No. 1172 เก็บตก หมู่บ้านซันมาจิ Japan |
 |
|
นั่งเครื่องบินห้า ชม.กว่า หลับ ๆ ตื่น ๆ ไปกับบริษัททัวร์เพราะไม่อยากเหนื่อยเหมือนที่เราไปกันเอง |
เลยมองเห็นบางอย่างซึ่งก็ดีในอีกมุมมอง |
ไปที่บริษัททัวร์คัดสรรว่า สวยเป็นธรรมชาติ + ที่คนสร้างแม้จะเก่าแต่ก็ยังทรงคุณค่าและเกือบทุกทัวร์เขาให้เวลาเรา |
เดินเที่ยวเองเขาเพียงแนะว่า ควรไปแถว.....นี้นะ |
คราวนี้เช่นกันไปเที่ยวญี่ปุ่นเดือน ธันวาคม ซึ่งจะหนาวเย็นบางแห่งเจอหิมะ |
|
ภาพข้างล่าง เห็นติ่ง ยาว ๆ ยื่นอยู่ในทะเล คือ สนามบินคันไซ มีถนนสะพานสู่พื้นที่ใหญ่ ใกล้กับคำว่าเซ็นนังแล้วสนามบินคันไซเหมือน ๆ กับสนามบินอื่นมั้ง....  |
ลงจากเครื่องยืนรอรับกระเป๋าไม่นาน... ปั้มผ่าน ตม.ก็สะดวกมาก ๆ |
เขากำหนดไม่ถึง 2 นาทีก็เดินออกไปได้แล้ว ผมไปขณะที่เขา อยากให้เราไป |
เดินออกมาจากอาคารชนิดสลืมสลือ ง่วงนอน เมื่อยคอ เจออากาศหนาวเย็นมาก ๆเข็นกระเป๋า |
ขึ้นรถบัสคันโตโชเฟอร์กับไกด์เอากระเป๋าใส่ท้องรถเสร็จ |
|
รถก็ขับออกจากสนามบิน ไม่ค่อยเห็นอะไรเท่าใด น่าจะ 5 ทุ่ม ไกด์ก็เล่าตามวิธีการของเขาจำได้เคร่า ๆ ว่าออกจากสนามบิน |
คันไซ ซึ่งเป็นเกาะที่ญี่ปุ่นสร้างขึ้นเมื่อ 60 ที่แล้วยอมรับเลยว่าญี่ปุ่นเขามองไกลมาก ถมสูงจากระดับน้ำทะเล 5 เมตร |
 |
เขาใช้วิธีทิ้งขยะลงทะเล สร้างกำแพงคอนกรีดเป็นตอน ๆ ถมไปเรื่อย ๆ ใช้เวลากว่า 50 ปี(น่าจะหลังสงครามโลกครั้งที่ 2) |
 |
นั่งฟังไป เมียงมองผ่านกระจก เผื่อจะเห็นหิมะ 555 เป็นแบบนั้นจริง ๆ รู้ทั้งรู้ว่าเมืองโอซะกะขณะเราไปไม่มีหิมะหรอก |
รถวิ่งผ่านสะพานไปสู่แผ่นดินใหญ่ นานมากทางเรียบ |
 |
นึกแปลกใจ ญี่ปุ่นตอนนั้นคงไม่มี NGO ค้านการทิ้งขยะลงทะเลหรือเข้าไปต่อต้านมั้ง เลยได้เกาะใหญ่มาก ๆ |
และ เปิดเป็นสนามบินได้ในปี พศ.2537 คงมีคนตำหนิความคิดนี้.. เหมือนคนไทยต่างจังหวัดใช้สีแดงพ่นบนถนนที่โค้งคนขับรถจะได้ระวัง.. มีคนกลุ่มหนึ่งตำหนิว่า"ไม่ได้เรื่อง" หุ หุ.. แต่ปัจจุบันมีคนนำความคิดนี้ไปต่อยอด ใช้สีแดงชนิดกันลื่นพ่นแทนและแพร่หลาย (น่าคิดนะครับว่า คนมีความริเริ่ม แตกต่างกับลูกช่างติแต่ไม่ยอมทำอะไร.. คนชนิดไหนดีกว่า..? ) |
เมื่อกลับไทยแล้วเข้าอ่านในสื่อหลายแหล่ง เลยรู้ว่าพื้นสนามบินที่ถมสูง 5 เมตรจะทรุดลดต่ำปีละ 7 เซ็นติเมตรคงหาทางแก้ไขไว้ |
นัยตาเริ่มสว่างเพราะความอยากรู้อยากเห็น แต่ก็ไม่เห็นอะไร รู้เพียงว่า บัสขึ้นทางด่วนสูงขึ้นลงไปมานานเกือบชั่วโมง |
รถบัสพาไปจอดที่ลานจอด Ueno Flex Hotel Iga |
ไกด์แจกกุญแจห้อง เราก็ลากกระเป๋าไปขึ้นลีฟท์เอง ญี่ปุ่นไม่มี พนง.ช่วยเข็นกระเป๋า เป็นโรงแรมขนาด 3 ดาวเข็นกระเป๋า |
เบาแค่ 14 กก.ไม่เป็นไรเนาะเราเคยเข็นผักในตลาดกับเข็นชิ้นส่วนไม้เฟอร์นิเจอร์ในโรงงานมาแล้ว |
|
เปิดเข้าห้องนอน เปิดสวิทซ์ไฟ หาที่เสียบกุญแจไม่มี ไม่เป็นไร....เห็นพื้นที่ห้องพักแล้วอึ้ง.. ไปนิดหนึ่ง อืมมม.. ห้องเล็ก |
กว่าโรงแรมที่เมียนม่าซะอีก ดูซิครับ |
 |
ราคารวมอยู่ในราคาค่าทัวร์อยู่แล้ว เห็นราคาแว๊บ ๆ ข้างบน..ช่างเถอะเรามิได้มา นอนเป็นหลัก หุ หุ เอียงกระเป๋าลากไปวาง |
ข้างเตียงด้านใน ถอดรองเท้าแล้วเดินไปดูห้องน้ำ จุ๋มจิ๋มอีกแหละ |
 |
ดีน้า...เอ้ยดีนะพี่น้อง ใช้แล้วไม่ลื่นล้ม เพราะมือยันผนังห้องได้ทุกด้าน หุ หุ ภาพข้างล่างเป็นแผงไม้สีน้ำตาลคิดว่า |
 |
เป็นตู้เสื้อผ้า ไม่ใช่หรอกครับ เขาติดหลอก หรือติดให้โก้ ไว้แขวนไม้แขวนเสื้อมากกว่าแปรงฟันด้วยน้ำอุ่น สอดตัวเข้าไปนอน |
ดูเวลาแล้วตีหนึ่งญี่ปุ่นเขา มีเวลานอน 5 ชม.กว่าจะต้องตื่นเตรียมตัวไปกินอาหารเช้า 6 โมงเช้า..ออกเที่ยว 7 โมงครึ่ง |
ไม่นานก็หลับโดยมิได้อาบน้ำ แหะ ๆ มันหนาวนี่นา |
หลับได้แป๊บเดียวจริง นะ..รู้สึกแบบนั้น โรงแรมเขาโทรปลุกตอนตี 5 แปรงฟันโกนหนวดเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวเต็มชุด |
ลงไปข้างล่างเป็นคนแรกของทีมเที่ยว แต่เป็นคนที่สอง ไกด์นั่งอยู่ที่ล๊อบบี้เล็ก ๆ มอนิ่งกันแล้วก็ขอตัวออกไปดูภายนอก |
โรงแรมเริ่มสว่างแลวเช็คอุณหภูมิ 9 องศาเอง  กลับเข้าไปกินอาหาร ใช้ปากงับ ๆ ขนมปัง ทาแยม แบบโรงแรมทั่วไป |
|
ใส้กรอกเนียนนุ่ม ไม่ได้กลิ่นรสหมูหรือไก่เลยจิบกาแฟ พอไหวครับครู่เดียวเพื่อน ๆ ที่กรุ๊ปเดียวกันลงมาเต็มห้อง |
ส่วนใหญ่เขากินข้าวต้มกันผมไม่กินหรอกเบื่อ หุ หุ |
อิ่มกันแล้ว ก็ขึ้นรถ กระเป๋าเดินทางเข้าใต้ท้องรถเสร็จ รถก็ออก ไกด์ร่างสันทัดผมสั้นเกรียนว่าจะพาไปเมืองเก่าที่เคย |
มีนินจา เป็นบ้านไม้เหมือนเมืองเอโดะ...  รถพาไปเลยไม่ได้มองว่าไปทิศใดรู้แต่เพียงว่า |
นั่งรถ มองลงไปเห็น หมู่บ้านในหุบเขา หลายแห่ง สวย... สมกับที่ตั้งใจอยากเห็นคงเป็นแบบที่ทัวร์เล่าให้ฟังว่าจะนั่งรถผ่าน  |
หมู่บ้าน ในหุบเขา รอบกายหรือสุดสายตาจะล้อมรอบด้วยเทือกเขา แจแปนแอลป์ |
ดูเพลินๆ รถก็มุดเข้าอุโมงค์ลอดผ่านภูเขาสั้น ๆ แต่ไม่นานก็เจออีกแหละ ทีนี้เป็นอุโมงต์ยาวกว่าอุโมงขุนตานไทย รู้สึกทึ่ง |
ที่ญี่ปุ่นเขาลงทุนเจาะภูเขา จนนับไม่ถ้วน |
|
สองข้างทาง จะเป็นภูเขาสูงพอประมาณ ข้างทางจะเห็น valley หมู่บ้านในหุบเขา แบบนี้เยอะมากไม่รู้ผ่านมากน้อยเพียงใด |
ชั่วโมงกว่าได้มั้งก็ เข้าสู่ตัวเมืองเล็ก ๆ  |
รถบัสผ่านเมืองที่สงบเป็นบ้านไม้กับบ้านธรรมดาทั่วไป โทนสีตัวบ้านจะเป็นสีน้ำตาลดำรถไปจอดบนเนินสูงใกล้เมืองโบราณดูซิ |
ว่า เป็นอิฐหักหรือเปล่า หุ หุ เรากำลังจะไปดูหมู่บ้าน ซันมาจิ ซูจิจังหวัด กิฟู เป็นเมืองโบราณที่ทางการให้อนุรักษ์  ...  |
ไกด์ชี้บอกว่าซ้ายมือเป็น หมู่บ้านโบราณที่ใคร ๆ ก็อยากจะมาสัมผัสตรงมุมมีผ้าสีแดง ๆ เป็นร้านขายเนื้อย่าง อร่อยสุด ๆ |
บอกว่าญี่ปุ่นมีวัวท้องถิ่น WAGYU เช่น มัทสึซาเกะ.หรือโอมิกับโกเบเราชินกับเนื้อ โกเบ.. แต่ที่นี่ดีกว่าว่าเข้านั่น |
จำไม่ได้แหละว่าเนื้อที่มาจากวัวยี่ห้อเอ้ยพันธ์อะไร หุ หุ |
ถนนเล็ก ๆ ตรงโน้นมีร้านเหล้าสาเก...จ่ายเงินครีั้งเดียวเขาจะเสริฟสาเกถ้วยตะไลคงไม่โตขนาดถ้วย ไฮโล 555 ชนิดต่าง ๆ |
8-10 อย่างระวังนะจะเมา  |
ไกด์บอกว่าเมืองไม่กว้างแต่มีคนหลงกลับมาไม่ทันก็มีให้เดินตามไปที่สะพานสีแดงนะครับใครหลงถามว่า |
สะพานแดงอยู่ตรงไหน 555 เหมือนริขับแท๊กซี่ใหม่ต้องกลับไปตั้งหลักสนามหลวงไงงั้น |
ให้เวลาชั่วโมงครึ่งพอไหม...ครับ เจอกันที่รถครับ |
ภาพแม่น้ำ MIYAGAWA เล็กตื้นแต่สะอาดไหลผ่านตัวเมือง สวย.. |
 คนอื่นเดินไปที่อื่น เราเองใช้ชื่อส่วนหนึ่งว่า สายน้ำงั้นเดินเรียบริมแม่น้ำ  หันกลับไปมอง สะพานแดง ไม่ใช่สะพานแดงบางซื่อนะครับสังเกต... วิศวะกรออกแบบน่าจะคาดการณ์ว่า ต้องเติมออกซิเจนให้น้ำจึงเทคอนกรีตใต้ฐานสะพานสูงกว่าระดับน้ำถัดไป ให้ไหลลงคงจะช่วยให้น้ำมีชีวิตน่าจะทำให้ปลาอยู่สบายขึ้น(มั้ง) คงมีคนค้านอีกแหละว่า เองเห็นเมืองอื่นเขาดีซิ..หุ หุ.. เขาไม่ให้น้ำเซาะฐานสะพานมากกว่ามั้งก็คงใช่อีกแหละ  ...  |
ถนนในเมือง TAKAYAMA ไม่กว้างในหมู่บ้านซันมาซิชูจีเล็กแบบข้างบน สมัยโบราณคงมีการเดินไปมาถ้าคนมีเงินหน่อยคงใช้ |
ใช้รถลาก 300 กว่าปีคงจะมีนินจาอยู่สองข้างถนนมี  ลำรางน้ำใสไหลช้า ๆ เย็นไม่ต้องบอกคงจะรู้ คนเดินเอามือใส่กระเป๋ากางเกงไว้ |
 |
ส่วนผม ใช้ถุงมือสำหรับปั่นจักรยาน เฉยเลย ไม่อาย.. เพราะถือกล้อง แล้วใช้นิ้วโผล่กดปรับกล้องง่าย |
ชาวบ้านจะขายของกินเล็ก ๆ แบบภาพข้างล่าง.... ผมเห็นที่แรก แหะ ๆ คิดว่าลูกชิ้นปลาแบบสมุทรสาครคงคาว |
เค็มนิดหวานหน่อย  |
ที่ไหนได้เป็นแป้งหวานเค็ม อุ่น ๆ ก็อร่อยดี  |
หน้าบ้านเขาจะปลูกไม้ดอกไม้ดัดหรือที่เรียกว่าบอนไซสวยดี |
ข้าง่ล่างเป็นร้านขาย ของฝาก (มั้ง) ผมไม่ได้เข้าไป แหะ ๆ กล้วต้องเสีย ค่าโป้งขึ้นเครื่องบินแพง  |
ผมไปส่วนใหญ่จะซื้อของกินแบบข้างล่างเป็นหลัก.... ที่นั่นไม่อายที่จะใช้เงินเหรียญคนขายยินดีรับหมด  |
ข้างล่างผมว่าน่าจะเป็นคนไทยหรือจีนนี่แหละยอมเย็นหนาวใส่กางเกงขาสั้นแต่ใส่ถุงน่องยาวคงพอทนได้  |
เดินไปกับลูกสาวไปหลายที่คิดว่าใกล้ ๆ เขาซื้อของเล็ก ๆ น้อย ๆ ตุ๊กตาน่ารัก.....  |
ดูเวลาแล้วเกรงว่าจะหาทางกลับไม่ทันนัดหมายมีบริการรถลาก 3 คันได้มั้งรู้ราคามาก่อนแล้วพาเที่ยวคนละ  |
3,000 เยนหรือ 1,000 บาทเดินจ้ำเอาดีกว่า  |
แต่ให้ตายซิหลงทิศหลงทาง รีบเดินกลับดันไปทางเนินสูง ภูเขาเตี้ย ๆ ไปไกลเลยต้องรีบเดินกลับตัดทางลงมาเป้าหมาย |
ไว้ที่ สะพานแดง หุ หุ  |
ร้านนี้เป็นร้านขายเนื้อเสียบไม้ย่างมีชื่อไกด์แนะนำเข้าไปดูเห็นขายไอติม บรื๊อ..มะอาว เดินเข้าไปข้างใน  |
เอะไม่ใช่เดินออกมาหน้าร้านเจรจาด้วยภาษาอังกฤษปนภาษามือใช่แล้วที่นี่เอง |
เราซื้อมาสองไม้เล็ก ๆ นั่งกินตรงเก้าอี้หน้าร้าน อร่อยจริง... ขอบอก  |
เท่าที่รู้คนญี่ปุ่น เขาจะนั่งกิน ไม่เดินกินแบบฝรั่ง หรือพวกเราบางคน แหะ ๆ ถ้าเดินกินมารยาทไม่ดี |
เราหรือหลายคนไม่อายที่จะซื้อของกินชิ้นเล็ก ๆ เขายินดีขาย.. แรก ๆ ก็เขินเพราะอยู่ในไทยต้อง 5 หรือ 10 ไม้  |
ที่นั่น คนไทยคงไปเยือนเยอะ เลยมีป้ายภาษาไทย ไว้ด้วย  |
เขาเรียกว่า เนื้อฮิดะย่าง ไม้ละ 300 เยน ก็ 100 บาท |
เดินไปเดินมาชักหิวน้ำดำเลยแวะซื้อที่ร้านขายเนื้อย่าง.... ถ้าจำไม่ผิด คิดเป็นเงินไทย 17 บาทถูก..  |
เพื่อนร่วมเที่ยว 33 คนน่ารักมาก....ตรงเวลานั่งรถไปอีกแห่งเห็นอากาศครึ้ม ๆ น่าจะเป็นหิมะโปรยนั่งรถมาตอนเช้า |
ว่าที่เราจะไปหิมะตกหนักรถไปไหนไม่ได้ ... ใจผมนึกเลยว่าเอาแล้ว...  |
ขอเพียงแต่โปรยปรายให้ขาวโพลนก็พอ... เคยเจอแห่งหนึ่งพื้นเป็นนำแข็งลื่นเดินกางขาใช้เวลาเดินนาน |
อยู่นานไม่ได้ต้องเข้าที่อุ่นถอดเสื้อคลุมแข็งโป๊ก ยังกับหนังควายไบซันถุงมือก็แข็ง ผ้าพันคอ เปียกด้วย น้ำมูก 555 |
ใจคิดเลยว่าอย่าเจอแบบนั้นเลยขอเป็นหิมะโปรยปรายให้เห็นก็พอ |
ดูต่อไปว่าจะเจอหิมะหรือเจอพื้นเป็นน้ำแข็ง หรือเปล่าหนอ..... |
|
ขอบคุณเพื่อนผู้เอื้อเฟื้อภาพ (Re 752/) |
st ผู้เข้าชม 2,480,215. |
ขอบคุณเพื่อนผู้แวะมาเยือน กรุณาเม้นท์/ทิ้งร่องรอยนิด ผมจะได้กลับไปเยี่ยมตอบแทนถูกครับ |
|
Diarist |
น่าเห็นใจประเทศเป็นเกาะแล้วคนมีจำนวนมากขึ้น
สร้างตึกสูงก็ไม่ได้เพราะมีแผ่นดินไหวบ่อย
เขาก็ต้องสร้างเกาะในแนวราบแบบนั้นแหละพี่ไวน์