No. 1103 ห้วงเวลาอันแสนสุข ...และ.. |
 |
ใบข้าวเขียว ชุ่มน้ำเอนลู่โน้มต่ำ แสงแรกของวัน ส่องลอดเป็นลำผ่านก้อนเมฆที่หนาทึบ แสงต้องหยาดน้ำค้างบนใบข้าวเป็นประกาย |
ลมพัดเบา ๆ ใบข้าวแกว่งไกวส่งประกายระยิบระยับ |
ยืนดูท้องนา อันกว้างใหญ่ สว่างเป็นหย่อม กลุ่มเมฆดำใหญ่ค่อยลอยเลื่อนด้วยกระแสลมบนไปอย่างช้า ๆ ช่วยให้แสงอาทิตย์สาด |
เป็นวงกว้างขึ้นเรื่อย ใบข้าวในนาเริ่มเขียวชัดขึ้น ใช่เลยเหมือนกับที่เคยเห็นตอนเป็นเด็ก ณ อำเภอปาย |
เมืองในหุบเขา |
ณ ที่นี่เราปลูกบ้านน้อยหลังแรกของชีวิต เป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดพิษณุโลก เมืองเหนือตอนล่างเป็นการสานฝันแก่สองเราที่เริ่มชีวิตด้วย |
กันแสงแดดเริ่มกล้าขึ้นเรื่อย ๆ ต้องเตรียมตัวไปทำงานในเมืองแล้ว |
เมื่อคืนฝนตกหนัก แม้อากาศจะเย็นแต่ผ่านไปแล้วก็เกิดความเหนียวตัวอยู่บ้าง เดินเข้าห้องน้ำที่ติดกับห้องครัวแม้จะอยู่ติดกัน |
แต่ยังไม่ค่อยเรียบร้อย แปรงฟัน โกนหนวด |
อาบน้ำในตุ่มที่เต็มเปี่ยมเย็น รู้สึกสดชื่น บ้านน้อยมีฝาห้องน้ำเรียบร้อย แต่มีช่องว่างระหว่างฝากับหลังคาเกือบฟุต ทำให้อากาศ |
ถ่ายเทได้ดี เย็นสบาย |
เดินผ่านห้องครัว จริงแล้วเป็นเพียงห้องเล็กขนาดโล่ง ลูกสาวแม่ยายกำลังทำอาหารเช้าง่าย ๆ จะได้กินก่อนไปทำงาน |
รีบแต่งตัว นั่งกินอาหารที่ ระเบียงหน้าบ้านก็เป็นเพียงระเบียงโล่งพื้นไม้สัก |
อาหารเช้ามี ข้าวสวย ที่อุ่น กับผัดตับหมูใส่กะปิ พริกนิดหน่อยนั่งกินกับพื้นกันเงียบ ๆ สองคน |
หน้าระเบียงเตี้ยสูงจากพื้นดินครึ่งเมตร ทางเดินเอียงลาดลงหน้าบ้านชุ่มฉ่ำด้วยหยาดฝนที่ตกเมื่อคืน |
บริเวณที่ดิน เป็นที่โล่งไม่มีบ้านคนอยู่เลย ไม่มีรั้ว ดูอ้างว้างแต่ทำใจตัดกังวล |
|
นึกถึงเมื่อคืน ตอนตกใจเสียงดังมาก ๆ ยังกะเสียงปืน คิดว่าเสือขาวมาปล้นบ้าน ลุกพรวดพราดมุ้งพันหัวมองไม่เห็นอะไร สลัดหลุด |
หัวชนฝา ตกเตียง พอตั้งตัวได้เอาไฟฉายส่องดูรอบบ้านเจอสังกะสี พาดโอ่งน้ำข้างบ้าน ทั้งลมทั้งฝนสาดเข้าตัวบ้าน |
เปียกไปหมด หน้าต่างประตูยังไม่ได้ติดตั้งสั่งซื้อจาก จ.แพร่ให้ส่งมาทางตู้สะเบียงรถไฟต้อง ใช้เวลาหน่อย |
ไม่มีเสือไหนมาปล้นครับ |
ระยะนั้นข่าวหนังสือพิมพ์ลง ว่าเสือขาวปล้นแถวนั้น ยังจับไม่ได้พอเสียงดังฟ้าแลบฟ้าผ่า ใช่เลย..ปล้น เฮ้อ..คิดไปเอง |
ท่ามกลางความมืด รีบหาเสื่อไม้ไผ่สาน นำมาปิดหน้าต่างใช้ตาปูตอกปิดหน้าต่างทั้งสามด้านกันฝนได้บ้าง ไม่งั้นนอนไม่ได้แน่ |
ลมแรง มุ้งผ้าห่มเปียก เลยจับพาดไว้เอาผ้าขาวม้ากับเสื้อผ้าที่แห้งห่มนอนหนาวสุด ๆ |
เอาผ้าขาวม้า กับเสื้อผ้าที่แห้ง ห่มนอน หนาวสุด ๆ (ภาพบ้านเป็นภาพแทนซึ่งคล้ายมาก) ปลูกยกสูงกว่านี้นิดหน่อย  |
ตั้งแต่ย้ายไปอยู่กระท่อมปลายนา ต้องปรับเวลาตื่นให้เหมาะเพราะอยู่ไกลที่ทำงานแต่ก็มีโอกาสดีหลาย ๆ อย่าง |
ตอนเช้า เห็นบรรยากาศรอบ ๆ บ้านหลังน้อยช่างสดชื่น ต้นข้าวเขียวเดินเลาะริมนาปูน้อยวิ่งหลาย ๆ ขาไปหลบตรงก้อข้าว คงคิดว่า |
ยักษ์มาจับตัว |
จากบ้านที่ไม่ได้ติดหน้าต่าง ประตู ก็ได้รับการติดตั้ง อย่างเรียบร้อยที่ดินบริเวณบ้าน เริ่มมีไม้สวนครัว ไม้ดอกขึ้นตามแบบที่เขียนไว้ |
แม้จะไม่สวยเหมือนที่กะไว้  |
เข้าฤดูหนาว อากาศหนาวเย็น ค่อนข้างมาก ต้องใส่เสื้อกันหนาวเพื่อน ๆ ที่ทำงานต่างผลัดกันมาเยี่ยมเยือน |
แน่นอนมาทานอาหารกัน ผมทำอาหารไม่ค่อยเป็นอาศัย น้าหญิงของลูกสาวแม่ยายช่วยทำให้กิน เวลาว่าง น้าหญิงก็ปลูกผัก  |
สวนครัว ทำให้บ้านมีชีวิตชีวา เลยชวนน้าหญิงมาอยู่ด้วย |
เรียกว่าบ้านสวย เพราะฝีมือน้าหญิงมากกว่า ส่วนผมลงมือเองมีเพียงนี่ครับ ดอกสีม่วงปลูกเป็นแปลงไว้หน้าระเบียง |
 |
จำต้นตาลที่ผมค่อย ๆ ตัดใช้เวลา 3 วันกว่าต้นตาลจะล้มได้ผมเหลือโคนต้นตาลสูงเพียงเอว นำดอกคุณนายตื่นสายมาปลูกบนตอกับต้นดอกอย่างอื่นลงปลูกด้วย  |
นำเมล็ดมะละกอที่ซื้อมาหมายถึงลูกนะครับ รสชาดดีเลยเก็บเมล็ดผึ่งไว้ในที่ร่ม ค่อย ๆ แห้ง.จนมันแน่ใจว่าจะตายแน่ |
ถ้าไม่เจอน้ำ ก็นำไปโปรยในกะบะดิน ร่วนซุย พรมน้ำทุกวัน |
ไม่นานมะละกอเริ่มงอก หลายต้น ต้นไหนดูหงิกงอ ไม่สวยก็ถอนทิ้งไม่เก็บไว้ ใจร้ายเหมือนกันเนาะ |
หลายวันเหมือนกันที่มะละกอเริ่มโต ก็ไปขุดดินเป็นแถวผมค่อย ๆ ถอนออกทีละต้น ใช้ปลายมีดตัดรากแก้วออกนิด แล้วนำไปปลูก |
ในดินที่เตรียมไว้ กดดินให้แน่น |
ไม่นานต้นเล็กที่ตัดรากแก้ว ตั้งตัวได้ เริ่มโต ลำต้นสมบูรณ์ใบเขียว ใส่ขี้ไก่แห้ง ขี้หมูเป็นระยะ และแล้วก็ให้ผลลูกมะละกอไม่ต้อง |
ปีนเก็บ ต้นมันเตี้ย คนตัวสูงเก็บลำบากหน่อย  |
มะละกอ ถูกตัดรากแก้วบางส่วน ธรรมชาติให้รู้สึกว่าถ้าต้นสูง จะล้มเลยสร้างรากฝอยเยอะ หาอาหารเก่งลูกสมบูรณ์สวย เอาไว้ |
ส้มตำ กับกินผลสุกช่วงเวลานั้นยังไม่มีใครปลูกมะละกอพันธ์เตี้ย |
|
งานในหน้าที่ และ ชีวิตเริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ ผมเลยขยับขยายบางส่วนออกไป เรียกว่ามีความสุขมากขึ้น ก็ ๆ หาคนมาช่วยงาน |
ได้ทีมงานเก่ง สอนงานครั้งเดียวก็ทำตามที่ได้วางแนวทางไว้ ผลงานและเงินเข้าบริษัทมากตามที่ ผจก.สาขาตั้งเป้าไว้ |
|
พวกเราเน้นรักษาลูกค้าเก่ามากเป็นพิเศษ เพราะบริษัทประกันจ่าย ค่าใช้จ่ายปีแรกให้แก่ตัวแทนมาก ทุกบริษัทแทบจะขาดทุน |
บริษัทจะเริ่มมีรายได้มาก ตั้งแต่ปีที่ 2 ไม่ต้องจ่ายค่าคอมมิชชั่นมีแต่ จ่ายค่าพาหนะให้คนเก็บเงินนิดหน่อย ผมได้ตั้งเป้าหมาย |
ให้ทำยอดเงินหรือเก็บเงิตจากลูกค้าเก่าให้ดีที่สุด เลยเป็นที่สนใจและถูกใจ สำนักงานใหญ่บริษัทเป็นพิเศษ  เป็นเรื่องหลายปีมาแล้วนะครับ 555 ดูสีภาพคงจะมองออก |
โดยสายงานแล้ว ทำงานที่สาขาย่อมจะขึ้นตรงต่อ ผู้จัดการภาคเหนือที่ท่านดูแล 12 สาขา ซึ่งจะรับผิดชอบด้านการตลาด การขาย |
เรียกว่า ผจก.สาขา ผจก.หน่วย ด้านการขายขึ้นตรงต่อภาค |
วันหนึ่งสนญ.คือท่าน กรรมการผู้จัดการบริษัท เรียกให้ผม์ไปพบที่กรุงเทพ |
|
ให้ช่วยทำหน้าที่กำกับสาขาอื่นในภาคเหนือเฉพาะงานภายในคือ สุโขทัย ตะพานหิน หล่มสัก อุตรดิตถ์ เพชรบูรณ์ |
เรียกว่าต้องเดินทางไปดูแลกำกับ |
มอบรายได้เพิ่มอีก ตามสัดส่วนที่สาขานั้น ๆ รับ มีทั้งเบี้ยเลี้ยงค่าใช้จ่ายให้ |
ส่วนตัวผมไม่อยากไปทำหน้าที่นี้เลย เพราะสมุห์บัญชีตามสาขาที่กล่าวไว้เป็น เพื่อนกับผมทั้งนั้น |
ปกติ สาขาต่าง ๆ จะขึ้นต่อ ผจก.ภาค ซึ่งดูแลกำกับ ผจก.สาขา ผจก.หน่วย หัวหน้าหน่วย ตัวแทนขาย และท่านกำกับดูแล |
สมุห์บัญชีคือ ผมด้วย |
เวลาประชุม ผจก.ภาคจะมอบให้อบรมพนักงาน สาขาต่าง ๆ ที่เข้าใหม่เรียกว่า ท่านให้เกียรติมากมาย |
จนกระทั่งมีคำสั่งบริษัทเป็น หนังสือถึง ผมและสำเนาให้ ผจก.ภาคทราบ |
|
ผจก.ภาคได้เรียกไปปรึกษาที่เชียงใหม่ ว่า สนญ.มอบหน้าที่ให้ควบคุมกำกับดูแลเพื่อน ๆ จะเกิดปัญหาหรือไม่ |
เรื่องนี้ ผมเองก็ตอบท่านไม่ได้ |
|
กลับไปสาขา คิดไตร่ตรองหลายวัน และคงต้องทำตามที่ กรรมการผู้จัดการบริษัท(เจ้าของบริษัท)ท่านนี้เป็นคนเรียกผมเข้าทำงานขณะเป็นนักศึกษาปีสุดท้ายของวิทยาลัย..ให้เข้าทำงานและส่งให้ไปทำงานสาขาต่าง ๆ |
ท่านต้องการแบ่งแยกงานภายในสาขา ออกจาก ผจก.ภาคที่ควบคุมด้านการตลาด การวางงาน โดยแบ่งแยกงาน กิจการสาขาให้ งานภายในสาขาขึ้นตรงต่อ สนญ.บริษัทคือ การวางนโยบายที่บริษัทกำหนด |
ผมยอมรับว่าเครียดมาก |
ตรงกับคำโบราณว่า บ่าว 2 นาย...ทำไงดี... |
|
แนวนโยบายบริษัทเปรียบเสมือนเมฆฝนดำทมีน ทำให้บรรยาการทำงานอึมครึม น่าจะมีช่องทางที่แก้ไขได้ต้อง คิด ๆ แล้วคิดต่อไป |
|
ขอบคุณเพื่อนผู้เอื้อเฟื้อภาพ (re 301ครั้งที่ 3) |
st ผู้เข้าชม 2,287,536. |
ขอบคุณเพื่อนผู้แวะมาเยือน กรุณาเม้นท์/ทิ้งร่องรอยนิด ผมจะได้กลับไปเยี่ยมตอบแทนถูกครับ |
|
Diarist |
|
พี่ไวน์เริ่มต้นงานเขียนนี้
ด้วยภาษาที่งดงามมากครับ
เหมือนงานเขียนนิยายเลย
เมื่อก่อนมีเสือปล้นซึ่งน่ากลัวมาก
บางคนดังระดับประเทศเลยนะครับ
เช่น เสือใบ เป็นต้น