No. 996 หลง(ไหล) ป่าแม่วาง @ เชียงใหม่ (ตอนจบ) |
 พวกเราทำงานในเมืองออกกำลังกายให้ร่างกายแข็งแรง เมื่อมีโอกาสก็จะเดินทางท่องเที่ยวตามป่าเขาเท่าที่จะทำได้ |
อาชีพแตกต่างกัน เป็นครูสอนภาษา นายตำรวจ คนชุดดำลูกจ้างบริษัท ถัดมาช่างติดวอลเปเปอร์ คนสุดท้าย บังทำรถตู้ทัวร์ให้เช่าหลายคัน คนขับขาด บังขับเองก็เอานี่กลุ่มสวนหลวง ร.9 กท. แต่ข้างล่างที่เล่า อีกกลุ่มนะครับชอบป่าเขาเหมือนกัน ////// ไง นพ นอนในป่าแล้วไม่มีถุงนอน |
ไหวพี่ไวน์ ผมว่าอากาศเย็นดีกว่าร้อน เมื่อคืนกลัวเย็นมากเลยใส่ถุงเท้าได้ผ้าขาวม้าครูฉัตรห่มสบายวันหลังผมต้องระวัง |
ต้องระวัง ตอนนั้นลืมตัวหนีไฟ เลยลืมถุงนอนเมื่อคืนนอนในตูบกับอ้ายเป็งสบายๆ ไม่เสียวปลายเท้า |
กล้วอะไรเหรอนพ |
ครูคิดดู เรานอนในป่าปลายเท้าโผล่ เกิดหมี เสือค่อยย่องมาดึงอะไรจะเกิดขึ้น |
คุณนพ ไม่ต้องกลัวหรอก อ้ายเป็งอยู่ในป่านี่มา 3 ปีไม่เคยเจอเสือมีแต่ไก่ป่า ฟาน(เก้ง)หมูป่าพอมีบ้างคงถูกจับกินหมด |
อ้ายเป็ง เขาว่าหน้าแล้ง ไม้ไผ่ถูกลมพัด มันสีกันแล้วเกิดไฟได้เปล่า |
ยังไม่เคยเจอครับคุณโต เป็นไปได้ยาก จะมีพวกเดินป่าจุดไฟพอเดินทางต่อดับไฟไม่หมด ถ่านที่แดงถูกขี้เถ้าปิดไว้พอ |
เจอลมพัดขี้เถ้าก็เริ่มลุก ทีนี้มันก็ลามลุกนะคุณโต |
แล้วพวกชาวไร่ จุดไฟเผาป่าจะขยายพื้นที่ปลูกพืชก็มีไม่ใช่เหรอ |
ยังมีบ้าง แต่น้อยลงทางการออกตรวจบ่อยมั้ง อีกอย่างผมเดาเอานะ บนดอยไม่มีถนนนายทุนเลยไม่จ้างใครเผาป่าเอาที่ดิน |
ว่าแต่คำเป็ง ปลูกพริก แบกปุ๋ยขึ้นมาไง ลูกหนึ่งหนักนา |
อ๋อ ตอนมาอยู่ใหม่ไม่ต้องใส่ปุ๋ย ดินดีนะครับครู พออยู่นานเข้า ผมเดินขึ้นไปข้างบนมุ่งไปบนดอยทางโน้นเจอถ่ำมีค้างคาว  |
อยู่เลยปีนเข้าไป เอาขี้ค้างคาวมา มันเค็มมากใส่นิดเดียวพริกก็งามอีกอย่างขี้มันเบาสะดวกหน่อย |
แล้วมีเยอะหรือเปล่า |
ไม่เยอะ ถ้าผมใช้คนเดียวคงหลายปี แต่ดูแล้วมีคนอื่นเขาไปขนด้วยผมเจอขี้ใต้ของคนอื่นนะ เลยรู้ว่าแต่ไม่รู้ว่าใครเท่านั้น |
แหละ ยังกลัวเขาพากันมาหลายคน เสียดายแย่เลยแหละ |
เรานั่งคุยกันมืด ๆ ยามอรุณจะรุ่ง ไม่นานแสงอาทิตย์ค่อย ๆ ส่องเงามืดของแอ่งดอยจางหายต้นไม้ใหญ่น้อยปรากฏขึ้นดู |
 เขียวสดใสเสียงน้ำในลำห้วยยังคง ส่งเสียงดังเป็นระยะไม่ขาดสาย |
ครู...ผมว่าพวกเรา ทำอาหาร กินกัน แล้วค่อยออกเดินทางกันจะได้มีแรง บ่าย ๆ ค่อยหยุดพักกินข้าวเที่ยงกลางทางกัน |
เดินลงดอยน่าจะไม่เกิน หก ชม. |
ได้เลย คำเป็ง จะให้พวกผมแบกพริกแห้งไปส่งด้วยก็ได้นะ |
555 ไม่ต้องหรอกครู วันนี้เดินตัวเปล่ากันดีกว่าเดี๋ยวผมจะไปหาผักมาทำกับข้าวผมแช่ข้าวเหนียวไว้คุณนพคุณโตช่วยนึ่ง |
ข้าวให้ผมหน่อยนะ |
ผมไปด้วย คำเป็ง มีผักหวานเปล่า |
มีแต่อยู่ไกล เดินไปอีกดอย เราเก็บผักที่ ปลูกไว้ดีกว่า อร่อยนะคุณไวน์ |
/////////// |
|
ผักพวกนี้ คนที่มาทำไร่ทิ้งไว้คงนำมาปลูกไว้ ผมเอาต้นผักเซียงดาต้นหอมผักชีใบยาวกับกิ่งผักหละ(ชะอม)มาชำ |
ไว้ตอนสองปีก่อนโน้น นั่นไงต้นผักเซียงดา คุณไวน์กินเป็นเปล่า  |
เป็นซิคำเป็ง ผมคนเจียงใหม่นี่นา 555 มันขม |
ใช่ ขมผมเลยเอาพันธ์ข้างล่างปลูกบนดอย ขมน้อยกว่าพันธ์ป่างั้นเก็บผักเซียงดาแกงใส่เนื้อย่างก็ได้ |
เอ ผมว่า แกงใส่ปลาย่างดีกว่า พอดีครูฉัตรเอาติดตัวมาด้วย |
ดีเหมือนกัน งั้นเรา ย่างเนื้อห่อไปกิน กลางวันก็ได้ |
ที่ครัวของอ้ายคำเป็ง ก็ในตูบที่เป็นดินอัดแน่นเรียบ ครูฉัตรเอาพริกแห้ง 5 เม็ดแช่น้ำพอนิ่มใส่ครกพร้อมหอมกระเทียมเกลือ |
ตำไม่นานก็แหลก |
ใส่ถั่วเน่าแผ่นปิ้งหรือ ใส่กะปิดี |
กะปิหมด ผมไม่ค่อยเอามา ผมปิ้งถั่วเน่าแผ่นใส่ดีกว่า |
ถั่วเน่าแผ่นอ้ายเป็ง ปิ้งเหลืองหอม กรอบใส่ในครก 2 แผ่นถูกครูฉัตรโขลกไม่กี่ทีก็ส่งกลิ่นหอมอ้ายเป็งตั้งหม้อมิเนียมเอาน้ำพริก |
ลงผัดไอร้อนหอมตักน้ำหน่อยน้ำเดือดตักใส่ครกใช้สากคนไปมา ยกเทใส่หม้อแกงปิดฝาเสียงน้ำ |
น้ำเดือดขลุก ๆ ไอร้อนลอดออกมา พร้อมกลิ่นหอมของพริก  |
อ้ายเป็งเปิดฝา ใช้มือบิ หัก ปลาช่อนย่างรมควันครูฉัตรปิ้งไฟจนกรอบ 3 ตัวใช้ทัพพีคนเห็นเนื้อปลาสีเหลืองปนออกมาถูกน้ำแกง |
ร้อน ๆ เพิ่มความหอมเข้าไปอีก |
|
ครูฉัตร ช้อนยอดผำเซียงดาที่เด็ดแช่น้ำทิ้งไฟ ใส่ในหม้อ เอามือรูดผักหละ(ชะอม)โปรยตามลงไปผมเห็นแล้วเสียว |
ก็ยอดชะอมมันไม่อ่อนเท่าใด มีหนามโผล่ แต่มือครูฉัตรไม่ยักเป็นไรอ้ายเป็งใช้มีปาดมะเขือนส้ม(มะเขือเทศลูกเล็ก) ลูกลม |
สีแดงออกส้มใส่ไปอีก 7 ลูก แล้วคนไปมา ปิดฝาหม้อ |
ไม่ถึง 5 นาทีเสียงหม้อแกงเดือดคลั่ก ๆ ไอ กับกลิ่นลอยออกมาอ้ายเป็บใช้ทัพพีคนตักขึ้นชิมแล้วยกขวดน้ำปลากดคอ |
ขวดกระฉอกไปหลายฉึกเพิ่มความเค็ม |
ส่งทัพพีให้ ผมเลยตักน้ำแกงขึ้นชิม โห น้ำมีรสเผ็ดนิด หอมถั่วเน่าปิ้งกลิ่นหัวหอมปนรสหวานนิดคงมาจากปลาช่อนย่างที่บิ |
ใส่ จนต้องยกนิ้วให้อ้ายเป็งผู้ปรุงน้ำแกง  |
นพ ยกหม้อแกงไป วางบนแคร่ไม้ไผ่ หน้าบ้าน โตเทข้าวเหนียวนึ่งร้อน ๆ ใส่กาละมังจัดแบ่งใส่จานแต่ละคน |
แสงแดดอ่อน สาดไปทั่ว พวกเราขึ้นไปนั่งบนแคร่ แต่ไม่หมดก็มันเล็ก ผมโตนพขายาวหน่อยเลยยืนชิดแคร่ไม้ไผ่ |
ครูฉัตรกับอ้ายเป็งนั่งข้างบน แสงอาทิตย์ส่องถูกหัวครูแสงสวย |
ทีนี้ต่างคน ต่างใช้ช้อนตักแกงใส่ปาก ตามด้วยข้าวเหนียวอุ่น ๆเข้าปากต้องบอกว่าอร่อยมาก |
ปกติแล้วผมไม่ค่อยกิน ผักเซียงดา แหะ ๆ มันขม แต่ที่บ้านอ้ายคำเป็งรสขมนิดเดียวเมื่อเคี้ยวผสมชะอมรสเปรี้ยวมะเขือเทศ |
ช่างเข้ากันจริง ๆ บอกตรง ๆ เช้านี้กินข้าวเหนียวอร่อยอิ่มจนจุกอ้ายเป็งห่อข้าวเหนียวด้วยใบตองตึง(ใบพลวงสด) 5 ห่อ |
ตอกมัดแน่น ส่งให้แต่ละคนใส่เป้  |
ส่วนเนื้อที่ย่าง เป็นริ้วยาวตากแห้ง อ้ายเป็งจัดการปิ้งบนเตาซ้ำให้อุ่นห่อใบตองตึกกับน้ำพริกแดงใส่ก๋วย(ตระกร้าไม้ไผ่)ประจำตัว |
พวกเรา ต่างเก็บของใส่เป้ ดับไฟ แล้วออกเดินทางสู่เบื้องล่าง อ้ายเป็งเดินนำหน้า ตามด้วยครูฉัตรเป็นแถวเรียงหนึ่ง |
ลงดอย ขึ้นดอย บางครั้งก็ต้องลุยน้ำห้วยที่เย็น จนต้องวักขึ้นล้างหน้าแขนทำให้สดชื่นขึ้นมาก  |
อ้ายเป็ง ผมถามจริง ๆ แหะ ๆ เนื้อที่ย่างเป็นริ้ว มันเป็นเนื้ออะไร |
คุณนพ กลัวเป็นเนื้อเก้งเอ๋งเหรอ |
ใช่ ๆ เวลากินมันยังไงไม่รู้นะอ้ายเป็ง กลัวเป็นหมา |
ไม่ใช่หรอก ผมไม่กินหมา ผมไปล่าฟาน(เก้ง) ไหล่ดอยเลยตูบผมไป 3 ดอยมีพื้นที่ราบกว้างแถวนั้นน่าจะมีหลายตัวผมไปส่อง |
ก็ไปนั่งห้างบนต้นไม้ 2 คืนก็ได้มาตัว ผมใช้มีดซุยเลาะหนังตากไว้หลังตูบคุณนพคงไม่ได้สังเกตุ |
แล้วเนื้อฟาน กับหมา มันแตกต่างกันหรือเปล่าครับอ้ายเป็ง |
เอ...อันนี้ผมไม่ได้เคยเห็นเนื้อหมา รู้แต่ว่า เนื้อฟานเส้นเล็กกว่าเนื้อวัวเนื้อควาย ไขมันมีน้อยด้วยถ้าเป็นเนื้อวัว  จะมีไขมันสีเหลือง |
ถ้าควาย ไขมันสีขาวขึ่นแต่อรอ่ยเหมือนกัน  (กลับมาจากป่า ก็เข้าดูอากู๋ เนื้อวัว กับเนื้อควาย ดูไม่แตกต่างกัน 555 ไขมันสีแตกต่างกันนิดเดียวภาพข้างล่างเป็นเนื้อควายจากอินเดียส่งมาขายในไทย เพื่อนสนิทบังหมัดจัดส่งเนื้อให้หลายตลาดนำเข้าจาก ตปท. เพราะในไทยมีวัวน้อยลงมาก) |
ระหว่างที่เดินลงดอย อ่ายเป็งจะหยุดดู ทางเดินป่าที่มีทางแยกอยู่หลายครั้ง |
อ้ายเป็งเคยหลงป่าหรือเปล่า |
เคยครับคุณไวน์ ป่าก็คือป่า บางทีผมเดินหน้าฝน ใบไม้จะเขียวปิดก้อนหินที่เคยเห็นเงยหน้าไปดูดอย ใบไม้ก็ปิดเต็มอีก |
เลยไม่มีที่สังเกต ทำเอาหลงทาง แต่จะไม่นาน |
ส่วนใหญ่ผมจะจับ ลำห้วยไว้ก่อน ยังไงน้ำมันไหลลง สู่หมู่บ้านคนแน่นอนอยู่แล้ว ถ้าเดินป่าให้หาคนนำทางท้องถิ่นดีกว่า |
คำเป็ง ข้างล่างน่าจะเป็นถนนดำ นะ โน่นไง |
ใช่ครับครู เป็นถนนสาย ผ่านวัดดอยโตน เราเดินเบี่ยงไปทางขวาตัดสันดอยลงไปอีกฝั่งดีกว่าเดินข้ามห้วยอีกนิดเดียก็ถึงถนนดำ |
จากบ้านตูบ เราหยุดกินข้าวเที่ยงกลางแอ่งดอย ริมห้วยน้ำไหลเย็น เดินมาถึงจุดนี้ใช้เวลากว่า 7 ชม.นานเอาเรื่อง |
แต่คราวนี้ความเหนื่อยมีน้อยกว่าวิ่งหนีไฟอีกอย่างเรามีอ้ายเป็งนำทางทำให้อุ่นใจว่าออกจากป่าได้จนมาสู่วัดถ่ำดอยโตน |
ออกจากป่าได้ (ก๋วยคือ ตระกร้าไม้ไผ่สานที่หญิงคนข้างล่างใส่บ่าเดิน)  |
อ้ายเป็งพาพวกเรา ไปพักที่บ้านไม้หลังเล็ก ริมท้องนาที่ลดหลั่น ก็เลยหน้าวัดละแยกนั้นเป็นถนนดำปนแดง แคบพอรถยนต์ |
สวนกันได้คดเคี้ยวไปมา สองฝั่ง เป็นบ้านคน อยู่ติด ๆ กันแบบชาวภาคเหนือ  |
มีร้านของชำ แทรกเป็นระยะ มีผลไม้ กล้วยน้ำว้า กล้วยหอมแถม 555 ส้มเขียวหวานคงจะนำมาจากในเมืองขายด้วย |
ต้องบอกว่า น้ำใจอ้ายเป็งกว้าง จนเกรงใจ อุตส่าห์พาพวกเราเดินจากดอยหลาย ชม. พวกเรากินข้าวเนื้อไปเยอะมาก |
ก็มันอดยากปากแห้งนี่นา ครูฉัตรพยายามเอาเงิน ยัดใส่มือแต่อ้ายเป็งไม่ยอมรับ เดินหนี หัวเราะร่วนโบกมือไม่เอา |
ไม่นานรถคอกหมู กลับพาสู่ตัวตลาด อ.แม่วาง แล้วหาทางกลับไปที่จอดรถ...  |
กึ๊ดเติง(คิดถึง) อ้ายคำเป็งแห่งบ้านตองกายแต่ เอะตอนนี้ต้องเป็นคนบ้านถ่ำดอยโตนซินะคนเจียงใหม่มีน้ำใจเสมอ |
|
|
|
ขอบคุณเพื่อนผู้เอื้อเฟื้อภาพ(re 199/4821) |
|
st ผู้เข้าชม 1,924,145. |
|
ขอบคุณเพื่อนผู้แวะมาเยือน กรุณาเม้นท์/ทิ้งร่องรอยนิด ผมจะได้กลับไปเยี่ยมตอบแทนถูกครับ |
|
Diarist |
เวลาคนเราอยู่ใกล้ธรรมชาติ
เหมือนจิตใจได้รับการฟื้นฟูนะครับ
ธรรมชาติช่วยเยียวยาจิตใจได้จริงๆ
อาหารป่าก็มีรสชาติพิเศษไม่เหมือนใคร
ยิ่งกินท่ามกลางป่าเขา ท่ามกลางเพื่อน
ยิ่งได้บรรยากาศเลยนะครับ