images by free.in.th images by free.in.th
Group Blog
 
All blogs
 

ป่วยใจเสียแล้วสิ... ( เรียนรู้ที่จะอยู่กับรัก 4 )

วันหยุดแล้ว ดีใจจริง

จะได้พักและมีโอกาสเขียนหนังสือเยอะๆ เท่าที่ใจอยาก แหม ชอบค่ะ เดี๋ยวจะต้องมีคำถามว่าอยู่ติดบ้านได้หรือ
ด้ายยยยยย สิคะ แต่ใช่ว่าจะไม่ชีพจรลงเท้าเสียที่ไหน ราวๆอีกสองสัปดาห์เจอกันที่สุโขทัยนะเจ้า !

เมื่อคืนเขียนบล็อกไปยาวพอสมควรนะคะ อยากจะออกตัวว่าการเขียนในลักษณะนี้ทำให้ได้มองเห็นตัวเองในวันเก่า อดีตของเราทุกคนอาจปนเปื้อนด้วยคราบน้ำตา แต่ในนั้นย่อมมีรอยยิ้ม แน่นอนว่าฉากสวยงามย่อมจะยังคงอยู่ ฉันไม่เคยลืมมัน

แต่เราจะอยู่กับความหลังตลอดเวลาไม่ได้ค่ะ นาทีนี้ ตอนนี้คือเวลาที่เราต้องอยู่

...

ฉันคิดเสมอว่าความรักไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต แต่เราปฏิเสธไม่ได้หรอกว่า มันสำคัญกับชีวิตเรา ต่อให้เป็นความรักที่ผ่านพ้นไปแล้ว มันก็จะยังอยู่กับเรา อยู่ในส่วนลึกที่สุดที่ไม่อาจลืมลง แต่วันหนึ่งเราจะไม่เจ็บปวดกับมันอีก

ในช่วงเวลาที่แผลยังสดอยู่อาจจะลำบากหน่อยนะคะ มองย้อนกลับไปเวลานั้นแล้วอดรู้สึกไมได้ ว่าในยามที่ปัญหามันยังอยู่กับเรา มันก็ใหญ่เท่าภูเขาจริงๆนั่นแหละ

คำว่าหน้าชื่นอกตรม คำว่าอกกลัดหนอง กินไม่ได้นอนไม่หลับ ล้วนแต่เป็นอาการป่วยใจ เยียวยากันไม่ง่ายจริงๆ ค่ะ

ประสบการณ์ของฉัน : ในช่วงที่ชีวิตเผชิญเรื่องรักร้ายๆ เป็นช่วงเดียวกับที่ฉันมีปัญหาเรื่องงาน แต่ละวันผ่านไปแบบแย่มากถึงมากที่สุด ในเวลางาน เราต้องอยู่กับมันโดยต้องทิ้งความเศร้าหมองเอาไว้ในเบื้องลึก เรารู้เลยว่าหัวใจเราอ่อนแอมากเหลือเกิน ขนาดว่าต้องสะกดกลั้นน้ำตาเอาไว้ ต้องเงยหน้าเสมอ เพราะเรารู้ว่าหากก้มหน้าเมื่อไหร่
น้ำตาจะไหลทันที

ยามค่ำคืนแย่กว่านั้นอีก จากที่เคยนอนหลับง่ายๆ กลายเป็นนอนไมได้ เมื่อมันสะสมนานเข้าทำให้ร่างกายทรุดโทรม ส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันไปหมด อยากนอนแต่นอนไม่หลับ แย่มาก

ฉันเริ่มคิดถึงการแก้ปัญหา ในเมื่อฉันรู้ว่าฉันไมได้ป่วยกาย แต่อาการป่วยนี้มันมาจาก 'ใจ' ล้วนๆ ฉันก็ต้องแก้ที่ใจ

มีคนบอกว่าควรจะอ่านหนังสือธรรมะเพื่อจะได้เข้าใจทุกข์ แต่ในเมื่อยังคุมให้มันนิ่งไม่ได้ การจะอ่านอะไรเพื่อทำความเข้าใจคงลำบาก ในเมื่อนอนไม่ได้ก็ต้องแก้ที่การนอนก่อน ฉันยังทำใจให้หลับเองไมได้ ทางทีดีที่สุดคือการใช้ยา

ฉันกลับไปหาหมอที่ภาควิชาจิตเวช โรงพยาบาลรามาฯ จริงๆการไปพบจิตแพทย์ไมได้ช่วยอะไรฉันได้มากไปกว่าเรื่องยาเลย มันปลอดภัยกว่าที่ฉันจะกินยาสุ่มสี่สุ่มห้า ขอย้ำว่าการไปพบหมอไม่ใช่เรื่องประหลาดเลยนะคะ ไม่ได้หมายความว่าเราจะเป็นบ้าจึงต้องไปพบหมอจิต

หลังจากทานยาไปได้สองสามวัน ได้พักผ่อนจริงๆ ทำให้ร่างกายฟื้นขึ้น แต่เมื่อใคร่ครวญถึงเหตุผลและอะไรหลายๆอย่าง ประกอบกับการที่ไม่อยากจะใช้ยาติดต่อกัน ทำให้เมื่อผ่านไปได้สามวันฉันตัดสินใจจะหยุดทาน ลองนอนเอง โดยก่อนนอนพยายามคิดถึงแต่เรื่องดีๆ และนึกถึงธรรมะของพระพุทธเจ้า

ฉันนอนหลับได้เองจริงๆค่ะในคืนนั้น ยิ่งตระหนักเมื่อทำใจยอมรับและไม่ปล่อยให้ตัวเองเคืองหรือทุกข์ เมื่อปลดปล่อยใจให้เป็นไป ไม่ขุ่นข้องหมองใจ ในที่สุดฉันก็กลับมานอนเองได้เป็นปกติ แม้จะมีบ้างบางคืนที่กว่าจะข่มตาหลับได้ แต่มันก็ค่อยๆดีขึ้นเรื่อยๆ



อาการทางใจรักษายากกว่าอาการทางกายเยอะค่ะ คงมีคนจำนวนน้อยมาก ที่เป็นแผลจากความรักแล้วสามารถหายได้ภายในสามวัน เจ็ดวัน กรณีแบบนี้หาก Need help จากใครบางคนที่คุณไว้ใจก็น่าจะดีกว่านะคะ

ฉันเคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่งจำไม่ได้ว่าใครเขียน เขาบอกว่า ให้เอาจำนวนปีคูณด้วยสองแล้วจะได้เวลาที่เราจะใช้ไปกับการทำใจ สมมติว่าของฉันสี่ปี คูณสองเข้าไปก็แปดปี กว่าความหลังฝังใจนั้นจะหายสนิทแนบแน่น แปดปีเลยเหรอ นานเกินไปหรือเปล่าเนี่ย

ก็ได้แต่คิดตามไปแหละค่ะ เวลาห่างหายมาปีกว่าๆแล้ว แผลที่เกิดขึ้นทุเลาลงแล้ว ยิ้มได้แล้ว แค่นี้ก็น่าพอใจแล้วนะคะ

การเยียายาอาการบาดเจ็บไม่มีสูตรสำเร็จหรอกค่ะ คำแนะนำของคนที่เคยผ่านบอกเราสารพัดวิธี แต่หากตัวเราไม่เอาด้วย ไม่ลุกขึ้นมาจากหลุมลึก วิธีไหนก็ใช้ไม่ได้ทั้งนั้น

เมื่อฉันบอกตัวเองว่าเราต้องรักษาตัวเอง ในขณะที่ตัดสินใจจะปล่อยทุกอย่างลงแล้ว ที่เหลือก็ต้องหาวิธีรอดที่เป็นรูปธรรม ฉันคิดเรื่องการออกเดินทาง ( มันเป็นโอกาสอันดีแล้วที่จะได้ทำในบางสิ่งใหม่ๆ ) และนั่นก็เป็นที่มาของการเดินทางไปเชียงใหม่คนเดียวในปลายเดือนมกราคมปีที่แล้ว ซึ่งมันก็มีเหตุบังเอิญให้เป็นไปเช่นนั้น

มีหนังสืออยู่เล่มหนึ่งซึ่งดีมากต่อการทำความเข้าใจเรื่องรักและการเยียวยาจิตใจในยามสูญเสีย หนังสือเล่มนั้นชื่อ รักแท้หรือแค่คิดว่ารัก ของคุณวันรวี รุ่งแสง ซึ่งเธอเป็นคนหามาให้ฉันเอง ต้องขอบคุณหนังสือเล่มนี้ และขอบคุณเธอ ไม่ว่าเจตนาของการให้เพื่อต้องการให้ฉันทำความเข้าใจเหตุและผลของการเปลี่ยนแปลง หรือจะเพื่ออะไรก็ตาม
แต่หนังสือเล่มนี้ก็ช่วยให้ฉันเปลี่ยนมุมและทัศนคติที่มีต่อความรักไปได้มากมาย

การเดินทางไปเชียงใหม่คนเดียวในเวลานั้น ทำให้ฉันได้ค้นพบประสบการณ์ใหม่ๆ จนยากจะลืมได้ลง

มี sms ของน้องสาวที่น่ารักคนหนึ่งส่งถึงฉันในวันที่ฉันออกเดินทางลำพังเพื่อเยียวยาหัวใจตัวเอง ซึ่งฉันยังเก็บไว้จนบัดนี้

25.1.08 เดินทางโดยสวัสดิภาพนะคะ ใช้ความเงียบปลดปล่อยความขุ่นมัวในใจนะคะ ดูแลตัวเองด้วยนะจะได้หายป่วยทั้งกายและใจ

หนึ่งปีผ่านไป แล้วฉันก็อยู่มาได้จริงๆ !!!




 

Create Date : 07 กุมภาพันธ์ 2552    
Last Update : 7 กุมภาพันธ์ 2552 16:59:04 น.
Counter : 398 Pageviews.  

.. ป่วยการยื้อ... ( เรียนรู้ที่จะอยู่กับรัก # 3 )

จากบล็อกวันก่อนที่เขียนไปว่า คิดอย่างไรให้รอด ทำให้ได้แชร์ความคิดเห็นดีๆ ขอบคุณมากๆเลยนะคะ อ่านแล้วคุ้นๆไหมคะ เหมือนว่าได้ผ่านคืนวันเหล่านั้นกันมาโดยถ้วนหน้าใช่ไหม เราทุกคนเคยเจอค่ะ

นี่เป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมดามาก และมันต้องไม่ใช่เหตุที่ทำให้เราตายนะคะ ใครๆก็ผ่านมาได้ทั้งนั้น

ละครเมียหลวงกำลังสนุกเชียว เห็นสัจธรรมไหมคะ ว่าความจริงแล้วเรื่องความรัก ‘เราสามคน’ นี่มีมาแต่ไหนแต่ไร และความรักที่หน้ามืดตามัวลุ่มหลงก็ทำให้คนเราพังกันได้ง่ายๆ ทำไมความสุขสงบในชีวิตคู่มันหายากเหลือเกิน แปลกไหมคะ

แต่การเป็นแม่พระแสนดี ก็ไมได้ยืนยันว่าเราจะประคองรักษาชีวิตคู่ได้

ขณะที่บางคนก็อยากได้เหลือเกิน ไอ้คนมีเจ้าของเนี่ย ลองว่าจะเอาเสียอย่างใครจะทำไม โอ้วว สมัยนี้ไม่ใช่แค่ผู้ชายนะคะที่ขาดแคลน
เพศไหน อะไรอย่างไรก็ยื้อแย่งกันได้ค่ะ

เพราะเราคิดถึงใจคนอื่น น้อยลงทุกที ขณะที่คิดถึงแต่ตัวเองกันมากขึ้น ใช่ไหม แล้วเราก็ชอบใช้ทางลัดบ่อยๆ เพราะมันง่าย

เฮ้อ..

...

ฉันเขียนถึงตอนที่แล้วว่าคิดอย่างไรให้รอด เรารู้แล้วล่ะว่าการที่เราจะรอดหรือไม่ทั้งหมดทั้งปวงนั้นตั้งต้นที่ความคิด เพราะความคิดชี้นำเรา และมันจะกำหนดการกระทำทั้งหมดของเราด้วยค่ะ

จำได้ไหมคะ ถึงตอนที่คุณกับคนรักอยู่ในช่วงจวนเจียนจะเลิกร้าง หรือเลิกร้างไปแล้วแต่มันยังไม่ขาดกันจริงๆ ตอนนั้นคุณทำยังไง

เมื่อรู้แล้วว่าเราต้องเลิกกันจริงๆ หลังจากที่ได้ทราบ ปฏิกิริยาแรกของเราเป็นไปได้หลายอย่าง ( แล้วแต่สถานการณ์ในเวลานั้นของแต่ละคู่ ) แน่นอนที่สุดว่า ลำดับแรกต้องช็อกก่อนแหละ

ไม่จริง.. ไม่ใช่ .. โกหกกันใช่ไหม ล้อเล่นหรือเปล่า

เป็นแบบนี้ไหมคะ ฉันก็เป็นค่ะ ไม่ประหลาดแต่อย่างใดเลย

สัญญาณของการเลิกร้างนั้นปรากฏให้เห็นได้หลายอย่างค่ะ หากลองสังเกตดู เหมือนสถานการณ์ของฉันในตอนนั้น

ประสบการณ์ของฉัน : หลังจากที่ฉันกับเธอปรับความเข้าใจกันและเราสัญญากันว่าเราจะลองปรับเข้าหากันดูสักครั้ง ระยะเวลาหลังจากนั้นเต็มไปด้วยการระแวดระวัง

ฉันรู้สึกว่าความสัมพันธ์ของเราเหมือนแก้วที่เปราะบาง ไม่ว่าเราสองคนจะทำอะไร จะพูดอะไรดูเหมือนมันจะไม่ลงรอยกันมากขึ้น ทั้งที่เราระวังแล้ว

นี่อาจจะเป็นสัญญาณและคำยืนยันว่าแก้วที่ร้าวแล้วไม่อาจประสานกลับมาได้ดังเดิม

หลังจากนั้นในเดือนถัดมา เธอบอกกับฉันในวันหนึ่งหลังจากที่เราทะเลาะกันว่า เธอพยายามแล้วมันก็ยังไมได้ นั่นเป็นสัญญาณอันตรายที่เข้าสู่การนับถอยหลัง เมฆทะมึนที่ตั้งเค้ากลายเป็นฝนในชีวิตฉันเริ่มส่อเค้าแล้ว

ฉันเริ่มเห็นเค้าลางของการแตกหัก รู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากลว่าในความสัมพันธ์ของเราสองคนไม่ได้ประกอบด้วยเราสองคนอีกต่อไป

แม้เหตุผลที่เธอบอกฉันว่า เธอไม่มีความสุขที่จะอยู่ตรงนี้มันจะเกิดขึ้นเพราะฉันทำให้มันเกิดขึ้นเอง ไม่ใช่เพราะการเข้ามาของใครบางคน แต่ถึงอย่างนั้น โอกาสที่ฉันจะกลับไปแก้ตัวด้วยเหตุผลที่ว่าก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้อีก

ความเสียใจ ความเจ็บปวด เป็นสิ่งที่ต้องเจออย่างหลีกเลี่ยงไมได้ โอกาสที่เราจะกลับมามีกันถูกปิดลงแล้วโดยสิ้นเชิง



ความจริงที่เราไม่อยากจะยอมรับเลย คือเราต้องเลิกกันแล้ว ทีนี้เมื่อมันถึงจุดนั้น หากใจเราไม่ยอมรับขึ้นมาล่ะ จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป

คุณจะเลือก ยอม หรือเลือก ยื้อ ดีล่ะคะ

มีคนจำนวนมากทีเดียวที่คิดว่า การยื้อ คือวิธีที่ควรทำในยามที่เขาของคุณกำลังจะตัดคุณออกจากชีวิต เขาอยากจบ แต่คุณไม่ยอมจบ นี่ล่ะค่ะที่เขาเรียกว่ายื้อล่ะ

เคยได้ยินคำว่า เอาช้างมาฉุดก็ไม่อยู่ไหมคะ หากคนไม่มีใจ ยังไงๆเอาเชือกผูกขาไว้เขาก็ต้องหาทางไปอยู่ดี คุ้นๆไหมคะคำนี้

ฉันเคยปวดใจกับคำว่า ‘หมดใจ’ แต่มันก็ปฏิเสธไม่ได้ใช่ไหมคะว่ามันมีจริงๆ เมี่อถึงจุดที่คนเราหมดใจกับอะไรสักอย่าง ใจมันก็ไม่เหลือให้กันแล้ว การยื้อยุดฉุดกระชากเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำจริงๆ เพราะมันเสีย
แรงเปล่า คิดถึงเหตุผลข้างบนซีคะ

อย่าคิดไปโทษเขาหรือเธอของคุณเลยค่ะ ว่าเพราะอะไรจึงหมดใจแล้วคิดจะเดินจากไป เหตุผลมีมากมาย ( ซึ่งอาจจะเป็นเหตุผลที่มาจากเราจริงๆก็ได้ ) แต่การยอมรับก็ไม่ใช่เรื่องง่าย อาจจะต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่งกว่าจะถึงจุดที่ยอมรับได้สนิทใจ

1.ยอมรับเถอะนะคะว่ามันเป็นเรื่องจริง ( ไม่เชื่อก็หยิกตัวเองแรงๆดู )
2.ยอมรับเถอะว่า จากนี้ไปไม่มีเราสองคน ( ไม่ต้องโกหกตัวเองว่าเขาจะยังอยู่ข้างๆคุณเหมือนเดิม )
3.ไม่ต้องตีอกชกตัวหรือคิดไปว่าเราไม่ดี ( เหตุผลของการเลิกรามีมากมายค่ะ เราอาจจะเป็นส่วนหนึ่ง ที่ทำให้เกิดเหตุการณ์นี้ )
4.ค่อยๆบอกตัวเองไปทีละน้อยว่าจะต้องใช้ชีวิตคนเดียวให้ได้จากนี้
( คิดบวกเข้าไว้ค่ะ )

ประสบการณ์ของฉัน : เราสองคนยังอยู่ด้วยกันในเวลานั้น ลองคิดดูว่ามันยากอย่างไรกับคนๆหนึ่ง ฉันฟังเพลงรักๆไม่ได้เลย น้ำตามันพร้อมจะไหลลงมาทุกขณะ

เธอพยายามบอกฉันว่า ถึงแม้เราสองคนจะเลิกรากันไปแล้ว แต่เราก็ยังเป็นเพื่อนกันได้ เราจะยังดูแลกันต่อไป เธอเชื่อว่ามันทำได้

เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลยกับฉัน ความรักของเธอหมดแล้วแต่ความรักของฉันยังอยู่เต็มหัวใจ ฉันหัวใจสลายทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องนี้ และต้องพยายามทำใจทุกคืน

คิดถึงภาพที่มันจะไม่มีวันหวนกลับมาทั้งที่เรายังอยู่ด้วยกัน ไม่ได้เป็นแฟนกัน แต่ยังอยู่ด้วยกัน แค่นั้นฉันก็ทำตัวไม่ถูกแล้ว ฉันจะจับมือเธออย่างไร ฉันจะกอดเธออย่างไร ระยะห่างของเราเท่าเดิมแต่ระยะใจของเรามันกว้างขึ้นทุกที

ฉันนั่งทานข้าวกับเธอที่บ้าน ทำกับข้าวทานกันสองคน ต้องนับถอยหลังในใจทุกนาที เราพากันร้องไห้ ฉันกินข้าวเคล้าน้ำตาหลายมื้อ เรานอนข้างๆกัน แต่ฉันไม่อาจจะขยับไปกอดเธอได้อีกแล้ว
แทบทุกคืนที่ฉันต้องหนีลงมานอนข้างล่าง กว่าจะข่มตาหลับได้คือเกือบรุ่งเช้าของทุกวัน ยามขับรถไปทำงาน ฉันนั่งมองเธอน้ำตาไหล หลังจากนี้เราจะมีเวลาด้วยกันอีกกี่วันกี่เดือน ก่อนที่มันจะหมดลงจริงๆ

ช่วงเวลาที่ต้องยอมรับว่ามันจะต้องจบเป็นช่วงที่ฉันเหนื่อยและหนักมากกับการต่อสู้กับจิตใจตัวเอง ฉันเริ่ม fade ตัวเองออกมาจากเธอ มีบางอย่างที่เรายังทำให้กันเหมือนเดิม ( แต่ฉันก็รู้ในใจว่ามันไม่เหมือนเดิม )

พร้อมๆกับที่พยายามจะปรับใจให้รับกับสภาพที่เกิดขึ้น และด้วยความรู้สึกที่มีมากกว่าความโกรธแค้นฉันตัดสินใจที่จะยอมรับและเข้าใจ
ด้วยการเปิดโอกาสให้เธอได้ไปมีชีวิตใหม่

ฉันไม่ยื้อให้เหตุการณ์เลวร้ายกว่าเดิม ตัดสินใจที่จะเรียนรู้ความรักอีกแบบหนึ่ง คือการรักโดยไม่หวังผลตอบแทน

มีคนถามฉันว่าทำไมจึงทำใจได้อย่างนั้น และทำไมจึงไม่เคืองโกรธเธอเลย หนำซ้ำยังทำในสิ่งดีๆต่อกันได้

ฉันไม่ได้เก่ง แต่เพราะฉันยอมรับและทำความเข้าใจว่าเรามีสิทธิ์ที่จะเลือกอยู่ในที่ที่ตัวเองมีความสุข ทำอย่างที่ตัวเองอยากทำ
ฉันรักเธอ จึงอยากจะเห็นความสุขของเธอ

และเพราะความเคืองแค้นไม่อาจเยียวยาหัวใจของฉันได้ ความรักและความปรารถนาดีต่างหากที่จะปลดปล่อยทุกอย่าง



คำตอบของฉันจึงไม่ใช่การ ‘ยื้อ’

ที่สำคัญ เมื่อปลดปล่อยความเคืองโกรธออกซะ ก็ทำให้เราได้เรียนรู้ที่จะเปิดใจรับความสุขเข้ามาในชีวิต เป็นความสุขแบบที่ตัวเองก็เบาสบาย จากการให้อภัยต่อทุกอย่างที่เกิดขึ้น

แล้วเราจะยิ้มได้ในที่สุด !!!




 

Create Date : 06 กุมภาพันธ์ 2552    
Last Update : 6 กุมภาพันธ์ 2552 22:49:03 น.
Counter : 468 Pageviews.  

เรียนรู้ที่จะอยู่กับรัก ( คิดอย่างไรให้รอด )

ฉันเกริ่นไปแล้วในบล็อกก่อนหน้าว่าเราควรเรียนรู้ที่จะอยู่กับปัจจุบัน
นี่ว่ากันเฉพาะเรื่องรักที่ทำให้เราปางตายนะคะ

สำหรับคนอกหัก แวะได้ค่ะ สำหรับคนที่เก่งแล้ว รบกวนช่วยแชร์ด้วย
ก็จะเป็นการดี

บอกก่อนว่าฉันไม่มีสูตรสำเร็จใดๆนะคะ ฉันเอาประสบการณ์ของตัวเองเป็นที่ตั้ง

และไม่ขอกล่าวโทษอะไรใดๆเลยที่เป็นตัวต้นเหตุ หรือชนวนที่ทำให้ความรักของฉันจบลง มันอาจจะเป็นประโยชน์กับคุณได้บ้าง ถือว่าแชร์กันนะคะ

ตอนนี้ไมได้คิดว่ารอดแล้วร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ยังเรียนรู้อยู่ทุกวันค่ะ

นอกเหนือจากเรื่องสับสนทางเพศ 55 ตอนนี้เลิกสับสนแล้วค่ะ เพราะไม่คิดตั้งนิยามอะไรให้ตัวเอง No condition , no definition สำหรับฉันความรักจะเป็นเรื่องของความพอใจแล้วค่ะ เมื่อเอาความพอใจตั้งต้น ฉันจะปลดเงื่อนไขทุกอย่างออกหมด

กลับมาที่หัวข้อเรื่องตามที่ฉันจะเขียน ว่าเราจะเรียนรู้ที่จะอยู่กับเรื่องรัก ที่มีวงเล็บว่าคิดอย่างไรให้รอด ก็เพราะการที่เราจะรอดหรือร่วง มันอยู่ที่ความคิดของเราเป็นหลัก

คนเรานั้นสำคัญที่ทัศนคติค่ะคุณ

ทัศนคตีที่เรามีต่อชีวิต จะมีผลต่อทุกการกระทำของเรา ง่ายๆก็คือว่า เมื่อเรามีทัศนคติต่อเรื่องหนึ่งอย่างไร

เราจะมุ่งกระทำตามนั้น ตามที่เชื่อกันว่าความคิดนั้นจะชี้นำเรานั่นเอง

คุณจะรอดหรือร่วงอยู่ที่ทัศนคติของคุณ




ตอนนั้น ฉันคิดอยู่อย่างเดียว ว่าฉันจะอยู่อย่างไร ในภาวะที่ยากแบบนั้น ต้องแก้ปัญหาในการอยู่ร่วมกัน ( ฉันกับเธออยู่ด้วยกัน ) ให้ได้ก่อน

แต่ในเบื้องต้น ก่อนจะไปถึงการแก้ปัญหา ทัศนคติที่สำคัญที่ฉันมีต่อตัวเองในเวลานั้นมันสำคัญมากเลยค่ะ ฉันพยายามเรียนรู้ว่า การที่เธอเลิกกับฉัน ไม่ได้แปลว่าตัวฉันเองไม่มีค่า

เคยได้ยินได้อ่านเรื่องของคนอกหักมากมายที่เมื่อถูกทิ้งไป เขาจะโทษว่าตัวเอง และพร่ำบอกตัวเองว่าเขาไม่มีค่า

ค่าที่คนอื่นให้เรา ทำให้เราตัวใหญ่เบ้อเร่อเลย คิดว่าตัวเองมีค่ากับเขา มีความหมายกับเขาแต่ทำไมวันดีคืนดีมาถูกทิ้งได้ล่ะ

หากคิดว่าตัวเราไม่มีค่า เราจะฝังตัวเองลงในบ่อโคลนชนิดที่จมลงไปเลย และเมื่อคิดอย่างนี้มากๆเข้าโอกาสที่คุณจะรอดแทบเป็นศูนย์

ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าวจริงๆค่ะงานนี้

วิธีคิดเพื่อที่จะรอด คือต้องดึงตัวเองกลับมาก่อนค่ะ และพยายามเปลี่ยนทัศนคติเสียใหม่

1. อย่าคิดลบ คิดว่าตัวเองไม่มีค่า ( เพราะมันไม่จริง )
2. มองหาสิ่งดีๆของตัวเอง ( เพิ่ม value ให้ตัวเองนะคะ )
3. บอกตัวเองย้ำๆซ้ำๆ ว่าเราต้องรอด ( ย้ำมันลงไปเยอะๆค่ะ แล้วมันจะเป็นจริง )

หากยังติดที่จะคิดลบๆ พร้อมๆ กับร้องไห้ทุกวัน ต้องแยกความคิดออกเป็นสองส่วนนะคะ

ส่วนแรก การร้องไห้ทุกวัน เป็นปฏิกิริยาของร่างกายที่ส่งผลมาจากจิตใจที่อ่อนแอมันจะค่อยๆหายไปเอง อย่าไปบังคับตัวเองหากน้ำตามันจะไหลออกมา ช่างมันนะคะ ในเมื่อเราอ่อนแอ แล้วจะให้เราฝืนไม่ร้องไห้ได้ยังไง

อีกส่วน คือความคิดของคุณค่ะ ต้องบอกตัวเองเสมอว่า จะต้องผ่านมันไปให้ได้ หากยังคิดอย่างนี้ไม่ได้ มัวแต่จมๆๆ มันก็จะจมจริงๆ

เวลาเป็นยารักษาแผลที่ดีมากค่ะ พร้อมๆกับที่ปล่อยให้เวลาผ่านไป
คุณจะค่อยๆเข้มแข็งขึ้นเอง

พรุ่งนี้มาต่อนะคะ !!!




 

Create Date : 04 กุมภาพันธ์ 2552    
Last Update : 4 กุมภาพันธ์ 2552 22:26:16 น.
Counter : 407 Pageviews.  

เรียนรู้ที่จะอยู่กับรัก ( เลิกกันแล้วเจอกันไม่ได้หรือ ? )

วันนี้น้องมีคำถามมาถามฉัน
ว่าอดีตรักแปดปีของเขา ที่ได้เลิกราจากกันนั้น ขอนัดเจอกันอีก
เหมือนทุกครั้งที่น้องไม่เคยปฏิเสธ ไม่ว่าเธอของน้องจะมีเหตุผลอะไรในการนัด

ทั้งที่ใจหนึ่งไม่อยากไป แต่ก็ไปตามนัดจนได้ทุกครั้ง
และกลับมาด้วยอาการเศร้า ซึม ไม่ดีเลยสักครั้ง

ความรัก ความหลัง เยื่อใยที่มีต่อคนเคยรักนานถึงแปดปี ย่อมไม่ใช่เรื่องเล็กแน่

ปริมาณความผูกพันมักจะสัมพันธ์กับเวลาค่ะ ยิ่งนานปีเท่าไหร่
เยื่อใยแห่งความผูกพันก็เพิ่มพูนปริมาณมากขึ้นเท่านั้น

ไปพบ ไปเจอ หรือไม่ไป อาจจะมีผลมากน้อยต่างกันสำหรับคนสองคน
คนหนึ่งถูกทิ้งไปให้อยู่กับความรักความหลังเก่าๆ ส่วนอีกคน ไปอยู่ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ ทิ้งอดีตไว้ข้างหลัง

แค่นี้ความรู้สึกก็แตกต่างกันแล้ว

ฉันเชื่อว่าเรามีอดีตที่แสนหวานกันทุกคน มันก็เป็นเรื่องจริงนะคะ
ที่อดีตแสนหวานนั้นมันมีค่าต่อเรา แต่มันก็เป็นดาบสองคมนะคะ
โดยเฉพาะในยามที่เลิกราจากกันแล้ว อดีตแสนหวาน..บางทีกลับกลายเป็นเหมือนมีดที่กรีดใจ

คำถามก็คือว่า การไปพบกันจะดีหรือไม่ดี ขึ้นอยู่กับมุมที่มองนะคะ
หากแน่ใจว่า มันไม่ดีต่อตัวเราเลย ก็อย่าไปเลยดีกว่า ถ้าคุณไม่แข็งแรงพอที่จะต้านความรู้สึกอ่อนแอในใจได้

แล้วถามต่อว่า แต่ถ้าในใจเราเองอยากไปเสียเหลือเกิน ควรจะหักห้ามใจอย่างนั้นหรือ

ให้ถามตัวเองก่อนดีกว่านะคะ ว่ามันจำเป็นหรือสมควรไป แล้ว จะไปทำไม

มันไม่มีอะไรผิดหรอกค่ะ ไม่มีสูตรสำเร็จว่าเลิกกันแล้วเจอกันไม่ได้หรือ
ของอย่างนี้ฉันว่าแล้วแต่ภูมิต้านทานของแต่ละคน

หากจะเจอกันเพื่อกลับมาเสียน้ำตาแล้วต้องนับหนึ่งใหม่ คุณว่ามัน
คุ้มไหมคะ เขาไปแล้ว ส่วนเราสิต้องอยู่กับความปวดร้าว ต้องเยียวยาตัวเองเพียงลำพัง

จะรอให้แผลแห้งเสียก่อน หรือ จะอยากกรีดตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า
เราเลือกเองได้ทั้งนั้น

...

ฉันตอบไปแบบคลุมเครือ ไม่แน่ใจว่าน้องจะเข้าใจหรือไม่ เพราะความรู้สึกของคนเราแต่ละคนไม่เหมือนกัน คิดแทนกันไม่ได้

แต่ที่แน่ๆ ฉันคิดว่าเราควรอยู่กับปัจจุบันมากกว่า ในเมื่ออดีตที่ผ่านไปแล้ว เราไมอาจเรียกมันกลับมาได้ แล้วจะยึดอันใดไว้เล่าคะ

ปัจจุบันต่างหากที่เราควรมอง

แล้วจะอยู่กับปัจจุบันอย่างไรให้เป็นสุข คำตอบของมันก็มีอยู่ค่ะ

เราต้องเรียนรู้ค่ะ เพราะหลังจากเจอเรื่องนี้แล้ว มันมีทางให้เราเลือก
ไม่กี่ทาง การเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตหลังจากการเลิกรา เป็นเรื่องจำเป็น
ที่เราต้องเข้าใจ

อย่าปล่อยให้มันแค่ผ่านไปโดยเราไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย

เดินไปพร้อมๆกับฉันนะคะคุณ !!!




 

Create Date : 04 กุมภาพันธ์ 2552    
Last Update : 4 กุมภาพันธ์ 2552 21:45:50 น.
Counter : 427 Pageviews.  

เราอยู่ทำไมในเมืองนี้...

บันทึกเมื่อศุกร์ที่แล้วแต่ไม่ได้แปะ
เช้านี้มาแปะให้อ่านแทนแล้วกันนะคะ

---------------------------------------------

ศุกร์สิ้นเดือน !! แต่ฉันอยู่ในรังแมว

ค่ำนี้ไม่ได้ไปเตร่ที่ไหนค่ะ อยากมานอนซุกในรังแมว เขียนหนังสือ
อ่านหนังสือไปเรื่อยดีกว่า

อากาศไม่หนาวแล้วด้วย อาการคันคะเยอที่มาพร้อมอากาศหนาวก็เลยหายไป กลับมาใช้ชีวิตได้เป็นปกติ

เมื่อคืนขณะขับรถกลับบ้าน ได้ฟังรายการของอาจารย์เจิมศักดิ์ ทาง fm 92.25 มีการสนทนาเรื่องเมืองเชียงใหม่ที่แปรเปลี่ยนไป ซึ่งก็มาจากเหตุการเมืองที่ร้อนระอุอยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์นั่นแหละ

ไม่ใช่อะไรค่ะ เพราะเชียงใหม่เป็นเมืองที่ฉันชอบ ความที่เป็นเมืองน่ารัก อุ่นอวลและรุ่มรวยด้วยบรรยากาศของศิลปะ และ ธรรมชาติ

ความเป็นเมืองของเชียงใหม่ มีบางซอกหลืบที่ยังคงไว้ซึ่งวัฒนธรรมเดิมๆของชาวล้านนาที่สืบทอดต่อกันมาในวิถีชีวิตประจำวัน ฉันรู้จักเมืองนี้แค่เศษเสี้ยว แต่หลงรักเชียงใหม่เต็มหัวใจ เช่นเดียวกับที่หลงรักเมืองเล็กหลายๆเมืองที่เคยได้ผ่านพบ ฉันคงจะรักกรุงเทพน้อยลงอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะแอบปันใจหนีไปอยู่ต่างจังหวัดเสียนานแล้ว

ขณะนี้เชียงใหม่ก็อยู่ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงที่น่าห่วงใย

ประเด็นที่เมืองเชียงใหม่ใกล้จะเหมือนกรุงเทพเข้าไปทุกทีแล้ว ถูกหยิบยกมาพูดนานแล้วนะคะ

เพื่อน ‘ฮักน้ำปิง’ บอกว่าเชียงใหม่มีรถติดให้เห็นแล้ว ( โดยเฉพาะช่วงเทศกาล ) คนเชียงใหม่ชอบไหมละนั่น 55

ไม่หรอกค่ะ ฉันไม่คิดว่าใครจะชอบ มันไม่สนุกเลยล่ะกับการที่ต้องแช่อยู่บนถนนนานๆ อยู่กรุงเทพว่าน่าเบื่อแล้ว ยังไปเจอในเมืองอื่นอีก ไม่ค่อยเข้าท่าเท่าไหร่ค่ะ

ฉันนั้นแม้จะเกิดที่ใต้ แต่ใจก็รักเมืองเหนือนะเออ ทุกครั้งทีได้ขึ้นไปที่นั่น และเฉียดกรายไปจังหวัดรอบนอกบ้าง ก็ยังติดใจในความสวยงามและวัฒนธรรมเมืองเหนือ ยังมีอีกหลายที่นักที่อยากไปเยือน

วันนี้ได้คุยกับน้องสนิทซึ่งแกก็มีบ้านอยู่ที่นั่น แม่แกก็ยังอยู่ที่นั่น แต่ตัวแกมาทำงานที่นี่ ถามว่าไม่คิดอยากกลับไปอยู่บ้านบ้างเลยเหรอ กรุงเทพน่าเบื่อจะตายไป มาอยู่ทำไมเนี่ย ฉันยังคิดจะหนีเลย หนีได้เมื่อไหร่ ไปแน่ 555

แหม อยู่ต่างจังหวัด คุณภาพชีวิตดีกว่าเห็นๆ ไม่ต้องแก่งแย่ง ไม่ต้องเร่งรีบ ไม่ต้องเจอ pressure แบบที่ไม่ปรารถนา

น้องอาจจะยังสนุกอยู่ก็ได้ค่ะกับชีวิตอิสระแบบนั้น แต่สำหรับฉันผู้ซึ่งใช้ชีวิตในเมืองหลวงมาสิบแปดปี ทำงานในระบบบริษัทมาสิบกว่าปี กลับรู้สึกคนละอย่าง ตรงข้ามกันเลย

ในขณะที่ฉันปรารถนาและใฝฝัน ชีวิตที่ simple เรียบง่าย ซึ่งความเป็นเมืองไม่อาจตอบสนองฉันได้แล้ว

ดังนั้นเมือได้ไปต่างจังหวัดครั้งใด ไม่ว่าแห่งหนตำบลใด ฉันจะรู้สึกว่าเหมือนได้กลับบ้านต่างจังหวัดของฉันทุกทีไป ฉันมีความสุขมากเสมอ ไม่ว่าจะเดินอยู่ที่ไหน เมืองใด

ความสุขที่ไม่ซับซ้อนต่างหากคือความสุขที่แท้จริง มันไม่จำเป็นต้องประกอบด้วยตึกสูง รถรา หรือผู้คนจำนวนมาก
ที่แก่งแย่งกันไปหมดทุกอย่าง

แต่หากถามว่ากรุงเทพให้อะไรแก่ฉันในช่วงชีวิตหนึ่ง ฉันว่า ‘อิสระ’ นั่นแหละที่หอมหวานอย่างที่สุด

แล้วชีวิตก็ได้ผ่านการเรียนรู้แล้วว่า อิสระที่หอมหวานที่แท้อยู่ที่ใจต่างหาก มนุษย์ 9 to 6 ทุกคนไม่อาจรู้ความสุข
ที่แท้จริงจนกว่าเขาจะได้อยู่กับมันจนรู้สึกเต็มกลืน เหมือนกับที่ฉันเคยผ่านมาแล้วจุดหนึ่งจนรู้ซึ้งว่า ท่ามกลางทุ่งคอนกรีตแห่งนี้ แท้ที่จริงมันไม่มีอะไรที่ ‘จริง’ ไปกว่ารากของเราเลย

เรามาจากไหน ?

เรารู้ว่าเรามาจากไหนแล้วเราอยู่ทำไมในเมืองนี้ เมืองที่เราไม่ใช่เราล่ะหนอ

แต่เป็นเพราะว่าเรากำหนดกฏเกณฑ์อะไรให้ชีวิตไม่ได้มาก บางทีการที่เราต้องอยู่ก็ประกอบด้วยเหตุผลที่ไม่อาจตามใจตัวเองได้

อยู่ที่ไหนจึงไม่สำคัญว่าอยู่ทำไม

ชีวิตตอบคำถามเราทีละน้อยค่ะ เมื่อถึงจุดหนึ่งปมของเราจะคลายไปสู่คำตอบใหม่ที่เราอาจจะไม่เคยตอบได้เลย

ใครไม่รู้บอกไว้ หรือได้เคยอ่านผ่านตาก็จำไม่ได้แล้วว่า เขาเชื่อว่าครึ่งหนึ่งของชีวิตเรามันถูกกำหนดมาแล้วโดยฟ้าเบื้องบน ส่วนอีกครึ่งหนึ่งนั้นอยู่ในมือเรา

บางเรื่องที่คิดไม่ออก ก็ยกให้เป็นลิขิตฟ้าไปก็แล้วกัน !!




 

Create Date : 04 กุมภาพันธ์ 2552    
Last Update : 4 กุมภาพันธ์ 2552 7:31:27 น.
Counter : 453 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  94  95  96  97  98  99  100  101  102  103  104  105  106  107  108  109  110  111  112  113  114  115  116  117  118  119  120  121  122  123  124  125  126  127  128  129  130  131  132  133  134  135  136  137  138  139  140  141  142  143  144  145  146  147  148  149  150  151  152  153  154  155  156  157  158  159  160  161  162  163  164  165  166  167  168  169  170  171  172  173  174  175  176  177  178  

bewae1001
Location :
สมุทรปราการ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




***************
// อย่ารอให้ป่วยก่อนแล้วจึงคิดนะคะ

นวภัทร ( บี )
นักเขียนอิสระ และ ที่ปรึกษาแผนประกันชีวิตและการเงิน
โทรศัพท์มือถือ 089-1459977

ความรู้อื่นๆ :
ผ่านการอบรม basic skilsl in counselling psychology กับอาจารย์พงศ์ปกรณ์ พิชิตฉัตรธนา @ ชมรมจิตวิทยาสมาธิ

ขอฝากเว็บไซต์ของอาจารย์พงศ์ปกรณ์ค่ะ http://www.medihealing.com

EMail ของผู้เขียน : Mybusy2004@yahoo.com
Facebook ของผู้เขียน : Parawee Nasaree

สำนักพิมพ์สะพานจัดพิมพ์นิยายหญิงรักหญิงของฉัน ( ดวงดาวดอกไม้ 2 เล่มจบ และนิยายขนาดสั้น ดอกไม้กับดอกไม้ ( ปกหนังสือด้านบน ) สั่งซื้อได้ที่นี่ค่ะ คลิกเลย!!

จำนวนบล็อก ณ ขณะนี้ 1147 บล็อกค่ะ
เริ่มเขียน 6 กันยายน 2548 บล็อกเก่าๆค้นได้จากกรุ๊ปบล็อกผู้หญิงสีรุ้งปี 53 นะคะ

ยินดีแบ่งปันความรู้และสิ่งที่มีประโยชน์ผ่านข้อเขียนในบล็อกนี้ และหากต้องการนำไปใช้ต่อหรือลงเผยแพร่้ในที่ใดก็ตาม กรุณาแจ้งก่อนนำไปใช้ที่ email ด้านบน ขอบคุณค่ะ





Parawee Nasaree

Create Your Badge

New Comments
Friends' blogs
[Add bewae1001's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend


 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.