- 06 AVRIL 11 กลับบ้านหลังที่สอง- ฮ่องกง

กลับบ้านหลังที่สอง- ฮ่องกง



เมื่อเช้าตื่นแต่เช้า รู้สึกอย่างชัดเจนว่าตื่นจากจิตใต้สำนึกปลุก เป็นอาการตื่นเหมือนผุดปริ่มขึ้นสู่ผิวน้ำเมื่อใกล้เวลาที่ตั้งใจว่าจะตื่น ต่อด้วยการยืนยันจากเสียงไอโฟนที่ตั้งเป็นนาฬิกาปลุกไว้ หลังจากที่ต้องตื่นแต่เช้าไปเข้าเรียนในเมืองในช่วงไม่กี่เดือนก่อน ฉันมีอาการวินัยดีตื่นเช้าได้แบบนี้โดยไม่เปิดโอกาสให้ความขี้เกียจส่งเสียงรั้ง เมื่อตื่นเข้าได้ ชีวิตก็ดีขึ้นมา เพราะช่วงวันจะมีเวลาเพิ่มขึ้น ทำอะไรต่างๆ ที่ตั้งใจไว้ได้มากกว่าเดิม

ลุกขึ้นจากเตียงอย่างไม่รีรอ จัดเก็บข้าวของ เสื้อผ้าและหนังสือที่โหมซื้อทั้งของตัวเองและของเด็กหญิงเข้ากระเป๋าเดินทาง พอจัดเสร็จปลุกเด็กหญิงขึ้นมาแปรงฟัน อาบน้ำ เด็กก็น่ารักดีไม่มีงอแง ออกจากโรงแรมตอนเจ็ดโมงเช้านิดๆ นั่งเรือต่อแท็กซี่ โชคดีวันนี้เป็นวันหยุด รถเลยโล่ง ถึงสนามบินสบายๆ เช็คอินเสร็จ เข้าเลาจ์ต้อนรับกินมาม่าใส่ขนมจีบกันคนละถ้วย นั่งๆ นอนๆ อีกแป๊บนึง ถึงเวลาขึ้นเครื่องพอดี

คราวนี้ ได้นั่งชั้นธุรกิจแบบเป็นที่นั่งเฉียงๆ มีคอกกั้นผู้โดยสารแต่ละคนเหมือนเดินทางอยู่ในแคปซูลอย่างในหนังไซไฟ ชั่วเวลาเดินทางสั้นๆ แบบนี้ อาหารและเครื่องดื่มเลยไม่ตระการตามากมายนัก แต่ปริมาณและรสชาติโอเคใช้ได้เลย ฟังเสียงพูดประกาศต่างๆ เป็นภาษากวางตุ้งแล้วรู้สึกคุ้นเคยอบอุ่นใจอย่างประหลาด อีกสองชั่วโมงนิดๆ ต่อมา เครื่องบินลงจอดที่สนามบินฮ่องกง ความรู้สึกว่ากลับมาถึงบ้านผุดขึ้นมาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน จากสนามบินขึ้นรถไฟ ต่อรถแท็กซี่จนถึงบ้าน

คุณ ก. มาเปิดประตูบ้านรับ ไอ้ลูกหมายืนจังก้าทำหน้างงๆ อยู่ที่ขั้นบันได พอเห็นฉันเดินเข้าไป หูเริ่มหุบ ตัวเริ่มเกร็งสั่นริกๆ เดินแถ่ดๆ เข้ามาถูไถ พอเห็นเด็กหญิงก็เดินตามเข้าไปตะกายกอดต้อนรับ แว่บแรก สิ่งที่สังเกตเห็นได้ชัดคือขนาดที่ขยายขึ้น และความบึกที่พอกพูน หลังจากนั้นอีกราวครึ่งชั่วโมง จึงเริ่มผ่อนคลาย หายตื่นเต้น นอนแหมะพักผ่อนแนบพื้น ตาเหลือบมองมาเป็นระยะๆ บางขณะหลับวูบ กรนคร่อกๆ

ตอนนี้อากาศที่ฮ่องกงกำลังเย็นสบาย ไม่หนาวจัดเหมือนเมื่อสองสามเดือนก่อน และไม่ร้อนอ้าวเหมือนเมื่อห้าหกเดือนก่อน อาจจะเป็นเพราะอากาศเริ่มเปลี่ยน ไอ้ลูกหมาเลยเริ่มผลัดขนอีกรอบ ขนร่วงเต็มพื้น กอดทีขนติดเสื้อผ้ายกใหญ่ ส่วนเด็กหญิงก็ดูชอบอกชอบใจไอ้หมาอ้วนเป็นอย่างดี

ยังมีงานสองสามอย่างที่ต้องทำ แต่รู้สึกอ่อนแรงไม่มีกำลังใจทำเท่าไหร่ ขอเวลาพักผ่อนสักนิดก่อนละกัน

พรุ่งนี้หวานใจกลับจากทำงานที่บังกาลอร์ ครอบครัวเล็กๆ ของเราจะได้อยู่ครบถ้วนพร้อมหน้ากันเสียที






>> ฝากข้อความเชิญคลิกที่นี่







 

Create Date : 06 เมษายน 2554    
Last Update : 6 เมษายน 2554 18:37:29 น.
Counter : 974 Pageviews.  

- 04 Avril 11 เที่ยวเมืองไทยในบางกอก : เรื่องแหวะๆ ในโลกความจริง

เที่ยวเมืองไทยในบางกอก : เรื่องแหวะๆ ในโลกความจริง


ดึกแล้วแต่เห็นว่าควรจะบันทึกอัพบล็อกเอาไว้สักนิดนึง

เช้านี้ วีรกรรมที่ประทับใจตัวเองอย่างยิ่ง แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าตัวเองกลับไปเป็นคนเม้งแตกอีกรอบ ทั้งๆ ที่พยายามเลิกนิสัยขวานผ่าซากแบบนี้มานานมากแล้ว คือ การยกหูโทรศัพท์ไปหาทนายที่ทำเรื่องเปลี่ยนผู้ปกครองของเด็กหญิงหลุยส์ลูกเลี้ยงจากคุณแม่ของเด็กมาเป็นหวานใจ เพราะต้องนำไปประกอบใช้ในการรับเด็กหญิงไปดูแลรักษาตัวที่ฮ่องกง จุดหมายหลักๆ ที่โทรไปคือแจ้งว่าโอนเงินงวดแรกส่งไปแล้ว ให้ดำเนินการยื่นคำร้อง ติดต่อศาลได้เลย แต่ก็มีประเด็นเคลือบแฝงอย่างหนึ่งที่ค้างใจและอยากเคลียร์ให้เรียบร้อยคือวิธีการพูดจาของทนาย ด้วยรู้สึกว่าทนายเฒ่าเพื่อนของเพื่อนพ่อคนนี้พูดจาแย่มาก ทั้งกับฉันและกับคุณแม่ของเด็ก

หลังจากฉันต่อสายติด พอเขาพูดคำว่า "เออ" ตามที่ได้ยินและระคายหูมาอีกครั้ง ฉันจึงยิงคำถามถามเขาตรงๆ ว่า ที่ขอนแก่น การพูดคำว่า "เออ" กับลูกค้า เป็นเรื่องปกติใช่มั้ย เขาคงตกใจอ้ำอึ้งไป ฉันจึงพูดต่อว่า ฉันแค่คิดว่ามันเป็นเรื่องประหลาดดี แต่ถ้าคนแถวนั้นเห็นว่าท่าทีการพูดอย่างนี้เป็นเรื่องธรรมดา ฉันจะได้รู้เอาไว้

ผลลัพท์ต่อมา คือ คำว่า เออ มลายหายไปสิ้น เหลือคำว่า ครับๆๆๆ ส่วนฉันเลิกเรียกตัวเองว่า "หนู" เปลี่ยน "ดิฉัน" เปลี่ยนคำเรียกเขาว่า "อา" เป็น "คุณ" ส่วนหนึ่งที่เขาอ่อนลงอาจจะเป็นเพราะข่าวที่ว่าฉันโอนเงินให้เขาก้อนแรกแล้วก็ได้ แหวะแต่จริง เงินง้างอะไรก็ได้ แต่ก็นั่นล่ะ ไม่ต้องมารักใคร่ให้เกียรติอะไรฉัน แค่ไม่มาพูดห่วยแตกใส่ฉันก็พอ แล้วก็ทำงานตามหน้าที่ของตัวเองไปให้เสร็จสิ้น ฉันจ่ายราคามิตรภาพคือราคาสูงกว่าปกติก็ได้ แต่งานต้องเสร็จ รับไปทำทุกอย่าง เอกสารอะไรที่ยังขาด ติดขัดตรงไหน ต้องโทรตามเอง ฉันไม่ใช่เลขา นี่กะจะไม่ขยับตัวทำงานเพิ่มรออ้อยเข้าปากอย่างเดียวเลยหรือ งานง่ายๆ เงินดีๆ น่ะ มีผ่านมาไม่เยอะหรอกนะ ในชีวิตนี้น่ะ (แต่ก็ไม่แน่ งานทนายความอาจจะเจอแต่ลูกค้าติ๋มๆ ที่เกรงกลัวยอมทำทุกอย่างก็ได้)

ตาทนายคนนี้ ฉันคงได้เจอตัวจริงในวันที่หวานใจต้องไปให้การที่ศาลในเดือนหน้าและฉันต้องพาล่ามไปแปล (กูต้องเก๊กท่าอีกแล้วใช่มั้ย) ซึ่งในเรื่องนี้ตอนที่เขาพูดถึง ฉันก็เห็นลิ้นไก่เลยว่าจะโก่งราคาเหมือนที่เคยโก่งฉันมาแล้วก่อนหน้านี้ ฉันเลยดักไปว่า เดี๋ยวฉันหาเอง เขาคงผิดคาดเลยบอกว่าดีแล้ว เพราะถ้าเขาหา ทางล่ามต้องเรียกราคาสูง ฉันยังยั้งปากไว้ว่า ล่ามเรียกราคาสูง หรือแกบวกราคาเพิ่มกันแน่

เกลียดความสัมพันธ์แบบนี้ เบื่อคนทุเรศอย่างนี้ ทำให้จิตใจฉันหมอง ทำให้ต้องมองคนในแง่ร้าย แต่โลกแห่งความจริง ใครร้ายมา ก็ต้องสำแดงเดชกลับไป ใช่มั้ย เหนื่อยนะเว้ย จะคบกันดีๆ ไม่เอาเปรียบกันมันยากนักเหรอ แหวะแต่จริงอีกเช่นกัน ก็คงต้องดูกันว่าผลออกมาจะเป็นอย่างไร ถ้ามันอุบาทชาติชั่วเกินทน อย่างมากอย่างร้ายที่สุดก็ยื่นเรื่องใหม่ เปลี่ยนทนายใหม่เท่านั้นเอง

ส่วนเรื่องอื่นๆ วันนี้ จอยกับรัตน์มากินอาหารกลางวันที่โรงแรมด้วยกัน สามสาวนั่งพูดคุยเรื่องโน้นเรื่องนี้ไปเรื่อยๆ ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของรัตน์ เพราะมีช่วงหนึ่งที่ห่างๆ กันไป ไม่ค่อยได้อัพเดทความเคลื่อนไหว

สี่โมงเย็น นั่งแท็กซี่ไปลงที่หัวลำโพง หวานใจนั่งต่อไปเพื่อเดินทางไปทำงานที่บังกาลอร์ ส่วนฉันและหลุยส์ลงนั่งรถไฟใต้ดินไปงานหนังสือ วันนี้ "เส้นแสงฯ" ฉบับพิมพ์ครั้งที่ ๒ มาถึงงานหนังสือ พี่แป๊ดเป็นธุระให้น้องเจย์ไปส่งหนังสือที่บูธอื่นๆ ให้ แต่ฉันต้องไปแวะบอกว่าขอให้เพิ่มในใบส่งของเดิม

หลังจากนั้นพาเด็กหญิงเดินซื้อหนังสือ ส่วนใหญ่ได้หนังสือความรู้ เลยแวะซื้อการ์ตูนโดเรมอนให้ชุดนึง





>> ฝากข้อความเชิญคลิกที่นี่







 

Create Date : 05 เมษายน 2554    
Last Update : 5 เมษายน 2554 2:09:59 น.
Counter : 1032 Pageviews.  

- 03 Mars 11 เที่ยวเมืองไทยในบางกอก : บทเรียนระหว่างเที่ยว รักมากก็หวังมาก

เที่ยวเมืองไทยในบางกอก : บทเรียนระหว่างเที่ยว รักมากก็หวังมาก



ไปรับหวานใจกับหลุยส์มาจากสนามบินถึงโรงแรมเรียบร้อยแล้ว สองพ่อลูกเล่นน้ำในสระสนุกกันตามประสา ส่วนฉันแบ็ตอ่อน ตอนที่นั่งรอที่สนามบิน เคลิ้มเกือบผล็อยหลับหลายรอบ เสียงผู้คนรายรอบเหมือนถูกดูดห่างออกไปไกล

กลับเมืองไทยมาคราวนี้ ความรู้สึกอย่างหนึ่งชัดเจนก็คือ ถ้าอยากได้รับบริการที่ดี ไม่ต้องถึงกับนอบน้อม เอาแค่ไม่หยาบคาย เราต้องวางมาดเข้มข้นเข้าใส่ก่อน ตัวอย่างชัดๆ คือ คนขับแท็กซี่ที่มาส่งจากสนามบิน พอเดินจากที่ออกตั๋วไปถึงรถที่จอดอยู่ เขาหยิบกระเป๋าใบหนึ่งในสองใบแล้วพูดให้ฉันยกใบที่สองว่า "หยิบมา" ฉันสะดุดหู ฉันรู้ว่ามันไม่ใช่หน้าที่ของเขาหรอก ฉันไม่ถือสาที่ต้องถือกระเป๋าเอง แต่พูดแบบนี้ก็ไม่สวย จึงโปรเจ็คเสียงเขียวถามไปว่า "พูดจาอย่างนี้เหรอ" หลังจากนั้นคำลงท้ายหางเสียงปิดประโยคด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงถึงจะออกจากปากมาถึงหู

บางวูบถึงกับรู้สึกว่าโคตรโชคดีเลยที่ไม่ต้องอยู่เมืองไทย อยู่บ้านอื่นเมืองอื่น ถึงจะมีคนดีคนไม่ดี คนมารยาทดีมารยาทชั่วเหมือนๆ กับที่นี่ แต่เมื่อฟังไม่ออกบ้าง ฟังออกแต่ทำหูทวนลม แกล้งทำเป็นไม่รู้บ้าง ช่วยตัดความรำคาญใจที่ดันไปรู้เห็นและเข้าใจไปได้เยอะ

คิดๆ ดูก็เหมือนทุกเรื่อง เราไม่สามารถเปลี่ยนคนอื่นได้ คนที่เราเปลี่ยนได้ คือ ตัวเราเอง ฉันก็แค่ปิดหูปิดตาไม่รับรู้ แต่มันยากนะ ฉันว่าที่ฉันอ่อนไหวกับปฏิกิริยาของเพื่อนร่วมชาติของฉันมากกว่าคนชาติอื่น เป็นเพราะฉันรักประเทศนี้มาก ฉันอยากเจอคนดีๆ เรื่องดีๆ ที่นี่ ประเทศอื่นๆ จะเลวทรามต่ำช้าฉันไม่สนหรอก พอไม่ได้ดั่งใจปรารถนาก็เลยเป็นเรื่องเป็นราวในใจอย่างนี้

ช่างเถอะ คราวหน้าก็วางท่าดักทางเอาไว้ก่อน เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องเหล่ตาตาม เข้ามาเมืองสยาม ต้องวางมาดตัดไม้ข่มนาม


เมื่อวานเข้าร้านเสริมสวยให้ช่างเซ็ตผมเป็นลอนสวย (แต่เพื่อนๆ ไม่อนุมัติ บอกว่าไม่ใช่ฉัน ไม่ทราบว่าเป็นฉันต้องเป็นยังไง) ผมสวยเป็นทรงไปอยู่งานหนังสือแทบทั้งวัน ช่วยพี่แป๊ดขายหนังสือบ้าง เดินซื้อหนังสือบ้าง ได้เรียนรู้ความจริงอย่างหนึ่งว่า ความตั้งใจที่ว่าจะไปหาหนังสือเล่มโน้นเล่มนี้ในงานหนังสือนั้นเป็นความตั้งใจที่กระทำจริงได้ค่อนข้างยาก หนังสือที่เราจะได้ส่วนใหญ่เป็นหนังสือที่ตามหาเรา อย่างที่ฝนว่าไว้




>> ฝากข้อความเชิญคลิกที่นี่







 

Create Date : 03 เมษายน 2554    
Last Update : 6 เมษายน 2554 16:52:53 น.
Counter : 1083 Pageviews.  

- 01 Avril 11 เที่ยวเมืองไทยในบางกอก : วันที่ไม่เลวอีกหนึ่งวัน

เที่ยวเมืองไทยในบางกอก : วันที่ไม่เลวอีกหนึ่งวัน


ดึกแล้ว ตีหนึ่งกว่าๆ ง่วงนะ แต่อยากอัพบล็อกบันทึกไว้สักเล็กน้อยว่า วันนี้เป็นวันที่น่าประทับใจวันหนึ่ง

ช่วงเช้่าขลุกกับหวานใจ เกือบเทึ่ยงออกไปหาอะไรกินกัน บ่ายต้นๆ หาร้านที่ทั้งนวดและทำเล็บด้วยไม่ได้ เลยบอกให้เขาไปที่ร้านนวดตามลำพัง ส่วนฉันเข้าร้านเสริมสวยแถวนั้น นั่งให้ทำเล็บเท้าและเล็บมือ เลือกสีน้ำเงินด้าน ก็สวยไปอีกแบบ ยังไงก็ย่อมดีกว่าเล็บยาวๆ ดำๆ ไม่ได้ขัดไม่ได้ทาปกปิดอยู่แล้ว

ทาเล็บแล้ว รองเท้าคร็อกแบบครอบนิ้วเท้าเริ่มไม่เข้าที แวะร้านขายรองเท้าหนังแบบเปลือยๆ ซื้อใส่เลยหนึ่งคู่ เพื่อเปิดนิ้วให้รับลม กลัวสีเล็บที่จ่ายไปหนึ่งร้อยจะพังเลยซื้อรองเท้าคู่ละเก้าร้อยมาช่วยประคับประคอง

กลับเข้าโรงแรม หวานใจจัดกระเป๋าเล็ก นั่งเรือข้ามฟาก ขึ้นแท็กซี่ไปสถานีพญาไท ส่งสามีขึ้นแอร์พอร์ตลิงก์ ส่วนฉันขึ้นบีทีเอสไปต่อเอ็มอาร์ทีจนถึงศูนย์สิริกิติ์ไปเข้าเวรหลังหกโมงเย็นที่บูธระหว่างบรรทัด เจอน้องเช น้องโย แห่งพันหนึ่งสำนักพิมพ์ เจอคุณอุทิศ นักเขียนซีไรต์ และนักเขียนอีกหลายคน นอกเหนือจากนั้นก็ช่วยพี่แป๊ดขายหนังสือ เรียนรู้วิธีขายไปเรื่อยๆ

สามทุ่มเก็บบูธเสร็จ ขึ้นรถไฟใต้ดินไปต่อรถแท็กซี่ นัดเจอคุณสิบที่ท่าพระอาทิตย์ นางซินมีเวลาน้อย เที่ยงคืนเรือของโรงแรมจอดเทียบท่ารอ ร่ำลาเพื่อนแล้วนั่งข้ามฝากกลับมาถึงโรงแรม ถึงห้องแล้วจึงต่อเน็ต อัพบล็อก

พรุ่งนี้ ตารางเป็นอย่างไร จำไม่ได้แล้ว อืมม เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่ละกัน



>> ฝากข้อความเชิญคลิกที่นี่







 

Create Date : 02 เมษายน 2554    
Last Update : 2 เมษายน 2554 1:35:46 น.
Counter : 962 Pageviews.  

- 01 Avril 11 เที่ยวเมืองไทยในบางกอก : กลับมาที่เดิม ในภารกิจใหม่

เที่ยวเมืองไทยในบางกอก : กลับมาที่เดิม ในภารกิจใหม่



ตอนนี้อยู่บางกอก พักที่โรงแรมพระยา พาลาสโซ ที่เดิมที่พักเมื่อก่อนกลับระยอง

คราวนี้ต่างจากครั้งเดิม ตรงที่มีหวานใจมาพักอยู่ด้วยกัน เมื่อวานไปรับที่สนามบิน ออกจากบ้านตั้งแต่แปดโมงเช้า พี่เปี๊ยกขับรถไปส่ง คุณนายแม่นั่งไปเป็นเพื่อน เครื่องดีเลย์นิดหน่อย แต่ไม่เป็นไร ไม่ได้รีบ ยืนรอตรงทางออกใกล้ๆ พนักงานโรงแรมที่มารับแขก จนกระทั่งหวานใจออกมา

นั่งแท็กซี่จากสนามบิน ลงที่ท่าพระอาทิตย์ เข้าเช็คอินที่โรงแรมอีกรอบ จัดการจ่ายเงินค่าอาหารและเครื่องดื่มครั้งก่อนที่ติดค้างกับทางโรงแรมไว้ ด้วยเหตุผลง่ายๆ คือ ใช้เครดิตในบัตรไม่เหลือแล้ว หวานใจต้องเติมเงินเข้าไปช่วยเพิ่ม ตอนที่เช็คเอาท์ครั้งก่อน น้องที่โรงแรมเขาเห็นว่า ฉันจองรอบหน้าเอาไว้แล้ว กระเป๋าใหญ่ก็ฝากไว้ จึงให้เครดิตติดค้างได้

มานึกๆ ดูแล้ว การให้หรือรับเครดิตเป็นสิ่งที่สามารถสร้างความผูกพันต่อกันได้จริงๆ นะ เป็นการแสดงออกซึ่งความไว้วางใจต่อกัน ฉันเองเป็นคนไม่ค่อยได้สัมผัสคุ้นเคยระบบให้-รับเครดิตสักเท่าไหร่ พอมาได้เครดิตอย่างนี้ก็เลยรู้สึกแปลกนิดๆ แต่ก็รู้สึกว่าเป็นการให้เกียรติกันดี

บ่ายสองออกไปหาอะไรกินกันที่ถนนพระอาทิตย์ ฉันตั้งใจจะพาหวานใจไปร้านอาหารไทยเก่าแก่ร้านหนึ่งที่พี่แป๊ดเคยพาไปกิน แต่เดินหาไม่เจอ ตอนนี้กลายสภาพเป็นร้านอาหารสำหรับต้อนรับนักท่องเที่ยวไปแล้ว เลยแวะกินเย็นตาโฟ สั่งข้าวผัดไก่กับผัดผักบุ้งไฟแดงให้หวานใจ กินกันจนอิ่มแปร้ เดินเลาะบางลำพู ตัดผ่านถนนข้าวสาร ข้ามราชดำเนิน เข้าถนนตะนาว แวะดื่มกาแฟที่ร้านก็องดิด ต่อด้วยนอนนวดน้ำมันสองชั่วโมงที่ร้านนวดแถวๆ นั้น แล้วจับแท็กซี่กลับท่าพระอาทิตย์ ลงเรือของโรงแรมกลับมาดินเนอร์บนหน้าชานชั้นสอง

วันนี้เป็นวันพิเศษของเราสองคน คิดๆ ดูแล้วก็ ironic ดี วันที่ ๑ เมษา ใครๆ ว่าเป็นวันโกหก แต่วันที่ ๑ เมษาเป็นวันแห่งการเปิดเผยตัวจริงของฉันกับหวานใจ เพราะวันนี้เมื่อหกปีก่อน หวานใจบินมา "ดูตัว(จริง)" ของฉันที่กรุงเทพ หลังจากคุยกันออนไลน์ในโลกเสมือนที่คนชอบคิดกันว่าเป็นโลกแห่งการโกหกหลอกลวงกันมาระยะหนึ่ง

จำได้ว่าวันนั้นตื่นเต้นใหญ่ นอกจากจะตื่นเต้นว่าตัวจริงของเขาจะเป็นอย่างไร ยังต้องตื่นเต้นว่าจะมาเจอการโกหกหลอกเล่นอะไรในวันที่ ๑ เมษา มุสาเดย์หรือเปล่า




>> ฝากข้อความเชิญคลิกที่นี่







 

Create Date : 01 เมษายน 2554    
Last Update : 1 เมษายน 2554 10:37:08 น.
Counter : 1070 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  94  95  96  97  98  99  100  101  102  103  104  105  106  107  108  109  110  111  112  113  114  115  116  117  118  119  120  121  122  123  124  125  126  127  128  129  130  131  132  133  134  135  136  137  138  139  140  141  142  143  144  145  146  147  148  149  150  151  

Mutation
Location :
somewhere in Hong Kong SAR

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




ฉั น คื อ ใ ค ร

     สาวพฤษภชาวแกลงแห่งเมืองระยอง ลอยละล่องเรื่อยไปจนปาเข้าสามสิบ กว่าจะได้พบอาชีพที่ต้องจริตจนคิดตั้งตัวเป็นนักแปลรับจ้างเร่ร่อนไร้สังกัด ปัจจุบันเปิดสำนักพิมพ์เล็กๆ ชื่อ "กำมะหยี่"

     จุดหมายในชีวิต หลังจากผันผ่านคืนวันมาหลายปีดีดัก ขอพักไม่หวังทำอะไรใหญ่โต ขอเพียงมีชีวิตสุขสงบ ได้ทำสิ่งที่ดีๆ ทำตามหน้าที่ของตนในทุกด้านอย่างดีที่สุด แค่นั้นพอ

      ฉันมีหวานใจ- สามี - สุดที่รักแสนดีชาวฝรั่งเศส แถมเรือพ่วงสองลำเล็กๆ ตอนนี้มาใช้ชีวิตกันอยู่ที่ฮ่องกง



Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add Mutation's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.