่งเศสทีเดียวเลยดีกว่า

     เอกสารจะมาถึงภายในสองอาทิตย์ แปล + รับรอง-หนึ่งอาทิตย์ ส่งไปให้หวานใจยื่นที่อำเภอที่โน่น-หนึ่งอาทิตย์ อำเภอติดประกาศเผื่อใครจะมาคัดค้าน - สิบวัน ส่งใบรับรองว่าแต่งงานได้ - หนึ่งอาทิตย์ ขอวีซ่าไปแต่งงาน - สองอาทิตย์ --- สรุปว่าประมาณ 10 อาทิตย์ โน่นแหล่ะปลายเดือนกรกฏากว่าจะได้บินไปมีชีวิตคู่ที่ฝรั่งเศส


     เอาเป็นว่า ตอนนี้เรื่องสำคัญหลักๆ ในชีวิตของฉันคือเรื่องนี้แหละ ในระหว่างที่รอเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ฉันทำงานแปล เขียนคอลัมน์และงานผู้จัดไปเรื่อยๆ ฆ่าเวลาให้ผ่านไปวันๆ พอไปอยู่ที่โน่นจะได้ตัวเบาๆ สบายๆ ไม่มีอะไรพอกหางคั่งค้าง

      อนาคตไม่แน่ไม่นอน หันกลับมาเจาะความเคลื่อนไหวที่ผ่านไปบนชานชลาดีกว่า

     เมื่อวันพฤหัสที่แล้ว ปลดงานแปลไปได้อีกหนึ่งเปลาะคือ Trilogie Nikopol ตื่นแต่เช้านั่งรถไปรับหวานใจที่สนามบินดอนเมือง แล้วไปนอนบ้านพี่มีนที่ศรีราชาสองคืน ให้พี่มีนกับหวานใจได้ความรู้จักกันไว้ พี่มีนบอกว่าหวานใจน่ารักดี ดูอารมณ์ดี เป็นผู้ใหญ่ วันอาทิตย์ พี่เขยขับรถไปส่งที่โรงแรมเมโทรโปลิแตน โรงแรมสุด HIP หวานใจจองไว้ทางอินเตอร์เน็ต เพื่อเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศจากเอ็มโพเรียลสูทและโอเรียลเต็ล

     โรงแรมสวยน่ารัก จัดได้ลงตัวดีมากๆ ไม่โมเดิร์นเย็นชามากไป ไม่จงใจไทยจ๋าจนน่าเบื่อ

     คืนวันอาทิตย์ นัดกับฟ๊าบไว้ว่าจะกินอาหารค่ำด้วยกัน แต่พอใกล้เวลานัด ฟ๊าบกระมิดกระเมี้ยนโทรมาบอกว่าเพิ่งกินอาหารอินเดียเมื่อตอนบ่ายๆ ยังอิ่มไม่หายเลย อึกอักเหมือนจะอยากเลื่อนนัด ฉันรีบชิงตัดบทไปว่า ไม่เป็นไรหรอกเพื่อน เดี๋ยวฉันกับหวานใจเข้าไปหา แล้วสั่งพิซซ่ามากิน นั่งดื่ม คุยเล่นกันที่บ้านเธอก็ได้ ไม่ต้องกังวล ถ้าอิ่มก็ไม่ต้องกิน ไม่ว่ากัน

     ก่อนไปบ้านฟ๊าบ ฉันกับหวานใจไปเซ็นทรัลที่สีลมคอมเพล็กซ์ ซื้อไวน์สองขวด แวะสั่งพิซซาที่ร้านในซอยศาลาแดง จ่ายเงินแล้วให้เขาตามไปส่งที่สาทรซอย ๑ ก่อนจะจับตุ๊กตุ๊กทะลุซอยวิ่งบนถนนสาทรโล่งๆ เพราะเป็นช่วงหยุดยาวสามวัน


     คืนนั้น เราสี่คน ฉัน- หวานใจ ฟ๊าบ- น้องโน้ต นั่งคุยกันไป กินไป ดิ่มไวน์ไปสามขวด (ฟ๊าบเปิดเพิ่มไวน์ที่เก็บติดบ้านให้อีกหนึ่งขวด) ก่อนกินไวน์เรียกน้ำย่อยด้วยรัม พอไวน์หมดตบตูดด้วยรัม ผลก็คือ ฉันเมาอ้วกแตกอ้วกแตน พอชักไม่ไหว ชวนหวานใจกลับห้องพักไปดูการถ่ายทอดสดผลการเลือกตั้งประธานาธิบดี

     ถึงห้องพัก หัวถึงหมอน ฉับหลับสลบ หวานใจปลุกขึ้นมาดูทีวีด้วยกันถึงสามรอบสามคราก็ไม่เป็นผล .... เฮ่อ... เสียดาย


      วันรุ่งขึ้นไปเซ็นสัญญาร่วมทุนโครงการ "กำมะหยี่" ตอนบ่ายๆ ตั้งใจไปดูหนังสือกันที่คิโนฯ พารากอน กว่าจะถึงร้านหนังสือ แวะเข้าซื้อ Fly Now ลดราคากันก่อน ได้เสื้อคลุมหนังสำหรับเกาะท้ายมอเตอร์ไซค์ "ลา ดุชเชส" มาหนึ่งตัว กับกางเกงสแล็คลายสก๊อตหนึ่งตัว

     หนังสือที่ฉันกับหวานใจตั้งใจไปซื้อกันคือหนังสือเกี่ยวกับการตัดเย็บเส้อผ้า เพราะตอนนี้หวานใจกับฉันมีโครงการใหม่ที่จะทำร่วมกันในชีวิตคือ การเปิดห้องเสื้อ

     ดังนั้นต้องเริ่มศึกษากันตั้งแต่วิธีการตัดเสื้อผ้าพื้นฐาน การสร้างแพทเทิร์น การเย็บผ้า เนื้อผ้า การออกแบบ เรียกว่านับหนึ่งกันเลย


     ความคิดนี้มาจากหวานใจล้วนๆ ฉันคิดว่าเขาเริ่มเบื่อและเอียนการทำงานด้านไอทีในธนาคารเพื่อการลงทุนแล้ว เขาอยากจะสร้างสรรค์ผลงานที่เป็นชิ้นเป็นอันและมีประโยชน์ในชีวิตประจำวัน

     จากแรกเริ่มเดิมที่ที่จะออกมาทำงานถ่ายภาพ เมื่อเก็บเงินได้จำนวนหนึ่ง แต่ไปๆ มาๆ หวานใจคงเห็นว่างานถ่ายภาพของเขาเป็นงานกึ่งๆ ศิลปะที่ถึงแม้จะมีภาพออกมาให้เห็น แต่ก็เป็นเพียงสิ่งทีเอาไว้ชื่นชมได้เพียงสายตาตามความรู้สึกของแต่ละคน ยังคงเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้แบบเต็มไม้เต็มมือเต็มประโยชน์ในชีวิตจริงนัก ขณะที่เสื้อผ้าเป็นสิ่งที่ต้องใช้สอย

      ส่วนฉัน ฉันชอบการตัดเย็บเสื้อผ้าอยู่แล้ว เคยเรียนแบบพื้นฐานตอนม.สาม ฉันพอมีฝีมือทำได้ดีพอสมควร ถึงขนาดได้รับเลือกเป็นตัวแทนโรงเรียนไปประกวดระดับภาคเชียวนะ (ถึงจะตกรอบกลับมาก็เถอะ) ตอนที่เรียนมหาลัย พอปิดเทอม แม่จะเตรียมผ้าเอาไว้ให้ฉันตัดทำกระเป๋า ทำเป้สำหรับถือไปคณะ ... ดังนั้น ฉันจึงไม่กังวลที่จะต้องกลับมาศึกษางานนี้อย่างจริงจัง ... หวานใจบอกว่า ถ้าอยากเข้าเรียนโรงเรียนสอนแฟชั่นที่ปารีส เขาจะส่งเรียนเอง...

      ฉันเบ่งรับแบ่งสู้เอาไว้ก่อน .... ถึงจะแต่งงานไปอยู่ปารีส งานแปล งานเขียน ฉันยังต้องทำอยู่ ไหนจะงานผู้จัด และงานบ.ก. ที่จะเข้ามาอีกล่ะ .... นี่ยังไม่ได้พูดถึงงานแม่บ้านเม่เรือนที่ฉันตั้งใจนักหนาตามประสาคนไม่เคยมีบ้านเป็นของตัวเอง แม้ว่าหวานใจจะบอกว่า ไม่ต้องเครียดเรื่องงานบ้าน เขาไม่ได้อยากได้แม่ศรีเรือนหรอกนะ เรื่องทำความสะอาดหรือทำอาหารเป็นแค่ออปชั่นเสริม ทำเวลามีอารมณ์อยากทำ เขาอยากได้ฉันเคียงข้าง เป็นเพื่อนคู่คิด มิตรคู่มือสำหรับลงมือทำอะไรๆ ร่วมกันในชีวิตมากกว่า

     ตอนนี้เราสองคนก็เลยเปิดดู fashion TV กันเป็นการใหญ่ เพื่อศึกษาความเป็นไปของแวดวง (และวิธีออกมาโค้งทักทายบนแคทวอร์กของบรรดาดีไซเนอร์)




      วันอังคารไปส่งหวานใจขึ้นเครื่องที่สนามบินสุวรรณภูมิ ขากลับนั่งรถชัทเทิลบัสมาที่สถานขนส่งภายในสนามบิน เพื่อมาดูว่ามีรถทัวร์ผ่านไปจันทบุรีหรือเปล่า จะได้ขึ้นรถจากที่นั่นไปลงที่แกลงเลย ไม่ต้องย้อนกลับเข้าไปขึ้นรถที่เอกมัยให้เสียเงินเสียเวลา เสียอารมณ์ในรถติดๆ

      ปรากฎว่ารถมี แต่ต้องนั่งรออยู่นานมากกว่ารถจะมา และรถที่มาคาดว่าเป็นรถมาจากหมอชิต มีผู้โดยสารจากต้นทางนั่งอยู่แล้วเต็มหมดทั้งคันรถ ฉันต้องนั่งเบาะหน้าข้างๆ ประตู ซึ่งเป็นที่นั่งประจำตำแหน่งของพนักงานบริการในรถ เป็นเบาะพับเดี่ยวๆ ไม่มีที่เท้าแขน จะหลับก็ไม่ได้ เดี๋ยวจะตกเก้าอี้ ต้องนั่งตัวเกร็งเวลารถเลี้ยวอีกต่างหาก



      โชคดีที่ถนนเส้นนี้วิวสวย เลยนั่งดูได้เรื่อยๆ ไม่เหลือทนมากนัก



     ป.ล. รูปประกอบเป็นภาพที่หวานใจถ่ายอองตวน ณ ขอนแก่น มาฝาก เด็กน้อยของฉันเพิ่งได้ลูกหมาเป็นของตัวเองหนึ่งตัว ท่าทางแกจะตื่นเต้นดีใจมาก... หวานใจบอกว่า แกยังคงมีสายตา "หม่นเศร้า" ไม่หาย ถึงแม้ว่าจะได้อยู่กับคุณแม่และพี่สาวแล้ว ฉันคิดว่าเป็นเพราะแกเจอการเปลี่ยนแปลงปุบปับ และไม่มีคนดูแลใส่ใจแบบถาวรให้อุ่นใจมาก่อน หวังแต่ว่า อีกไม่นาน แกจะค่อยๆ ปรับตัว ลืมความหวั่นไหวหวาดกลัวในชีวิตช่วงสั้นๆ ช่วงนั้น และใช้ชีวิตวัยเด็กอย่างไม่มีความกังวลใจใดๆ มาแผ้วพานได้



>> ฝากข้อความ เชิญคลิกที่นี่






 

Create Date : 10 พฤษภาคม 2550    
Last Update : 10 พฤษภาคม 2550 22:29:54 น.
Counter : 1160 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  94  95  96  97  98  99  100  101  102  103  104  105  106  107  108  109  110  111  112  113  114  115  116  117  118  119  120  121  122  123  124  125  126  127  128  129  130  131  132  133  134  135  136  137  138  139  140  141  142  143  144  145  146  147  148  149  150  151  

Mutation
Location :
somewhere in Hong Kong SAR

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




ฉั น คื อ ใ ค ร

     สาวพฤษภชาวแกลงแห่งเมืองระยอง ลอยละล่องเรื่อยไปจนปาเข้าสามสิบ กว่าจะได้พบอาชีพที่ต้องจริตจนคิดตั้งตัวเป็นนักแปลรับจ้างเร่ร่อนไร้สังกัด ปัจจุบันเปิดสำนักพิมพ์เล็กๆ ชื่อ "กำมะหยี่"

     จุดหมายในชีวิต หลังจากผันผ่านคืนวันมาหลายปีดีดัก ขอพักไม่หวังทำอะไรใหญ่โต ขอเพียงมีชีวิตสุขสงบ ได้ทำสิ่งที่ดีๆ ทำตามหน้าที่ของตนในทุกด้านอย่างดีที่สุด แค่นั้นพอ

      ฉันมีหวานใจ- สามี - สุดที่รักแสนดีชาวฝรั่งเศส แถมเรือพ่วงสองลำเล็กๆ ตอนนี้มาใช้ชีวิตกันอยู่ที่ฮ่องกง



Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add Mutation's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.