: กะว่าก๋าแนะนำหนังสือ - บันทึกของรินไซ :
: บันทึกของรินไซ :เขียน - Irmgard Schloeglแปล - จงชัย เจนหัตถการกิจ
บันทึกของรินไซ คือ บันทึกคำสอนของท่านรินไซ พระเซนชาวจีน ซึ่งมีชีวิตอยู่จนถึงช่วง พ.ศ. 1409 ท่านเป็นศิษย์สายตรงของท่านฮวงโป (โอบากุ) หนังสือเล่มนี้ถูกบันทึกขึ้นโดยลูกศิษย์ของท่านรินไซ ว่าด้วยรูปแบบวิธีการสอน บทสนทนาระหว่างตัวท่านกับครูบาอาจารย์ ตัวท่านกับลูกศิษย์ ถ้อยคำดังกล่าวมีทั้งการอธิบายอย่างชัดแจ้ง ตรงไปตรงมา เด็ดขาด ฉับพลัน มีทั้งประโยคที่ชวนให้ผู้ฟังงุนงงสงสัย
แก่นคำสอนของท่าน คือ
1.จิตหนึ่ง จิตเดิมแท้ ธรรมะ พุทธะ 2.การตรัสรู้ การรู้แจ้ง การเข้าถึงธรรม
ท่านสอนให้ศิษย์ตระหนักใน ‘ความว่าง’ ความว่างที่ไม่ได้แปลว่าไม่มีอะไร หรือไม่มีสิ่งใด หากแต่เป็น ‘ความว่าง’ ในความหมายของ ‘อนัตตา’ หรือการไม่ยึดติดมั่นหมายในตัวตน (ความว่างเปล่าจากตัวตนที่แท้จริง) คือ ทุกสิ่งนั้นมีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นวัตถุ สิ่งของ กายสังขาร และจิต มีอยู่แต่มีอยู่อย่างไม่เที่ยงแท้ แปรเปลี่ยนไปตลอดเวลา สืบเนื่องไปไม่หยุดหย่อน ด้วยเหตุปัจจัยที่สั่งสมกันมา
วิธีสอน รูปแบบการปฏิบัติที่ท่านรินไซกระทำต่อศิษย์ จึงมุ่งตรงไปที่เรื่อง ‘ความว่าง’ อย่าง ‘อนัตตา’ เป็นหลัก และการรู้แจ้งที่เกิดขึ้นนั้น ต้องเกิดจากตนเอง มิใช่คอยพึ่งพาสิ่งอื่น หรือหวังว่าอาจารย์จะนำพาไปสู่ประตูแห่งความรู้แจ้ง
วิธีสอนของท่าน คือ การกระตุ้นเตือนให้ศิษย์ทุกคนกลับมาอยู่กับปัจจุบันขณะของตนเอง ให้ข้ามพ้นคัมภีร์ คำสอน ความเชื่อ รูปแบบพิธีกรรม ธรรมเนียมต่าง ๆ บางครั้งท่านใช้การตะโกน การตี การตบ เพื่อทำให้ศิษย์ตื่นจากความหลงผิด ใช้คำสอนเชิงเปรียบเทียบ ใช้ภาษาและถ้อยคำที่ขัดแย้งกัน หรือการใช้สัญลักษณ์ เพื่อให้ศิษย์พ้นไปจากการแสวงหาคำตอบด้วยการคิด หรือการจำมาตอบ สอบตามตำรา แต่ให้รับรู้และค้นพบ ‘คำตอบ’ ด้วยการตระหนักรู้จาก ‘ปัญญา’ ภายในตนเอง‘การตระหนักรู้’ หรือ ‘การตรัสรู้’ ในแนวทางของท่าน คือ การขจัดความหลงผิด แยกธรรมออกจากมายา เห็นอวิชชาอย่างชัดแจ้ง และนำไปสู่การทำลายความยึดมั่นในสิ่งทั้งหลายทั้งปวง รวมทั้ง ‘ตัวตน’ ที่เรายึดมั่นถือมั่นมาโดยตลอดด้วยเช่นกัน
ธรรมที่แท้จริง จึงเป็นดั่งธรรมกถาที่ว่า“สัพเพ ธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ”“สิ่งทั้งหลายทั้งปวง ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น” นั่นเอง
หนึ่งในคำสอนที่ท่านกล่าวไว้“ใช้ชีวิตไปตามธรรมดา”ฟังดูง่ายหรือยากหากต้องทำตาม เพราะในความธรรมดานี้เอง บางคนกลับคิดว่าเป็นเรื่องยากมากที่จะทำได้ ในความธรรมดานี้เอง ที่หลายคนยังสงสัยว่ามันคืออะไร
ผมอ่านหนังสือเล่มนี้เมื่อ 25 ปีที่แล้ว และอ่านแทบจะไม่เข้าใจเลย วันนี้ผมอ่านหนังสือเล่มนี้จนจบอีกครั้ง ใช่ว่าจะอ่านเข้าใจได้ทั้งหมด เพียงแต่ในวันนี้ ผมเลิกสงสัยแล้วว่าทำไมผมจึงสงสัย
Create Date : 08 มีนาคม 2566 |
Last Update : 8 มีนาคม 2566 5:33:21 น. |
|
14 comments
|
Counter : 721 Pageviews. |
|
|
|
|
ผู้โหวตบล็อกนี้... |
คุณtanjira, คุณหอมกร, คุณkae+aoe, คุณnonnoiGiwGiw, คุณThe Kop Civil, คุณตะลีกีปัส, คุณปัญญา Dh, คุณโฮมสเตย์ริมน้ำ, คุณเนินน้ำ, คุณอาจารย์สุวิมล, คุณนายแว่นขยันเที่ยว, คุณสองแผ่นดิน, คุณกิ่งฟ้า, คุณnewyorknurse |
โดย: tanjira วันที่: 8 มีนาคม 2566 เวลา:7:40:25 น. |
|
|
|
โดย: tanjira วันที่: 8 มีนาคม 2566 เวลา:7:41:35 น. |
|
|
|
โดย: หอมกร วันที่: 8 มีนาคม 2566 เวลา:7:44:13 น. |
|
|
|
โดย: ตะลีกีปัส วันที่: 8 มีนาคม 2566 เวลา:10:06:07 น. |
|
|
|
โดย: ปัญญา Dh วันที่: 8 มีนาคม 2566 เวลา:10:20:19 น. |
|
|
|
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 8 มีนาคม 2566 เวลา:21:16:59 น. |
|
|
|
โดย: สองแผ่นดิน วันที่: 8 มีนาคม 2566 เวลา:22:16:48 น. |
|
|
|
โดย: กิ่งฟ้า วันที่: 9 มีนาคม 2566 เวลา:1:02:18 น. |
|
|
|
| |
คงใช้่ครับ เพราะจิตสงบไม่มีลักษณะต่อต้านตนเองหรือต่อต้าน
คนอืนมีจิตเมตตาปรารถนาดีต่อผู้อื่น
จึงมีความสงบสุข
...
จนกว่าลุงจะเดินจากไป หุ หุ นี่ถือว่ารักชาติได้นะผมว่ายอมให้
จิตไม่สงบเพื่อส่วนรวมจะได้ มีความสุขตามอัตภาพของตน