- 03 AVRIL 08

เหตุผลของหัวใจ

Le coeur a ses raisons que la raison ne connaît point.


     เพิ่งส่งข่าวเสร็จ วันนี้เริ่มงานเร็ว ตอนโทรไปแจ้งหัวข้อข่าวคุณแจงแห่งช่องเก้ายังทัก อ้าว...วันนี้โทรมาเร็ว

     โทรมาเร็วฮ่ะ.. แต่ใช่ว่าจะส่งงานเร็วตามไปด้วยนะ ยังรักษาระดับส่งก่อนเส้นตายไม่กี่นาทีเหมือนเดิม


     เมื่อวาน คุณครูแอนเปิดสอนวิชาการบัญชีเบื้องต้นสำหรับสำนักพิมพ์กำมะหยี่ ฉันเลยได้รู้ว่ามีรายจ่ายที่เป็นต้นทุนที่ต้องนำมาคิดบัญชีซ่อนอยู่มากมาย และที่สำคัญ หนี้คือต้นทุนชนิดหนึ่ง ...อ้อ ถึงว่า

     เข้าคอร์สแรกแล้ว เด็กหญิงมิวนึกพึมพำในใจดังๆ เอิ๊ก...โลกนี้ดูได้หลายมุมดีจัง มุมบัญชีนี่น่าสนใจนะ ทุกอย่างชัดเจนตัดเป็นตัวเลขได้หมดเลย มีเหตุมีผล ชอบตรงที่บรรทัดสุดท้ายต้องเท่ากันนี่แหล่ะ ดูสุจริตสอบทวน หาจุดรั่วได้ชัดเจน ... สมองน้อยๆ รับได้กว้างๆแค่นี้ขั้นแรก รายละเอียดหลังจากนี้ไปคุณครูแอนคงจะต้องจ้ำจี้จ้ำไชอีกหลายรอบนะคะ อย่าเพิ่งถอดใจไปก่อนล่ะ

     วันก่อนคุยกับหวานใจเรื่องการบริหารเงินในองค์กร หวานใจบอกเรื่องนี้เหมือนกัน ฉันคงต้องหัดติดตามอัตราดอกเบี้ยธนาคารบ้างแล้ว จะได้รู้ว่าจ่ายก่อนจ่ายหลังมีผลต่างกันยังไง ทำไมคนเขาถึงไม่ค่อยจะยอมปล่อยเงินออกจากกระเป๋ากันง่ายๆ

     แต่ก็นะ ถึงจะรู้อย่างนั้น ฉันยังยืนยันในมุมมองของฉันเหมือนเดิมว่าสิ่งสำคัญที่สุดในโลกนี้ คือ คนเราต้องรู้จักเห็นใจ ถนอมความรู้สึกของกันและกัน เรื่องเงินเรื่องตัวเลขเวลาเกิดปัญหา ชดใช้คิดดอกเบี้ยความเสียหายกันไป เหมือนจะจบในมุมทางบัญชี แต่รอยร้าวในหัวใจจะต้องใช้เงินมากองเท่าไหร่มาสมานให้เหมือนเดิม ฉันจึงยอมจะเสียเงินดอกเบี้ยที่น่าจะได้ถ้าถ่วงเวลาจ่ายเงิน มากกว่าจะเสียความรู้สึกของคนที่ร่วมงานด้วย

     เมื่อเปรียบเทียบกับหลักการทางบัญชีที่ชัดแจ้ง หลักการทางการเงินของฉันที่ฉันยึดเหนี่ยวช่างดูหลุดโลกล่องลอยจับต้องไม่ได้ รังแต่จะเสียผลประโยชน์ แต่คุณคะ ความรู้สึกดีๆ มีราคาเท่าไหร่ ใครช่วยบอกที ความรู้สึกแย่ๆ ที่เสียไป สามารถกอบกู้มาได้หมดจดด้วยเงินสักกี่แสนกี่ล้าน

     หลักที่ฉันยึดและโลกที่ฉันอยู่ดูไม่ค่อยสอดคล้องกับโลกในความเป็นจริง ไม่ถูกต้องตามหลักการและเหตุผลทางการค้าเอาเสียเลย ความจริงฉันไม่ควรจะลุกมาหยิบจับทำธุรกิจอะไรกับใคร น่าจะนั่งเก็บตัวเป็นนักแปลเฉยๆ ใช้ชีวิตเรียบง่ายไปเรื่อยๆ แต่บางทีฉันก็แอบแปลกใจว่า ทำไมหวานใจซึ่งรู้จักหลักการเหตุผลทางบัญชีและการเงินเป็นอย่างดี ยังคงสนับสนุนช่วยเหลือฉันต่อไป เขาเห็นอะไรในตรรกะบิดๆเบี้ยวๆของฉันหรือ

     หรือ ความรักทำให้คนตาบอด

     หรือ ความรักทำให้คนเห็นในสิ่งที่ตาเปล่ามองไม่เห็น




     หรือ หัวใจมีเหตุผลที่เหตุผลไม่รู้จักเลยแม้แต่น้อย อย่างที่คำคมบอกไว้จริงๆ




>> ฝากข้อความ เชิญคลิกที่นี่






 

Create Date : 03 เมษายน 2551    
Last Update : 3 เมษายน 2551 16:19:48 น.
Counter : 864 Pageviews.  

- 02 AVRIL 08

บุรุษไปรษณีย์

Hello Mister Postman..


     ตื่นมาหกโมงครึ่ง เตรียมตัวทำงานแปลข่าว เหลือบมองนาฬิกาเวลาไทยที่ตั้งบนโต๊ะ อ้าวทางโน้นยังไม่เที่ยงเลย

     ที่ฝรั่งเศสเพิ่งเปลี่ยนเวลาเป็นเวลาหน้าร้อน ขยับไปข้างหน้าหนึ่งชั่วโมงตั้งแต่สองวันก่อน ฉันตรวจเช็คโปรแกรมของ TV5 แล้ว ข่าวที่ต้องทำยังเป็น 6 โมงเวลาฝรั่งเศส กับเที่ยงวันเวลาไทยให้ทางช่อง 9 อัดเหมือนเดิม ทำให้ฉันมีเวลาทำงานเพิ่มหนึ่งชั่วโมง สำหรับให้นอนอืดฉืดตื่นสายขึ้น หรือส่งงานให้เสร็จเร็วขึ้น ...

     ทายสิว่าฉันจะเลือกใช้เวลาที่งอกขึ้นมาแบบไหน


      เมื่อเช้า เสียงอินเตอร์โฟนดังลั่น เรียกให้กดปุ่มเปิดประตูข้างล่างสองรอบ ฉันกดลงไปแล้วรอคนขนของมาส่ง นึกว่าจะเป็นมิสเตอร์โพสแมนหนุ่มอาหรับหน้ามนหุ่นนักกีฬาที่มาส่งเป็นประจำ ที่ไหนได้เป็นชายผิวขาววัยกลางคนตัวอ้วนฉุ หอบกล่องที่คาดว่าเป็นที่ล้างไวนิลที่หวานใจสั่งมาจากอังกฤษ

     พ่ออ้วนเหนื่อยอ่อน หายใจหอบฮัก บ่นเสียงดังมาแต่ไกลว่า "นี่เป็นครั้งแรกที่ครั้งสุดท้ายที่จะขนกล่องมาส่งแบบนี้ คราวหน้าให้ไปรับที่ไปรษณีย์เอาเอง" ถึงในใจฉันก็อยากจะตอบไปว่า "อ้าว ตกลงจะทำแต่งานเบาๆ ใช่มั้ย ชีวิตนี้ เงินเดือนน่ะ รับเบาๆ เอามั้ยล่ะ" แต่ก็ยั้งปากไว้ ช่างมันเหอะ ขี้เกียจพูดกับคนที่เอาแต่ได้ นิสัยแบบนี้ท่าทางจะไม่ค่อยมีความสุขในชีวิตสักเท่าไหร่

     ฉันฉีกยิ้มสยาม บอกว่า "ได้ค่ะ"

     ได้ยินคำตอบ พ่ออ้วนตกใจ สงสัยไม่เคยเจอคนพูดจารู้เรื่องไม่ต่อปากต่อคำมาก่อนในชีวิตนี้ หรือไม่ก็คิดว่าฉันหน้าโง่ เริ่มพ่นต่อว่า "เมื่อกี้กดอินเตอร์โฟน ไม่เห็นพูดอะไร ได้แต่ปลดล็อคประตู ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอยู่ชั้นสี่"

     ยิ้มสยามยังไม่จางจากใบหน้า ฉันถามไปเรียบๆ "อ้าว แล้วมันไม่ได้มีเขียนไว้บนกล่องเหรอคะ"

     พ่ออ้วนชะงักแล้วทำท่าหงุดหงิดเหมือนอยากตัดบท บอกให้ฉันเซ็นชื่อรับพัสดุ ปากยังพร่ำอยู่นั่นแหล่ะว่าครั้งแรกและครั้งสุดท้าย บ่นว่ากล่องหนัก บลาๆๆๆๆ

     ส่วนฉันมันพูดอะไรมาก็ใช้คาถาเดิม ยิ้มเข้าไว้ ได้ค่ะๆๆๆๆ


     ปิดประตูบ้าน หุบยิ้ม เปิดหาเวบไซต์ของไปรษณีย์ ตั้งใจจะเขียนไปถามว่า การละเลยไม่ยอมมาส่งของที่บ้านลูกค้า ทั้งๆที่คิดราคาค่าส่งตามน้ำหนักเนี่ย มันถูกต้องหรือเปล่า แต่ก็หาหน้าเวบที่ให้ส่งความคิดเห็นไม่เจอ

     คลิกอยู่สองสามทีก็ตัดใจไม่คิดแค้น คิดเสียว่าช่างหัวมันเถอะ ปล่อยมันไป




     คนฝรั่งเศสน่ะ จะไปเอาอะไรมากมาย




>> ฝากข้อความ เชิญคลิกที่นี่






 

Create Date : 02 เมษายน 2551    
Last Update : 2 เมษายน 2551 16:16:23 น.
Counter : 868 Pageviews.  

- 31 MARS 08

อีกมุมหนึ่งของปารีส - ก่อนการรุกรานของพวกโบโบ

Un autre coin de Paris - Avant l'invasion des BOBOs



     รู้สึกตัวตื่นมาตอนสิบโมง สามียังอยากนอนต่อ แต่ฉันนอนเต็มที่แล้ว เลยลุกขึ้นมาเตรียมอาหารมื้อสาย ที่ใครๆเขาเรียกกันแบบเก๋ๆว่าบรั๊น (Brunch)

     เมนูไม่มีอะไรมาก กาแฟ น้ำส้มคั้น โยเกิร์ตไข่เจียว ต้มจืดฟักแม้วใส่ไก่ กับมะม่วงน้ำดอกไม้

     ไก่ที่ใส่ในต้มจืดเป็นสะโพกไก่ที่ใส่ห่อกลับบ้านมาจากร้านอาหารคาเมรูนในเขต 17 ที่เราไปกินมาเมื่อคืน ชื่อ Le Village des Doyens


----

     ข้างบนนั้นเขียนไว้เมื่อวานตอนเช้า เขียนได้แค่นั้นแหละ สามีลุกจากเตียงออกมาจากห้อง จึงต้องปิดคอม หยุดแค่นี้ ที่จริงเสาร์-อาทิตย์ ฉันตั้งใจจะไม่เปิดคอมเลยนะ เพราะอยากใช้เวลาเต็มที่กับหวานใจมากกว่า อยากหยุดพักธุระการติดต่อสื่อสารเรื่องงานการไว้ก่อนด้วย ให้สมกับเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์จริงๆ ใช้เวลานอกงาน อ่านหนังสือ เที่ยวเล่น กิน แล้วก็ แฮ่ม จุ๊กจิ๊กกรุ๊กกรู๊กับหวานใจให้เต็มที่

     ทำได้บ้างไม่ได้บ้างตามประสา

     กลับมาเล่าเรื่องร้านอาหารแอฟริกาคาเมรูนต่อดีกว่า วันเสาร์ อากาศสดใส ฉันกับหวานใจเลยขี่ลาดุชเชสเข้าไปเที่ยวปารีส ตอนบ่ายๆ เดินเล่นแถงย่านแซงต์แยร์แม็ง แวะดูหนังที่อยากดูมากเรื่องนึง ออกจากโรงหนังตอนฟ้ามืด วนรถอยูหลายรอบ ตัดสินใจกันไม่ได้เสียทีว่าจะกินอาหารอะไรกันดี

     สุดท้ายขับตัดขึ้นเหนือนิดหน่อย แวะไปแถวๆ รอยต่อระหว่างเขต 17-18 ซึ่งเป็นบริเวณที่เขาเรียกว่าย่าน "populaire" แปลสวยๆ ได้ว่าย่านที่มีผู้คนอยู่เยอะ แปลเจาะความหมายแบบจริงๆได้ว่าย่านคนจน

     ปารีสกำลังประสบปัญหาย่านคนจนถูกรุกรานด้วยกลุ่มคนที่เรียกกันว่าพวกโบโบ BoBo ย่อมาจาก BOurgeois BOhemian - บูร์ชัวร์ คำแรก แปลเลาๆได้ว่าพวกคนชั้นกลาง แต่สามารถกินความหมายได้ถึงพวกคนมีเงิน มีความคิดค่อนข้างแคบตามขนบ รักสะดวกสบาย

     โบฮีเมียน คำหลัง แรกเริ่มเดิมทีใช้เรียกพวกศิลปินเร่ร่อนแบบพวกยิปซี แต่ต่อมากลายเป็นคำที่หมายถึงมีความคิดอิสระ รักการสร้างสรรค์ความสวยงามที่แปลกตา

     สองคำนี้มารวมกันเข้า ก็เป็นคนมีเงินที่ชอบความเก๋แบบแปลกตาใหม่ๆ ไม่อยู่ในกรอบเดิมตามขนบประเพณี ...

     พวกโบโบไม่ชอบที่อยู่อาศัยแบบคลาสสิคแบบพ่อแม่ของตัวเอง เริ่มเสาะแสวงหา กวาดตาและกวาดซื้ออาคารที่อยู่อาศัยในย่านคนจนที่มีสีสันหลากหลายมากกว่า พวกเขาจะซื้ออาคารเก่าโทรมมาดัดแปลงเป็นอพาร์ทเมนต์มีสไตล์เก๋ๆ เช่น ดัดแปลงโรงงานเก่าเป็นลอฟฟ์เพดานสูงไฮโซ เป็นต้น ถ้านึกไม่ออกลองนึกถึงอาคารห้องแถวบ้านเราที่มีคนดัดแปลงเป็นโรงแรมหรือร้านอาหารหรู

     เมื่อพวกโบโบซึ่งพร้อมจะจ่ายเงินสนใจเข้ามาอยู่ในย่านคนจนมาขึ้น ราคาอสังหาริมทรัพย์ในย่านนั้นก็จะถีบตัวสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว คนยากจนรายได้น้อยจึงต้องค่อยๆ ล่าถอยออกไปที่อื่น คาดกันว่าอีกไม่นานปารีสจะไม่เหลือย่านคนจนหลงเหลืออีกเลย ย่านต่างๆของปารีสจะไม่เหลือเอกลักษณ์เฉพาะตัวอีกแล้ว ที่ไหนก็โบโบเหมือนๆกันไปหมด เพราะในคำว่าโบโบ โบที่หมายถึงโบฮีเมียนรักความแตกต่าง มาที่หลังคำว่าบูร์ชัวร์ที่รักความมีระเบียบเรียบร้อย

     ความแตกต่างของของพวกโบโบจึงเป็นความแตกต่างที่เหมือนๆกัน แตกต่างในขนบใหม่ ที่ถึงจะใหม่ยังเป็นขนบอยู่ดี



     ในวันที่ปารีสกลายเป็นเมืองโบโบทั้งเมือง ก็จะไม่เหลือภาพร้านอาหารแอฟริกันเล็กๆ 7-8 โต๊ะ ที่มีแต่คนดำนั่งกินเบียร์ กินไก่ทอด ปลาทอดแบบคาเมรูนกับกล้วยหอมทอดที่พ่อครัวค่อยๆทำทีละจาน ต้องอดทนรอหนึ่งชั่วโมงเต็มกว่าจะได้กิน ไม่มีภาพและเสียงของคนในร้านที่ตั้งหน้าตั้งตาดูบอลถ่ายทอดสดทางทีวี เชียร์กันเสียงดัง แซวกันไปมาข้ามโต๊ะ แบ่งเบียร์กันกิน

     ไม่มีโต๊ะที่ปูด้วยโปสเตอร์งานแสดงดนตรีที่เจ้าของร้านเป็นหัวเรือใหญ่จัด

     ไม่มีสาวใหญ่ในทรงผมเนี้ยบกริบสองคนที่สั่งอาหารจานใหญ่มาเต็มโต๊ะที่ทะเลาะโฉงเฉงกับคุณป้าร่างอ้วนในชุดดำสวมหมวกประดับเข็มกลัดสีทอง ใส่แหวนใหญ่เต็มมือ ก่อนจะมานั่งกินอาหารเม้าท์หยอกล้อกันอย่างเอร็ดอร่อยในอีกสิบนาทีต่อมา

     ไม่มีหนุ่มแว่นดำนั่งอยู่ที่โต๊ะสุดด้านในของร้านที่คอยประนีประนอมการทุ่มเถียงเป็นระยะ ไม่มีครอบครัวหนุ่มสาวลูกเล็ก ที่คุณพ่อตีมือลูกชายที่ผลักขวดน้ำล้มสองครั้ง แต่หลังจากนั้นก็อุ้มลูกน้อยขวัญเสียขึ้นมาปลอบมาหอมแก้ม

     ไม่มีภาพทุกคนในร้านส่งเสียงไล่หญิงยิปซีขี้ขโมยที่เปิดประตูร้านแง้มเข้ามาพร้อมทำท่าขอเงินเป็นเสียงเดียว

     ไม่มีภาพการหยอกล้อชายปากีสถานที่เร่ขายดอกกุหลาบ ด้วยการขอต่อราคาดอกไม้เหลือไม่กี่สตางค์ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม

     ไม่มีภาพชายแก่ผิวดำเข้ามานั่งสั่งอาหารกินเงียบๆ แล้วต้องแบ่งโต๊ะกับชายผิวขาวสองคน คนหนึ่งแต่งตัวเนี้ยบกริบในเสื้อคลุมราคาแพงตัดปรานีตราวกับก็อดฟาเธอร์ อีกคนหนึ่งเหลือบซ้ายเลขวาระมัดระวังเหมือนบอดี้การ์ด สอบถามถึงธุรกิจของชายชราเงียบๆ

     ไม่มีคู่สามีภรรยาผสมขาว-เหลือง ถอดเสื้อคลุมดูกาติสีแดงพาดบนเก้าอี้ วางหมวกกันน็อคสีชมพูลายอาร์ตนูโวบนโต๊ะ นั่งจิบไวน์โรเซ่โค๊ดเดอโพรว็องซ์รออาหาร มองภาพบรรยากาศในร้านอย่างตื่นตาตื่นใจแต่สบายอารมณ์



     ไม่มี "ชีวิต" ให้เห็นอีกต่อไป




>> ฝากข้อความ เชิญคลิกที่นี่






 

Create Date : 31 มีนาคม 2551    
Last Update : 31 มีนาคม 2551 17:16:26 น.
Counter : 903 Pageviews.  

- 28 MARS 08

ชีวิตโสดกับชีวิตคู่

La vie en couple, c'est comme un plat chaud.



     วันนี้ตื่นมาเจ็ดโมงครึ่ง ฉันนอนบนโซฟานุ่มสีแดงในห้องนั่งเล่นมาสองคืนแล้ว เพราะหวานใจไม่อยู่ไปสัมมนานอกเมือง

     เหตุผลของการไม่ยอมเข้านอนอย่างเดียวดายบนเตียงเย็นๆในห้องนอนน่ะหรือ

     ข้อแรกคือ ไม่มีใครมาคอยงัดออกจากโซฟา

     ข้อสองคือ จะนอนบนโซฟาหรือบนเตียงมันก็ไม่ต่างกัน ในเมื่อต้องนอนคนเดียว


     นี่คือความแตกต่างของชีวิตโสดกับชีวิตคู่ เวลาอยู่คนเดียว เราจะทำอะไรก็ได้ เราไม่จำเป็นต้องบังคับตัวเอง ข้อดีคือสบายดีมีอิสระ ข้อเสียคือชีวิตมันช่างล่องลอยไร้ความหมาย เหมือนเดาะบอลคนเดียว ตอนแรกคงจะสนุกดีแต่นานๆเข้ามันเริ่มเหงา และสงสัยว่าจะเดาะไปถึงไหนดี

     หากคำตอบคือการเอาชนะตัวเอง แต่ชัยชนะที่ได้มาเดียวดาย สุดท้าย เมื่อถึงเส้นชัย มองดูรอบกายไม่เห็นใครเลย มันอาจจไม่ได้นำความสุขมากมายมาให้อย่างที่คิด


     ขณะที่เวลาใช้ชีวิตคู่ มันเหมือนเดาะบอลคู่ เราต้องคอยระมัดระวังไม่ปล่อยตัวเองตามใจ เกมนี้มีกฎข้อบังคับที่ไม่ได้เขียนเป็นลายลักษณ์อักษร ไม่มีคู่มือแน่ชัด ถ้าไม่ต้องการให้เจอความล้มเหลว เสียจังหวะปล่อยบอลตกพื้น เราต้องบังคับตัวเองให้มีการรับ-ส่งบอลกับคู่ของเรา ต้องดูจังหวะเขาจังหวะตัวเอง หาสมดุลและจังหวะของเราสองคน


     แน่ล่ะ เล่นสองคนมันย่อมจะยากกว่าเล่นคนเดียว การเดาะบอลคู่มีข้อบังคับที่เราต้องสังเวยอิสระเสรีและสไตล์การเล่นของแต่ละคนบ้าง แต่สิ่งที่ให้ไปนั้นประสานก่อเป็นความสวยงาม ชวนอบอุ่นในใจรูปแบบหนึ่ง มันเป็นการเดาะบอลที่ต้องใช้ทักษะต่างไปจากการเดาะเดี่ยว


     ฮ่าๆๆๆ เขียนถีงตรงนี้แล้วก็ขำตัวเอง เปรียบเทียบเป็นคุ้งเป็นแคว ทั้งๆ ที่ในชีวิตนี้แตะลูกบอลนับครั้งได้ไม่ครบนิ้วมือสองข้าง

     เอาล่ะ ถ้าการเปรียบเทียบกับการเดาะบอลดูไม่น่าเชื่อถือเท่าไหร่นัก ในเมื่อฉันเป็นคนที่ไม่เล่นกีฬา งั้น ฉันขอเปรียบเทียบในสิ่งที่ฉันถนัดและทำบ่อยๆก็แล้วกัน



     ฉันมองว่าชีวิตคู่ก็เหมือนกับอาหารจานร้อน ที่แต่ละฝ่ายใส่ตัวตนและจิตใจเป็นส่วนผสมดิบลงไปในหม้อตามสูตรที่คนสองคนร่วมกันปรุง

     แน่ล่ะ ส่วนผสมดิบๆนั้นสะดวกสบาย กินง่าย อร่อยด้วย ไม่ต้องระวังเรื่องระดับไฟ ไม่เสียเวลา ไม่เสียพลังงานมาก แต่เมื่อเราตัดสินใจจะกินอาหารสุกร้อนๆ เมื่อเราตัดสินใจจะลิ้มรสชีวิตคู่ เราก็ต้องตั้งใจปรุงส่วนผสมในหม้อปรุงให้ดี ให้สุกได้ที่ไม่ดิบเกินไป ไม่สุกจนเละ

     เมื่อเราจะปรุงอาหารสุก เราต้องไม่เสียดายข้อดีของอาหารดิบ เพราะเมื่อลงหม้อไปแล้วคุณสมบัติของส่วนผสมดิบจะเปลี่ยนไป กลายเป็นอาหารสุกหนึ่งหม้อ ถึงผลที่ออกมาจะแตกต่าง แต่ตัวของอาหารดิบเองไม่ได้หายไปไหน แค่เปลี่ยนไปเป็นสิ่งใหม่ที่มอบความอร่อยได้ไม่แพ้กัน


     แน่ล่ะ อาหารทุกอย่างกินบ่อยๆ ทุกๆ วัน ไม่ว่าดิบหรือสุก มันย่อมน่าเบื่อ เหมือนสำนวนที่ว่า "น้ำพริกถ้วยเก่า" คนชอบกินน้ำพริกคงเข้าใจว่าถึงน้ำพริกจะเป็นอาหารโปรด แต่กินทุกวันซ้ำๆ ซากๆ มันก็มีเอียนเหมือนกัน



     ดังนั้น จะอาหารสุกหรือดิบ จึงควรสลับกิน




>> ฝากข้อความ เชิญคลิกที่นี่






 

Create Date : 28 มีนาคม 2551    
Last Update : 28 มีนาคม 2551 16:48:57 น.
Counter : 960 Pageviews.  

- 26 MARS 08

สำนักพิมพ์กำมะหยี่

GAMME MAGIE EDITIONS - Ma maison d'editions



     วันนี้ตื่นมาแปลข่าวส่งเสร็จ จอยเพื่อนรัก ผู้จัดการบริษัทออกแบบเวบไซต์ graphicells ส่งเอ็มเอสเอ็นกุ๊กกรู๊มาให้ลองเข้าไปดูเวบไซต์ของสำนักพิมพ์กำมะหยี่ (www.gammemagie.com) ฉบับชั่วคราว ก่อนรอเปิดตัวฉบับสมบูรณ์เนื้อหาแน่นเอี้ยดในอีกไม่ช้านี้

     เวบเวอร์ชั่นชั่วคราวนี้ไม่หวือหวามากนัก เพราะฉันให้โจทย์ไปว่าเอาแบบเรียบง่ายเข้าไว้ก่อนนะจ๊ะคุณเพื่อน จึงมีเพียงข้อมูลของหนังสือที่เราออกไปแล้วสองเล่มแปะไว้เป็นเกียรติเป็นศรีเท่านั้น

     ส่วนหนังสือเล่มต่อๆไป ฉันยังอยากจะกั๊กไว้ก่อน เพราะรับรองว่ามีฮือฮา เดี๋ยวเปิดตัวครั้งใหญ่ จะมีข้อมูลให้เยี่ยมชมเพิ่มมากขึ้น ทั้งตัวหนังสือเอง ตัวผู้เขียน ผู้แปล รวมทั้งตัวอย่างเรียกน้ำย่อยเล็กๆ น้อยๆ

     อ้อ ... แล้วเราจะมีโลโก้ของสำนักพิมพ์เสียทีด้วยล่ะ ฮ่าๆๆ (ใช่มั้ยจอย)



     วันนี้อารมณ์ดี อยากเล่าให้ฟังว่าสำนักพิมพ์กำมะหยี่ก่อตั้งขึ้นมาได้อย่างไร

     การก่อตั้งสำนักพิมพ์กำมะหยี่นั้น เกิดขึ้นตามสโลแกนของเราล้วนๆ สโลแกนของเราคือ - Made by magic - เราเชื่อมั่นในความอัศจรรย์ของมนุษย์

     และหลังจากตั้งสำนักพิมพ์แห่งนี้ขึ้นมา ฉันได้มีโอกาสได้เห็นความอัศจรรย์เกิดขึ้นหลายหน

     อยากบอกไว้ก่อนว่า ที่ฉันเขียนตรงช่องโฆษณาด้านขวาว่า ฉันจับผลัดจับผลูมาเป็นเจ้าสำนักหญิงของสำนักพิมพ์แห่งนี้ ไม่ได้เกินเลยความจริงแต่อย่างใด เพราะก่อนหน้านี้ ฉันไม่เคยคิดอยากมีสำนักพิมพ์เป็นของตัวเองเลย ฉันชอบทำงานเป็นนักแปลอิสระ รับงานเป็นจ๊อบๆ ปิดแล้วก็จบกันไป ไม่อยากทำกับใครก็ไม่รับงานเขาและไม่เสนอหนังสือให้ ช่วงหลังๆ มีการขอเงินสามีไปลงทุนตีพิมพ์หนังสือที่อยากเห็นวางแผงออกมาบ้าง แต่เรื่องการเปิดสำนักพิมพ์ของตัวเองเนี่ย ...ไม่เคยแผ้วพ่านเข้ามาเลย

     จนกระทั่งมีอยู่วันนึง ฉันจำได้ ตอนนั้นฉันพักที่โรงแรมพระนครนอนเล่น คุณ10เดซิเบล โทรศัพท์เข้ามาเสนอให้ร่วมหุ้นจัดพิมพ์รวมเรื่องสั้นคณิตศาสตร์ ที่ตั้งชื่อว่า "คณิตศาสตร์ รส." ฉันตกลงลงหุ้นด้วย แต่มีข้อแม้ข้อเดียวคือ คุณสิบจะต้องจัดการติดต่อประสานทุกอย่างด้วยตัวเอง ฉันไม่ว่างจะช่วยหรอกนะ เพราะฉันต้องเตรียมตัวจดทะเบียนสมรส ดังนั้น นักเขียนคนเก่งของฉันจึงเป็นทั้ง หุ้นส่วน ผู้จัดการฝ่ายผลิต ฝ่ายประสานงานติดต่อผู้ร่วมงาน หา บ.ก. หาคนออกแบบหน้าปก (ขอขอบคุณคุณปราบดา หยุ่น สำหรับน้ำใจอีกครั้ง) หาคนจัดหน้า วิ่งโรงพิมพ์ ติดต่อสายส่ง ฝ่ายขาย เด็กยกหนังสือ เก็บเงินฝากขาย เก็บหนังสือเข้าคลัง ฯลฯ ทุกอย่างเสร็จสิ้นภายในไม่ถึงสามอาทิตย์ และคุณสิบไม่เคยทำงานสำนักพิมพ์มาก่อน ... อัศจรรย์มั้ยล่ะ

     ส่วนฉันคอยจ่ายตังส์อย่างเดียว โดยถือหลัก "จ่ายตรงเวลาแน่นอน มีปัญหาร้อนเงิน คุยกันได้" เพราะฉันเชื่อมั่นว่าคนทำงานทุกคนต่างมีภาระต้องใช้จ่าย ต่างรอคอยเงินตอบแทนการทำงานทุกคน ถ้าฉันโยกโย้เบี้ยวเขา ใครจะอยากมาทำงานให้ฉันอีกในวันข้างหน้า

     ในชั่วไม่กี่เดือนต่อมา ฉันได้รับเกียรติจากคุณ นพดล เวชสวัสดิ์ นักแปลมือเอกพี่ชายร่วมอาชีพ เสนอให้พิมพ์งานแปลของนักเขียนที่ท่านเห็นว่าเราน่าจะสนใจ โดยท่านจะช่วยลงขันในส่วนของค่าแปล ค่าบ.ก.และค่าจัดหน้า เป็นทุนด้วย ขายได้ไม่ได้แบ่งปันผลกันตามเปอร์เซ็น ระบบเดียวกับสหกรณ์ร้านค้าเกษตรไม่ผิด

     เมื่อเล็งเห็นความมุ่งมั่นของท่าน ประกอบกับฉันเองทำงานเดียวกับท่าน ฉันรู้ดีว่าการแปลหนังสือต้องใช้พลังงาน ใช้แรงกายแรงใจมากแค่ไหนในการแปลให้จบเล่ม การตัดสินใจเอาเงินน้ำพักน้ำแรงมาลงเช่นนี้ ไม่ใช่เป็นการตัดสินใจที่ง่ายดายเลย ฉันจึงสรุปว่าหนังสือเล่มนี้จะเกิดขึ้นได้ ก็เพราะความอัศจรรย์ของมนุษย์ผู้นี้ชัดๆ

     ฉันจึงตัดสินใจจะทำ เมื่อตัดสินใจว่าจะทำแล้ว ก็ใช่ว่าจะพอ ต้องมีตัวแทนสำนักพิมพ์เข้าไปคุยกับตัวแทนลิขสิทธิ์ก่อน และเพราะเหตุนั้น ฉันจึงได้เพื่อนร่วมงานเข้ามาเป็นหุ้นส่วน มาเป็นกำลังสำคัญอีกหนึ่งคน คือ คุณแอน

     เพราะถึงแม้ คุณสิบ นักเขียนคนเก่งของฉันจะทำงานทุกหน้าที่ที่กล่าวมาทั้งหมดข้างต้นได้ แต่งานพรีเซนต์ตัวออกหน้าอย่างเป็นทางการเช่นนั้น ท่านขอบาย

     คุณแอนเป็นหญิงเก่ง คล่องแคล่วกระฉับกระเฉง เข้าหาผู้ใหญ่ได้ เป็นตัวแทนให้กับสำนักพิมพ์กำมะหยี่ สำนักพิมพ์เล็กๆ ที่เคยออกหนังสือเพียงเล่มเดียวได้ดูดีจนเราสามารถคว้าลิขสิทธิ์หนังสือเล่มที่เราหมายปองมาครองได้... อัศจรรย์อีกแล้ว

     ส่วนฉันก็คอยเซ็นชื่อในสัญญา และคอยสะกิดเตือนให้สามีจ่ายเงินค่าลิขสิทธิ์ล่วงหน้าให้ตรงเวลา



     คุณสิบ คุณแอน และฉัน ทีมงานหลักของกำมะหยี่สามคน ทุกคนมีศักดิ์ศรี มีสิทธิ์และเสียงเท่าเทียมกัน ไม่มีใครเป็นนายใคร ด้วยความที่เราใหม่ต่อวงการนี้ทั้งหมด เราจึงตกลงว่าจะค่อยๆ ศึกษางานไปเรื่อยๆ หากผิดจะเป็นครูที่ดีที่สุด เราก็ขอเข้าชั้นเรียนแค่ครั้งเดียว เราพยายามแบ่งหน้าที่กันให้เหมาะสมกับคุณสมบัติและความถนัดของแต่ละคนให้มากที่สุด โดยในเบื้องต้น เรายังไม่ได้แบ่งงานแน่ชัดนัก ได้แต่วางคร่าวๆ ว่าใครจับงานตรงไหนเป็นหลัก ตรงไหนเป็นรอง สลับเพื่อหาจุดที่พอใจของแต่ละคน

     คุณสิบทำงานแบบผู้ชาย รวดเร็ว ฉับไว คล่อง ต่อรองเก่งตามประสาพ่อค้าเก่า คุณแอนทำงานแบบผู้หญิง ละเอียดรอบคอบ มีเอกสารยืนยันเป็นลายลักษณ์อักษร มีการวางงาน ประสานข้อมูลล่วงหน้าชัดเจนตามประสาคนเคยทำงานในองค์กรใหญ่

     ส่วนฉันเองอยู่ไกล ไม่ค่อยได้ทำงานเป็นชิ้นเป็นอันเท่าไหร่ คอยประคับประคองไกล่เกลี่ยความต่างของมนุษย์ต่างดาวที่รักทั้งสอง รับทราบข้อมูลความคืบหน้าต่างๆ ช่วยสรุปประเด็นความเห็นที่ขัดแย้ง และเป็นกึ่งๆฝ่ายจัดซื้อคอยมองหาหนังสือใหม่ที่น่าทำกัน




     ล่าสุด สำนักพิมพ์กำมะหยี่ของเราเพิ่งคลอดหนังสือน้องใหม่ "เด็กหญิงมุกประดับ" ออกมาประดับแผง ถึงเบื้องหลังการทำงานจะไม่ได้เรียบรื่นสวยงามเสียทุกอย่าง มีความขัดแย้งเกิดขึ้น หนักบ้าง เบาบ้าง มีงอน มีง้อ มีดูใจกันบ้าง แต่หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่เราสามคนลงมือทำงานกันคนละไม้ละมือ คุณสิบเขียน ฉันเป็นบ.ก. คุณแอนช่วยพิสูจน์อักษร

     และงานชิ้นนี้จะออกมาสวยงามสำเร็จเช่นนี้ไม่ได้เลย ถ้าไม่มี พี่ยู พี่สาวใจดีมาช่วยดูแลด้านความสวยงามลงตัวของลูกสาวพวกมือใหม่หัดขับ พี่นุ้ย ช่วยจัดหน้าอย่างอดทน และหนุ่มน้อยน้องปอนด์สำหรับรูปประกอบและหน้าปก

     นอกจากนั้น ยังมีคุณจ้อก แห่งโรงพิมพ์ภาพพิมพ์ที่ให้เกียรติกับสำนักพิมพ์กำมะหยี่เสมอมา คุณนุ แห่งสายส่งอมรินทร์ พริ้นติ้ง ที่อดทนรับโทรศัพท์ที่คาดว่าจะโทรบ่อยมากๆ จากคุณสิบที่แปลงกายเป็นเด็กวิ่งหนังสืออีกครั้งในงานหนังสือครั้งนี้


     รวมทั้ง พี่นวล วงกลมสำนักพิมพ์ , โอเพ่น, และนิตยสารใต้ดิน ที่เอื้อเฟื้อพื้นที่อันมีค่าให้เรานำลูกๆไปฝากขายในบูธที่งานหนังสือ




     เอ้า ... ไหนๆ บล้อกนี้ก็ดูเหมือนคำประกาศรับออสการ์เข้าไปทุกทีแล้ว ขอแทรกเจตจำนงค์ในการทำงานของเราเป็นการปิดท้าย ถือเป็นการแทรกโฆษณาไปในตัวอย่างหน้าตาเฉย



     ข้างล่างต่อไปนี้เป็นความตั้งใจของสำนักพิมพ์กำมะหยี่


     1.กำมะหยี่ต้องการเป็นสำนักพิมพ์มันๆ ที่มีลูกบ้าบิ่นให้ฮือฮาตลอดเวลา ไม่อยู่ในกระแส ไม่ได้สวนกระแส แต่มีกระแสของตัวเอง กล้าออกงานใหม่ๆ พร้อมจะทำสิ่งที่คนอื่นไม่กล้าทำ ขณะเดียวกันก็มีความละเมียดละไม มีรสนิยม รู้จักคัดสรรนำเสนอผลงานดีๆ ที่ควรค่าให้คนไทยได้อ่าน สำนักพิมพ์กำมะหยี่ สร้างความอัศจรรย์จากการร่วมมือของผู้ร่วมงานที่ร่วมกัน “ใส่ใจ” ลงในผลงานแต่ละชิ้น

     2.กำมะหยี่ต้องการเป็นสำนักพิมพ์ที่ผู้คนจับตามองความเคลื่อนไหวอย่างตื่นเต้น และพร้อมจะซื้องานที่กำมะหยี่นำเสนอ ด้วยความเชื่อมั่นและชื่นชมในตัวสำนักพิมพ์

     3.กำมะหยี่ต้องการให้มองเห็นกำมะหยี่เป็นมากกว่าสำนักพิมพ์ธรรมดาๆ อีกแห่งหนึ่ง ต้องการให้เห็นว่าสำนักพิมพ์ของเราพิเศษและแตกต่าง มีความกล้า ความบ้า ความเพี้ยน และมีความเชื่อมั่นในความอัศจรรย์ของมนุษย์ เป็นสำนักพิมพ์ที่ทำงานอย่างสนุกสนาน สบายใจ น่าติดตามความเคลื่อนไหว เหนือสิ่งอื่นใด งานจากสำนักพิมพ์กำมะหยี่ทุกเล่มเป็นหนังสือที่มีคุณภาพ




     สามารถเก็บได้นานทนทาน (ถ้าเก็บอย่างถูกต้อง) ส่วนเนื้อหาอ่านได้ถึงชั่วลูกชั่วหลานเชียวล่ะคุณเอ๋ย




>> ฝากข้อความ เชิญคลิกที่นี่






 

Create Date : 26 มีนาคม 2551    
Last Update : 28 มีนาคม 2551 17:01:08 น.
Counter : 860 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  94  95  96  97  98  99  100  101  102  103  104  105  106  107  108  109  110  111  112  113  114  115  116  117  118  119  120  121  122  123  124  125  126  127  128  129  130  131  132  133  134  135  136  137  138  139  140  141  142  143  144  145  146  147  148  149  150  151  

Mutation
Location :
somewhere in Hong Kong SAR

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




ฉั น คื อ ใ ค ร

     สาวพฤษภชาวแกลงแห่งเมืองระยอง ลอยละล่องเรื่อยไปจนปาเข้าสามสิบ กว่าจะได้พบอาชีพที่ต้องจริตจนคิดตั้งตัวเป็นนักแปลรับจ้างเร่ร่อนไร้สังกัด ปัจจุบันเปิดสำนักพิมพ์เล็กๆ ชื่อ "กำมะหยี่"

     จุดหมายในชีวิต หลังจากผันผ่านคืนวันมาหลายปีดีดัก ขอพักไม่หวังทำอะไรใหญ่โต ขอเพียงมีชีวิตสุขสงบ ได้ทำสิ่งที่ดีๆ ทำตามหน้าที่ของตนในทุกด้านอย่างดีที่สุด แค่นั้นพอ

      ฉันมีหวานใจ- สามี - สุดที่รักแสนดีชาวฝรั่งเศส แถมเรือพ่วงสองลำเล็กๆ ตอนนี้มาใช้ชีวิตกันอยู่ที่ฮ่องกง



Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add Mutation's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.