No. 1197 ชีวิตในป่า (2) |
 |
เสียงไก่ป่าร้องจาก ริมห้วยฝั่งโน้นเสียงน้ำในห้วยไหลไม่ขาดสาย  |
นึกถึงเมื่อวานได้ช่วยพี่พะก่อ เกี่ยวข้าวไร่เหนื่อยสุด ๆ ได้มาอยู่กับพี่เก่อเกือบสองเดือนเพราะพี่ก่อไปพบผมนอนสลบ |
ริมลำห้วย พี่เล่าให้ฟังเพราะตอนนั้นผมบาดเจ็บไปทั้งตัว หัวแตกเลยแบกลากลงมาจากดอยอีกลูก |
ตัวผม...หนักมากเปล่าพี่ |
หนักมาก 555 เอาตัวพาดบ่าดึงแขนสองข้างไว้ข้างหน้า น้องก็เห็นหัวแม่ตีนเป็นแผลทั้งสองข้างแต่พี่ต้องลากไม่งั้น |
น้องตายแน่แถวนั้นมีเสือตัวไม่โตก็จริง แต่อีเห็นหลายตัวแมวป่าด้วย..มันชอบแทะกวางที่พี่ยิงไว้แต่แบกไม่ไหว |
นอนนึกย้อนหลังไปพอจำได้เลา ๆ |
เสียงเด็กพูดใกล้ตัว แต่ฟังไม่ค่อยถนัด. ความหนาวเย็นจับไปทั้งขาปลายเท้าพยายามขยับนิวกับขาแต่ทำไม่ได้ |
ขอน้ำกินหน่อย.... |
ก่ำ ยกหัวพาดขา.. เอ้า..น้องอ้าปากกินน้ำ |
ก่ำเอาน้ำในกระบอก ค่อย ๆ เท. น้ำค่อย ๆ ไหลลงคอไปได้อีกหน่อย....แล้วก็รู้สึกหลับผลอยไป... |
อากาศหนาวเย็น.....ลืมตามองไม่ค่อยชัด ผมอยู่ที่ไหนครับ |
. น้องตื่นแล้ว ชายกลางคนพยุงหลังให้ลุกนั่ง ที่นี่เขาเรียกว่า บ้านก๊อติ...น้องหลับไปสองวัน...คงหิวไปกินข้าวก่อน |
ถูกพยุงออกนอกตัวบ้าน เดินไปใกล้ตลิ่ง อากาศเย็น ทรุดตัวนั่งคนแคร่ไม้ไผ่เตี้ย บนโต๊ะสูงกว่าที่นั่งนิดหน่อยมีจานอาหาร |
น้องกิ๋นข้าวกับต้มผักแคบ(ตำลึง)ใส่ปลาย่างกินนัก ๆ เน่อจะได้มีแฮง |
ผมชิมน้ำต้มผักตำลึง น้ำอร่อย ตักข้าวเม็ดออกสีแดงกินจนหมด |
เด็กชาย จะตักข้าวให้อีก |
ก่ำ พอก่อน. กินมากเปิ้น(เขา)จะกั๊ดต้อง(จุกท้อง) เอาไว้มือเย็นค่อยกินอีก |
น้องมาจากไหน.. |
อยู่ในเมืองเดินหลงป่า 2 วันกินน้ำห้วยแล้วตกจากดอยลงน้ำแล้วไม่รู้สึกตัว |
ไม่เป็นไรน้องพักที่นี่ จนกว่าจะหายและจำได้ผมจะพาไปส่งในเมือง |
พี่พะก่อเล่าให้ฟังว่าไปพบผมนอนหงายบนริมลำห้วยท่อนล่างอยู่ในน้ำ แล้วพลิกตัวพยายามคลานขึ้นฝั่ง แต่คลานได้นิดเดียว |
ก็แน่นิ่ง พี่พะก่อลงจากเนินตลิ่งดูเห็นท้ายทอยมีแผลแตก เลยแบกกลับมาที่บ้านพามาลำบากมากเพราะไกลจากนี่ |
มากแบกลากลงดอย 2 ดอยพี่พะก่อเหนื่อยสุด ๆ |
 |
ถึงบ้านก็เอาน้ำล้างเช็ดตัว เห็นแผลแตกที่หัวดูแล้วคงเจ็บหน่วง ๆ นั้น พี่พะก่อ เก็บหญ้าเมืองวาย(สาบเสือ) เอาใบมาตำจน |
แหลกเอาดินเขม่าก้นหม้อสีดำ(มินหม้อ)ผสมโป๊ะอัดไปที่แผล เลยไม่บวมไม่เน่า (ตัวผมคือไวน์ฯ ตอนเด็กเคยถูกตอไม้ตำเท้าป่าละเมาะหลังสนามกีฬาเชียงใหม่เคย ใช้ใบนี้ขยี้โป๊ะ แสบสุด ๆ เลือดหยุดไหล) |
วันที่สองนับจากที่ฟื้น สังเกตเห็นบ้านที่อยู่ เป็นบ้านเตี้ย หลังคามุงด้วยใบตองตึก(ใบพลวง) ฝาบ้านเป็นไม้ไผ่ผ่าขัดแตะ |
มีหน้าต่างสองบานมีห้องนอน สองห้องกับ ห้องครัว. |
ที่ห้องนอน มีฟางอัดแน่นสูงเสมอเข่า ขัดด้วยไม้ไผ่กันเลื่อนใช้เป็นที่นอน |
ครัวพื้นเป็นดินอัดแน่นเหมือนกับในห้องนอน มีหินสามก้อนวางเป็นเตาไฟ มีไม้ฟืนวางเรียงค่อนข้างดีหยิบใช้ง่าย |
|
เหนือเตาไฟห่าง ๆ พริกแห้งเสียบด้วยไม้ แขวนใกล้กับ แผงปลาย่างสีน้ำตาลดำ เลยไปใกล้ประตูข้าวโพดแห้งมัดติดกันเป็น |
เป็นพวงเต็มไปหมด. กระบุง ตระกร้า แขวนข้างฝาหลายใบ |
|
ตัวบ้านอยู่บนตลิ่งลำห้วยอยู่ข้างล่าง น้ำใสไหลดังจุ๋งจิ๋งยามน้ำไหลถูกก้อนหินใหญ่ พื้นน้ำใสเห็นก้อนกรวดเล็กเต็ม |
ตัวบ้านหันหน้าไปกับลำห้วย ด้านข้างซ้ายไปทางทิศตะวันตกบ้านหน้ากับด้านหลังเป็นเนินเขา เป็นป่าละเมาะทั้งสองฝั่งห้วย |
ลำห้วยผ่ากลางคดเคี้ยวไปทางตะวันตก  |
ยามเย็นดวงอาทิตย์จะตกลับขอบดอย. หมอก และความเย็นปกคลุมไปทั่วหุบเขาเราสามคนนอนเล่นบนแคร่ไม้ไผ่ที่เดียว |
กับแคร่ที่กินข้าว ดูดาว |
แต่ความว่างเปล่า ในหัว ทำให้จิดใจสบาย แต่ก็เกรงใจพี่พะก่อที่ให้ที่พักอาหาร มาอยู่กับสองพ่อลูกเกือบสองเดือน |
กระดูกที่เคยปวด กล้ามเนื้อแผลหายดีก็พยายามเดินตาม เด็กชายก่ำกับพี่ก่อไปตามดอยใกล้ ๆ |
เลยอยู่ทำไร่กับพี่ก่อไปก่อน |
 |
ตื่นมาเช้ามืดช่วยก่ำหุงข้าว เอาไข่ไก่ป่าลูกเล็ก 6 ใบต่อยใส่ชามดิน ซอยพริกขี้หนูเขียวซอยหอมบั่ว(หอมแดง)แดงใส่ไป 3 หัว |
หยิบผงเกลือสีมอ ๆ ใส่หยิบมือใช้ช้อนไม้ตีจนแตกเข้ากันดี รอข้าวที่หุงสุก เจียวไข่เป็นแผ่นโตยกไปกินที่แคร่ไม้ไผ่ |
ริมลำห้วยเราสามคนกินข้าวเช้ากันเงียบ ๆ เตรียมตัวไปขนฟ่อนข้าวไร่บนดอยลงมาที่บ้าน |
นั่งพักบนแคร่ไม้หน้ากระท่อมหลังเล็ก แสงแดดสาดแสงผ่านแมกไม้ลมพัดเบา ๆ หมอกที่ลอยแผ่นบางเลื่อนไหลงเคลียคลอ |
โขดหินข้างลำห้วย แตกเป็นสองทางหมอกผสมไอน้ำของลำห้วยที่ลอยขึ้นมาเป็นหมอกหนาขึ้นอีก |
เสียงน้ำในลำห้วยไหลผ่านกิ่งไม้หักทอดยาวขวางน้ำดังคลิก ๆ |
พี่พะก่อ หมอกจะลอยแบบนี้ อีกกี่เดือนครับ |
งามเหรอ |
ครับ สวยจริง ๆ |
ถ้าเป็นหน้าเกี่ยวข้าว บนดินมีความร้อนอยู่บ้าง ผสมความชึ้นในต้นไม้ลำห้วยจะเกิดหมอกลอยที่แอ่งดอยสองเดือนได้มั้ง |
ไป... เราไปแบกฟ่อนข้าวบนดอย ลงมาไว้ที่ลาน... พี่พะก่อชวน |
เอ้อ ก่ำ.. ยังไม่ต้องตามไป. เก็บจานชามของกินบนแคร่ไปเก็บให้เสร็จแล้วค่อยตามไปนะ |
เราเอาไม้คานทำด้วยไม้ไผ่ซาง หนาตรงกลาง ปลายสองข้างบางลงปลายไม้คานแหลมทั้งสองข้างแบกไปคนละอัน |
ไต่ตะลิ่งหน้าบ้านลงลำห้วย ไอน้ำลอยเรี่ย ๆ ปลาตัวเล็ก ว่ายวิ่งไปมาคงจะกลัวยักษ์สองคนจับมากิน |
เท้าเหยียบลงน้ำ ความอุ่นของน้ำทำให้สบายเท้า ไม่เย็นเหมือนตอนนั่งกินข้าวเช้าเหยียบไปถูกกรวดอยู่ใต้น้ำดังเอี๊ยดอ๊าด |
น้ำลึกแค่เข่า จึงต้องดึงขากางเกงสะดอขึ้นมาติดไม่ให้เปียก |
ชายตลิ่งเป็นดินละเอียดปนทราบ นุ่มเท้ามีหญ้าขึ้นแซมบ้าง เราเดินขึ้นดอยชันต้องโน้มตัวไปข้างหน้า เมื่อผมโน้มตัวไปข้างหน้า |
รู้นึกเดินง่ายไม่หนักเหมือนเดินตรง..ผ่านก้อนหิน ตอไม้เก่า ไม่นานก็ถึงฟ่อนข้าวที่มัดไว้ |
|
กาน... เอาไม้หลาว(คาน) แทงลงไปที่ฟ่อนข้าวแบบนี้ จนให้โผล่แล้วเอาฟ่อนเข้าวางกับพื้นให้ ไม้คานโผล่โด่เด่ |
น้องกานเอาฟ่อนข้าวใหม่ยกขึ้นแทงลงที่ปลายไม้คาน แบบนี้.. แล้วก็ยกลงเสมอกัน  |
ทำตามที่พี่ก่อสอนให้ ใส้มัดฟ่อนข้าวใส่ข้างละ 2 ฟ่อนยกใส่บ่าพอไหวเดินลัดเลาะใต่ลงดอยไปวางไว้บนลานกว้างเรียบริมห้วย |
เดินกลับพี่ก่อหาบฟ่อนข้าวเต็มคานหน้าหลังประมาณ 8 ฟ่อนดูแล้วหนักน่าดู  |
เราสองคนช่วยกันหาบลงดอยไปเรื่อย ๆ ดื่มน้ำในกระบอกไม้ไผ่ที่ น้องก่ำนำมาแขวนไว้บนตอไม้ |
เราหยุดพักตอนดวงอาทิตย์ตรงหัว ดีที่อากาศยังเย็นเหงื่อที่ออกแห้งไว้ กลับไปกินข้าวกลางวัน |
น้องกานดูจะไม่เคยทำงานหนัก ตอนบ่ายพักก็แล้วกันวันพรุ่งนี้ค่อยเริ่มใหม่ |
ครับพี่ |
ผมตอบพี่ก่ำง่าย ๆ..เป็นงานหนักมากบ่าระบมเดินขึ้นดอย ลงดอยน่องปวดสุด ๆ ผลัดเสื้อผ้าลงอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อกางเกงขาก๊วย |
แล้วงีบนอนที่แคร่ไม้ใต้ต้นไม้ใหญ่ริมลำห้วยหลับไป |
|
ขอบคุณเพื่อนผู้เอื้อเฟื้อภาพ(ภาพแทนกับถ่ายเองภูมิประเทศคล้ายกัน) (Re No. 08 No.739) พิมพ์ครั้งที่ 3 |
st ผู้เข้าชม 2,545,745. |
ขอบคุณเพื่อนผู้แวะมาเยือน กรุณาเม้นท์/ทิ้งร่องรอยนิด ผมจะได้กลับไปเยี่ยมตอบแทนถูกครับ |
|
งานเขียน เรื่องสั้น (ขนาดยาวปานกลาง) |
นำมาเขียนนิยาย ก็เขียนได้สนุกเลยครับ