images by free.in.th images by free.in.th
Group Blog
 
All blogs
 

ทำไม ..รักแมว... เพราะแมวน่ารักกว่าคน ??

มีคนตั้งข้อสังเกตว่า พวกทอมๆดี้ๆชอบเลี้ยงแมว
เป็นข้อสังเกตที่จริงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นค่ะ ฉันว่าปริมาณคนที่รักสัตว์
มีไม่น้อย และก็มีไม่น้อยอีกที่รักแมว

ทำไมจึงรักแมว

ตอบได้ว่า ไม่รู้

รู้ตัวอีกที ก็รักแล้ว และมีแมวในครอบครองมาแล้วหลายรุ่น บางตัวอยู่นาน บางตัวชิงลาโลกไปก่อน แมวทุกรุ่น ต่างนิสัย น่ารักต่างกัน

แต่บ้านที่เฮฮาครื้นเครงที่สุด ต้องเป็นบ้านที่มีแมวเด็ก
แมวเด็กก็เหมือนเด็กซน วันๆไม่มีอะไรมาก กิน นอน เล่น อย่างหลังนี่แหละที่ทำให้เจ้าของส่ายหน้า กลับมาบ้านเยิน เพราะของหล่นระเนระนาด

แต่เจ้าของจะไม่โกรธแมวเด็ก เพราะรู้ว่าแมวเด็กต้องซน

กุ๊กกี้ ก็ซนค่ะ

กุ๊กกี้กับพี่ดาว อยู่กันดี รักกันดี พี่ดาวมีเพื่อน ไม่เหงาอีกแล้ว ได้บริหารหน้าท้องและขาทุกวัน เพราะวิ่งไล่กับน้อง

กุ๊กกี้ อายุสี่เดือนแล้วสิเนี่ย

แต่เขารักกันดีนะคะ โดยเฉพาะยามค่ำคืน รักแม่มาก พี่ดาวอยู่ซ้าย กุ๊กกี้อยู่ขวา ขดตัวนอนซุกรักแร้เรา

ความสุขของคนรักแมว เรียบง่าย และอุดมสุขแบบนี้เองค่ะ



ได้คำตอบชัดๆหรือยังว่า ทำไมจึงรักแมว

เพราะบางที แมวน่ารักกว่าคน จริงๆน๊า..




 

Create Date : 18 เมษายน 2553    
Last Update : 18 เมษายน 2553 12:38:24 น.
Counter : 652 Pageviews.  

เขียวหวานสีสวย อร่อยด้วยค่ะ ( จะบอกให้ ) !!!!

วันหยุดสุดท้ายของเทศกาลมาถึงจนได้นะคะ หยุดหลายวัน
เลยทำกับข้าวกินเองหลายมื้อ อยู่บ้านเล่นกับแมวจนมึนไปเลย

ค่อนไปทางสายแล้วจึงได้ออกไปซื้อหากับข้าวกับปลา
คิดไว้ตั้งแต่เมื่อคืนว่าจะทำแกงเขียวหวานลูกชื้นปลากรายกินกับขนมจีน เพราะว่า วันก่อนไปตลาดสวนหลวงมา ได้ลูกชื้นปลากราย
(เนื้อปลากรายขูดจริงๆ) มาค่ะ ทำผัดกะเพราไปมื้อหนึ่งแล้วยังเหลือ
อีกครึ่งหนึ่ง

ลูกชิ้นปลากรายทำอะไรได้หลายอย่าง แต่ที่คุ้นตาที่สุดก็เห็นจะเป็น
แกงเขียวหวาน

ร้างการทำแกงเขียวหวานมานานเลยต้องยกหูหาแม่ 'กูรูก้นครัว' หนึ่งเดียวของฉันค่ะ แม่หัวเราะฮิๆมาตามสาย ขำลูกสาวที่โทรหาสองสามหนในวันหยุดเพื่อถามเมนูอาหาร ทั้งๆที่ไม่ได้จะไปทำอะไรให้ยุ่งยาก ไม่ได้ตำเครื่องแกงเอง แต่คนสมัยใหม่เขาใช้เครื่องแกงสำเร็จแท้ๆ แล้วมันจะไปยุ่งอะไร

แต่ต้องโทรถามแม่ เพราะฉันชอบลัดขั้นตอน เดี๋ยวจะออกมาแปลกๆ กินไม่ได้ เสียชื่อ bewae ที่ทำกับข้าวอร่อยเสียหมด (ฮา)

เอาล่ะค่ะ แกงเขียวหวานลูกชิ้นปลากราย(ขูดจริงๆ) ก็เลยทำง่ายๆ
เครื่องที่ต้องเตรียมมีไม่กี่อย่าง สำคัญที่เครื่องแกงเขียวหวาน กะปินิดหน่อย กะทิชาวเกาะ ซื้อแบบเป็นกล่องมาพอทำได้มื้อสองมื้อ มะเขือเปาะ ใบโหระพา ลูกชิ้นปลากราย แค่นี้เอง

แม่กำชับว่า ให้เคี่ยวกะทิกับเครื่องแกง ( วันนี้ใช้ยี่ห้อโลโบ ) ให้เข้ากันเสียก่อน แล้วให้ใส่กะปิไปหน่อยนึง ( ปรากฏว่าหนักมือไปหน่อยเลยต้องแก้กันอุตลุต ) คนให้เข้ากันก่อน กะทิกับเครื่องแกงที่เคี่ยวส่งกลิ่นหอม เดือดปุดๆอยู่ในกะทะ จากนั้นโยนมะเขือลงไปเลย ไฟแรงๆนี่แหละค่ะ แม่บอกว่าถ้าเราจะกินกับขนมจีนก็ต้องใส่น้ำลงไปด้วย น้ำยาจะออกเหลวๆ แต่หากว่าจะกินกับข้าวก็ไม่ต้องใส่น้ำเยอะ มันจะข้นๆ

โยนมะเขือลงไปแล้วนะคะ ใส่น้ำลงไปสองสามแก้ว หน้าตาเริ่มสวยแล้วค่ะ ชิมรสดู เค็มแหลมมากๆ เพราะใส่กะปิมากไปนิด เลยต้องแก้ด้วยน้ำตาลทรายแดง ( ไม่มีน้ำตาลปี๊บ ) ใส่น้ำแล้วก็ได้แกงค่อนกะทะแล้วนะคะ ทีนี้ใส่ลูกชิ้นลงไปเลย ลูกชิ้นมันสุกอยู่แล้วก็ไม่ต้องใช้เวลานาน รอให้เดือดแป๊บนึง โยนโหระพาลงไปเลย แค่นี้เป็นอันเสร็จ

แกงเขียวหวานต้องติดหวานเล็กน้อยค่ะ คิดเผื่อเวลากินกับขนมจีน จะเหยาะน้ำปลาลงไปสักสองสามหยดก็จะเข้ากันดี ตัดหวานและตัดเลี่ยน
ได้ดี

สีสวยค่ะ .. แกงเขียวหวานกะทะนี้ ออกมาแบบหน้าตาดี(เข้าข้างตัวเองเล็กน้อย) แบบนี้ล่ะค่ะ



สำหรับ เมนูนี้ ราคาเท่าไหร่มาดูกันค่ะ

เครื่องแกงโลโบ 9 บาท
กะทิชาวเกาะ ใช้ไปครึ่งเดียว 15 บาท
โหระพา ใช้ได้สองหม้อ 7 บาท
มะเขือดอกเตอร์ เลือกยี่ห้อนี้กินสบายใจ 21 บาท
ลูกชิ้นปลากราย(จริงๆ) เหลือจากวันก่อน ตีเอาว่าใช้ครึ่งนึง 60 บาท
พริกขี้หนูสวน ใช้ได้หลายครั้ง 9 บาท
กินกับขนมจีน ซื้อมา 3 แพค 28 บาท
กะปิในตู้เย็นมีอยู่แล้ว

สรุปไม่เกิน 150 บาท กินได้สองมื้อ และประมาณ 3-4 คนค่ะ

แต่ที่ได้มากกว่านั้นคือ ความสะอาด ความอร่อยถูกปาก ความสบายใจ
ไม่ใช้ผงชูรส ไม่หวานแสบคอ และความภูมิใจค่ะ !!!!!

ดูใกล้ๆอีกทีนะคะ ทั้งอร่อย ทั้งสีหวานค่ะ ฮ่าๆ




 

Create Date : 18 เมษายน 2553    
Last Update : 18 เมษายน 2553 12:10:56 น.
Counter : 647 Pageviews.  

ชีวิตมีไว้ให้เราใช้ ไม่ได้มีไว้เพื่อ...

เช้าวันศุกร์ ฉันมีโปรแกรมไปพระยาพาลาซโซอีกครั้ง
สวนทางกับชาวบ้านนิดหน่อย ที่จริง วันนี้มีหลายๆคนถือโอกาสหยุดยาว หากที่ทำงานไม่หยุดก็จะลาพักร้อนกัน

ฉันก็เป็นหนึ่งในนั้นล่ะค่ะ

ช่วงหยุดยาวนี่ รู้สึกดีเหลือเกินแม้ว่าจะหยุดเวลาไว้นิ่งๆไม่ได้
แต่การได้พัก หยุดจากวงจรชีวิตเดิมๆ ทำอะไรที่ไม่เหมือนวันหยุดหรือวันทำงานปกติ ชีวิตก็สดชื่นขึ้น มันเป็นความรู้สึกน่ะค่ะ แม้ว่าจะไม่ได้ไปเที่ยวไหนไกลๆ เพราะเป็นโรคกลัวน้ำ (จริงๆ ) และไม่ชอบที่จะขับรถ
แบบไม่ปลอดภัย ใครๆก็รู้ว่าเทศกาลนี้คนมักจะตั้งใจเมา และเมาแล้วขับก็ทำให้เกิดอุบัติเหตุมามากต่อมาก

ความกลัวไม่ใช่สิ่งไม่ดีค่ะ บางครั้งถ้าเรามีมันในระดับที่ไม่มากเกินไป
หรืออยู่ในระดับพอดี กลไกลนี้จะคอยป้องกันระวังภัยให้เรา เพราะขณะที่เรากลัว เราจะคิดนั่นคิดนี่ในการระมัดระวังป้องกันตัวเอง เราจะปลอดภัยในระดับหนึ่ง แต่การกลัวที่มากเกินไป อาจเป็นดาบสองคม

เคยได้ยินที่เขาบอกกันไหมคะ ความกลัวอาจจะปิดประตูแห่งโอกาสของเรา ทำให้เราไม่กล้าเริ่มต้นอะไรใหม่ และอาจสูญเสียโอกาสในชีวิต

ไม่แปลกถ้าคุณจะกลัว เพราะฉันเองก็ไม่ต่างอะไรจากคุณเลย ฉันยังมีความกลัวตามสัญชาตญาณของมนุษย์ คนเรากลัวอะไรตั้งหลายอย่าง ตั้งแต่เบสิคพื้นฐานที่สุดของชีวิตคือความมืด ไปจนถึงความกลัวในระดับที่ลึกลงไปอีก และอาจจะแปลกๆ เช่นที่ฉันกลัว
(และเกลียด)หอมแดง ขณะที่บางคนอาจกลัวความสูง กลัวการต้องพูดต่อหน้าคนอื่น กลัวเครื่องบิน กลัวผี และอีกสารพัดกลัว

ไม่ได้จะบอกเล่าเรื่องนี้และหาทางแก้ใดๆเพราะฉันไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญทางจิตวิทยานะคะ แต่เพียงแชร์จากมุมของฉัน ประสบการณ์ชีวิตของฉัน และความรู้สึกที่ฉันมีเท่านั้น

...

ความเคยชินเดิมๆ ทำให้เรารู้สึกปลอดภัย ขณะที่การเริ่มต้นอะไรใหม่ๆมักจะเป็นเรื่องที่น่ากลัว เพราะเราไม่รู้ว่าเราจะเจออะไร มันจะปลอดภัยสำหรับเราหรือ

ความกลัวหนึ่งที่สำคัญที่มักจะปิดกั้นไม่ให้เราได้ทำสิ่งใหม่ๆ ก็คือกลัวที่จะต้องเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่นี่แหละ ไม่ว่าจะกับอะไรก็ตามค่ะ

และความกลัวแบบนี้มักจะขัดขวางเราเสมอ ทั้งๆที่จริงแล้ว เมื่อเราผ่านเข้าไปได้ มันอาจจะไม่ได้น่ากลัวอย่างนั้นเลย

การมีชีวิตอยู่อย่างไม่กลัว ( ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ) จึงเป็นความรู้สึกที่ท้าทายมาก ฉันเองก็อยากทำอย่างนั้นได้เหมือนกันค่ะ แต่ในเมื่อเราเองก็ยังเป็นคนปกติ ที่มีความรู้สึกต่างๆนานา รัก โลภ โกรธ หลง ก็เป็นธรรมดาที่เราจะต้องกลัวได้

เป็นธรรมดาเมื่อเรารู้สึกว่าเรา 'ไม่มั่นคง' เราจะกลัว แต่จริงๆแล้วเราไม่ได้เสี่ยงอยู่ทุกวันหรอกหรือคะ ที่เราไม่กลัวนั่นเพราะว่าเราผ่านมาแล้วใช่ไหม อย่างตอนที่เราต้องย้ายโรงเรียน ย้ายที่ทำงาน เริ่มต้นอะไรใหม่ แล้วเราผ่านมาได้ เมือต้องเจออีกเราจะไม่กลัวแล้วเพราะเรามีภูมิต้านทาน

ชีวิตที่สะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบก เจอมาแล้วทุกรูปแบบจะเพาะความแกร่งให้กับเรา ในขณะที่หากเรามัวแต่หลบอยู่แต่ในเปลือกหอย (เหมือนปูเสฉวนไงคะ ) แทบจะไม่เคยเจออะไรแรงๆเลย แทบจะไม่เคยเห็นโลกร้ายๆเลย แล้วเราจะมีภูมิต้านทานได้อย่างไร

บางสถานการณ์เราก็ต้องตัดสินใจว่าเราจะมุดอยู่ในเปลือกหอยอย่างนั้นหรือว่าเลือกที่จะออกไปเจอแดด เจอฝน

ฉันว่าคนสองคนคิดต่างกัน สิ่งที่ได้ย่อมไม่เหมือนกันแน่

ฉันเองนั้นเชื่อในเรื่อง turning point อย่างมาก

และคิดว่า turning point นี่แหละที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการกำหนดสิ่งที่เราจะเป็น สิ่งที่เราจะได้ สิ่งที่เราจะมี หรือแม้แต่ชีวิตเราทั้งชีวิตเลยล่ะ

แต่ turing point ของคนแต่ละคนคงจะไม่เหมือนกันนะคะ
และอยากบอกว่า เราทุกคนมี 'ความเชื่อ' ของเราเอง และความเชื่อที่เรามีกับเจ้า turning point ของเรามันพอดีกันเมื่อไหร่

หรือจะเรียกว่าอะไรดีล่ะคะ เรียกว่า จังหวะและโอกาส ก็ได้

เมื่อเรามีความเชื่อของเรา และเมื่อจังหวะและโอกาสอำนวย เราอาจจะได้เปลี่ยนชีวิตเราทั้งชีวิตเลยก็ได้

.....

ฉันเป็นมนุษย์เงินเดือนคนหนึ่ง ทำงานในระบบมากว่าสิบปีแล้ว ฉันเคยนึกๆคิดๆดูว่า ชีวิตที่เป็นอยู่มันปลอดภัยและมั่นคงจริงหรือ แล้วก็ได้คำตอบว่ามันไม่จริงหรอกค่ะ

และฉันเคยคิดตลอดเวลาว่า แล้วการหาเงิน ใช้เงิน เก็บเงิน อันเป็นวิถีปกติ ตื่นเช้า ขับรถไปทำงาน อยู่ในที่ทำงานทั้งวันจวบจนเย็น ขับรถกลับบ้าน ซึ่งเป็นตารางชีวิตเดิมตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา มีสักวันไหมที่ฉันไม่อยากทำอะไรแบบนั้น

ตอบได้เลยว่า มี

ฉันเคยถามตัวเองหลายครั้ง ว่าวงจรชีวิตหรือรูปแบบชีวิตทีเป็นอยู่นี้มันดีหรือว่าไม่ดี ตอบได้ค่ะว่า มันก็ดี แต่ใช่สิ่งที่ต้องการไหม หากเป็นเมื่อก่อนนี้ ในเวลาที่ยังสนุกกับชีวิตเพราะอายุยังไม่มาก ยังพอใจไขว่คว้า สนุกกับการใช้ชีวิตแบบนั้น หากจะเปลี่ยนงานก็เพื่อเงิน

แต่พบว่า หากเราเอาเรื่องเงินเป็นโจทย์ เราจะต้องดิ้นรนไม่รู้จบ

ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่า การมีชีวิตอยู่ เราต้องดิ้นรนทำมาหาเลี้ยงตัวเอง และปัจจัยต่างๆเพื่อการดำรงชีวิตของเราก็ต้องใช้เงินซื้อ เงินคือคำตอบของสิ่งเหล่านั้น

มีคนจำนวนไม่น้อยเลยล่ะค่ะที่คิดว่าต้องหาเงินๆๆๆๆๆ เพื่อเก็บไว้ใช้ในบั้นปลายชีวิต หาไปหามาจนลืมว่าจริงๆชีวิตไม่ได้มีไว้เพื่อตะบี้ตะบั้นใช้
แล้วก็ไม่ได้ใช้เงินที่หามา

ขณะที่บางคนหาเงินแบบนั้น เพื่อหวังรวย แต่บางคนอาจจะบอกว่า เราควรจะใช้ชีวิตไปพร้อมๆกับการหาเงิน ไม่ต้องเพื่อรวย แต่เพื่อให้ใช้ชีวิตอย่างที่อยากใช้

มีจริงหรือ ชีวิตแบบที่เราอยากใช้

.......

ฉันเคยคิดอยากเปลี่ยนวิถีชีวิตของตนเองเอาเมื่อสองสามปีที่ผ่านมานี้เองค่ะ ด้วยเหตุผลหลายอย่าง เปรียบเหมือนฉันนั่งอยู่บนเรือที่แข็งแรงดีแม้ลอยอยู่ในน้ำที่เชี่ยวกรากอย่างไร เรือลำนี้ก็ยังแล่นฝ่าไปได้

เชื่อไหมคะว่า มีบางวันก่อนหน้านี้ ฉันแทบสำลักสิ่งที่ตัวเองทำ การตื่นไปทำงานและกลับบ้านแบบสะบักสะบอมทุกวัน ทำให้ฉันรู้สึกเลยว่า ฉันทำทำไม มันมีประโยชน์อะไรกับการต้องแลกสภาพจิตใจตัวเองกับสิ่งที่ต้องเจอ

สองปีที่ผ่านมา ฉันสนุกกับการทำงานน้อยลง แต่รู้สึกดีเสมอกับสิ่งที่ตัวเองทำ แม้บางทีจะไม่มีใครมองเห็นสิ่งที่เรียกว่าการทำ 'ดี' ฉันศรัทธาในสิ่งที่ตัวเองทำเสมอ แต่ไม่ศรัทธาในระบบการทำงานเลย ด้วยเหตุนี้ เมื่อวันที่ความเบื่อเกาะกินใจ ฉันจึงคิดอยากตัดสินใจเปลี่ยนชีวิตตนเอง เพียงแต่รอโอกาสบางอย่าง ที่ฉันเรียกมันว่า turning point นั่นแหละค่ะ

แต่ประการสำคัญคือยังมีบางอย่าง ที่ไม่สามารถฉุดให้ฉันตัดสินใจได้เฉียบขาดเสียที

จริงๆแล้วฉันก็ยังเหมือนปูเสฉวนตัวนั้น ... ในบางส่วนเสี้ยว ยังกล้าๆกลัวๆ กับการเปลี่ยนแปลง แต่ในขณะเดียวกัน ฉันพยายามปลูกต้นกล้าในจิตใจให้มากพออยู่ทุกขณะ และเมื่อพบว่าตัวเองแข็งแกร่งพอ ฉันจะเดินหน้าเลือกการเปลี่ยนแปลงแน่นอน

ฉันอาจเหมือนปูเสฉวนตัวนั้นที่หลบอยู่ในเปลือกหอยเพื่อรอเวลา แต่ไม่ประหวั่นพรั่นใจหากวันหนึ่ง ฉันจะต้องเดินออกมาจากที่ที่ไม่ใช่ของเรา

...

ฉันเชื่อเสมอว่าชีวิตเราไม่ได้มีทางเลือกแค่ทางเดียว และเราเลือกทางชีวิตของเราได้ อย่างน้อยที่ผ่านมาก็ไม่มีใครฝืนใจให้เราเลือกทำอย่างนั้นแน่

ใช้ชีวิตให้มีความสุขเถอะค่ะ และการใช้ชีวิตให้มีความสุขอาจไม่จำเป็นต้องใช้เงินมากนักหรอก การมีเงินมากๆอาจจะดีในแง่ที่มันสามารถบันดาลความสุขสบายได้ แต่ความสุขใจนั้น เงินอาจซื้อไม่ได้นะคะ

ชีวิตมีไว้ให้เราใช้ ไม่ได้มีไว้เพื่อให้เรา 'กลัว'

Keep walking ค่ะ !




 

Create Date : 17 เมษายน 2553    
Last Update : 17 เมษายน 2553 13:26:52 น.
Counter : 631 Pageviews.  

ผ่านมาและผ่านไปเท่านั้นเอง...

หลายๆปีก่อน หรือจะย้อนไปสักสิบปีก่อน
ฉันเคย 'อินเทรนด์' กับเขาอยู่เหมือนกันค่ะ กับกระแสหนังสือทำมือ
และโปสการ์ด

เป็นกระแสเก๋ไก๋ของหนุ่มๆสาวๆยุคนั้นทีเดียวล่ะ

ถ้าคุณทัน ที่จะได้สัมผัสบรรยากาศของงานหนังสือทำมือ
ที่จัดกันบ่อยครั้งที่สวนสันติชัยปราการ สมัยนั้นยังมีร้านหนังสือเล็กเล็ก
ซึ่งเป็นร้านหนังสือน่ารักๆ ในฝันของนักอ่านนักเขียน เป็นเซ็นเตอร์ก็ว่าได้

แม้บ้านฉันจะไกลโข จากย่านข้างในเกาะรัตนโกสินทร์
แต่การใช้เวลาวันหยุดขับรถไปที่นั่น เดินลัดเลาะจากท่าพระจันทร์ไป
ท่าพระอาทิตย์ นั่งเล่นในสวนสันติชัย ชมดนตรีในสวน บางเสาร์อาทิตย์ก็จะมีงานหนังสือทำมือให้ได้ครึกครื้น

กระทั่งกลายเป็นว่าเดี๋ยวนี้ทุกๆตลาดน้ำ หรือตลาดบก ทุกๆสนานที่เก๋ไก๋จะต้องมีสินค้าแฮนด์เมดจำพวกโปสการ์ด หรืออะไรทำนองนี้ขาย เพื่อเรียกลูกค้าวัยหนุ่มสาว หรือจะเป็นสัญลักษณ์ของความเก๋ไก๋อะไรก็แล้วแต่

แต่มันไม่ใช่เพิ่งจะมาฮิตหรอกนะคะ มันมีของมันมานานนับจากนั้น

ทุกที่ที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยว ไม่ต้องเจาะจงว่าเมืองไหน ที่ใด จะเป็นเมืองปาย เชียงใหม่ อัมพวา ตลาดน้ำคลองอะไรก็แล้วแต่

ฉันไม่รู้ว่าใครคิดอย่างไร แต่สำหรับฉันซึ่งเคยผ่านวันวานที่เก็บสะสมของเหล่านี้มาก่อน เคยทำตัวอินเทรนด์ เขียนโปสการ์ดส่งตามสมัยนิยมมาก่อน

กลับไม่รู้สึกอะไรกับมันแล้วล่ะค่ะ

อืมม นั่นสิคะ เป็นเพราะอะไร หรือเกิดอะไรขึ้นกับฉัน ??

...

ไม่รู้ว่า สิ่งนี้ ควรจะให้คำจำกัดความมันว่าอะไรดี

เป็นกระแส เป็นเทรนด์ เป็นสินค้า เป็น ฯลฯ

อ้อ สมัยนี้นอกจากโปสการ์ด เสื้อยืด เข็มกลัด และอื่นๆ ต้องเพิ่ม 'หลักกิโล' เข้าไปด้วยอีกอย่างค่ะ

ครั้งล่าสุดที่ฉันไปปาย เห็นว่าร้านค้าทำมือจำนวนมากหลายร้าน มีหลักกิโลหลายๆแบบวางขายอย่างน่าภูมิใจมาก แต่ดูๆไป จะมีแค่บางร้านเท่านั้นที่เหมือนจะทำมือจริงๆ งานสวย ละเอียดจริงๆ มีเรื่องราวในนั้นจริงๆ

บางร้านมีหลักกิโล แล้วก็ทำเป็นกรอบรูปด้วย แล้วก็ทำเป็นนั่นนี่ด้วย
ตกลงหลักกิโล มีความหมายอะไรยังไงกันแน่ก็ไม่รู้

ฉันไม่เคยรู้สึกว่าควรจะเก็บหลักกิโลทับสมุด หรือหลักกิโลกรอบรูปนั้นกลับมาบ้านเลย มันอาจจะเป็นความรู้สึกคล้ายๆกับที่ฉันไม่ค่อยซื้ออะไรที่เป็นสัญลักษณ์บ่งบอกว่า 'ฉันมาเหยียบที่นี่แล้ว' เวลากลับจากการเดินทางแต่ละครั้ง

หากจะมี ก็แสดงว่าของชิ้นนั้นๆ สามารถทำให้ฉันรู้สึกอยากเก็บ (และอยากใช้ ) มันจริงๆ และมีเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น เช่น เสื้อยืดเก๋ๆจากร้านมิตรไทย ที่ปาย ซึ่งฉันเต็มใจจะจ่าย เพราะชอบดีไซน์ของเขา
และของที่ร้านนี้ดูดีกว่าร้านอื่นๆ ในความรู้สึกของฉัน

ฉันมีเสื้อปายสองตัวจากการไปที่นั่นสองครั้ง และมีเสื้อจากเชียงใหม่
หนึ่งตัว ที่ซื้อเพราะชอบลายบนเสื้อ ( ช้างน่ะค่ะ )

นอกจากเสื้อหรือกระเป๋าซึ่งเป็นชิ้นเป็นอันที่สุดแล้ว ฉันแทบไม่ซื้อของอย่างอื่น โดยเฉพาะหลักกิโล และแม้กระทั่งโปสการ์ด ซึ่งครั้งกระโน้น ฉันเคยอินเทรนด์กับชาวบ้านเช่นกัน เขียนโปสการ์ดส่งให้คนนั้นคนนี้อย่างเป็นล่ำเป็นสัน เคยเก็บของแบบนี้ไว้มากมาย จนกระทั่งวันหนึ่ง

ฉันกลับไม่แยแสหรือแตะต้อง หรือทำอะไรแบบนี้อีกเลย

....

ฉันพบว่าแต่ละครั้งที่ออกเดินทาง และกลับบ้าน ฉันชอบเก็บเพียงภาพถ่าย

และหลักกิโลที่เขาขายๆกันนั้น สำหรับฉันมันเทียบไม่ได้กับหลักกิโลในภาพถ่ายที่ฉันได้ไปตากแดด ตากฝนเก็บภาพมาเลย

จริงๆแล้ว การที่เราจะมีความทรงจำร่วมกับสิ่งใดแล้วเก็บมันกลับมาไว้กับเรา มันคงมีหลากวิธีมากนะคะ แต่ระยะหลัง ฉันพบว่าการที่ฉันได้ยืนมอง นั่งมองแล้วเก็บภาพในขณะนั้นแล้วได้กลับมาดูอีกครั้งผ่านภาพถ่าย ความทรงจำทุกอย่างจะหลั่งไหลมา ฉันจะได้ยิ้ม ได้อิ่มใจ มันบอกไม่ถูกจริงๆค่ะ

มีคนถามว่าทำไม ฉันจึงชอบถ่ายรูปหลักกิโล หรือป้ายแบบนี้นัก ฉันไม่มีเหตุผลอื่น นอกจากว่า มันเป็นหมุดที่ฉันปักไว้ในใจว่าฉันเคยผ่านเส้นทางสายนี้แล้ว

เพื่อรอวันจะกลับไปใหม่ หรืออย่างน้อย เพื่อให้ได้คิดถึงวันที่เคยผ่านตา

...

ฉันเขียนถึงใครๆน้อยลง

และแน่นอนว่า คนในชีวิตที่นึกถึงกัน คิดถึงกัน ก็ลดน้อยถอยลงไปตามวันเวลา

โปสการ์ดที่เคยเขียนและส่งในครั้งก่อนเก่าเก็บ สีเหลืองซีด ผุกร่อน ยับเยินไปบ้างตามกาลเวลาเช่นเดียวกัน

หวนคิดถึงว่า เมื่อก่อน ทำไมต้องเขียน pc ทุกครั้งเวลาไปไหน อย่างน้อยฉันก็เคยเขียนถึงตัวเอง แบบที่สมัยนั้นเขาฮิตกันนั่นแหละค่ะ เขียนให้ตัวเอง ส่งกลับบ้าน ไล่ๆกับที่เราเองก็เดินทางกลับแล้วมารอรับ pc แผ่นนั้นที่บ้าน สมัยก่อนเขาทำกันอย่างนี้ด้วยนะคะ มันดูน่าตื่นเต้น น่าสนุก

แต่ฉันไม่ได้ทำอย่างนั้นอีกแล้ว

เพราะอะไรนะ ... เพราะจริงๆแล้ว ที่เคยได้ทำไป มันไม่ใช่สิ่งที่ชอบจริงๆหรือว่าที่ทำครั้งกระนั้น เพราะอยากกิ๊บเก๋อินเทรนด์กับเขาเหมือนกัน หรือเพราะจริงๆแล้ว เพราะคนในชีวิตเราลดน้อยลง เราจึงไม่จำเป็นต้องเขียนถึงใครอีก

หรือเพราะยุคสมัยเปลี่ยนไปแล้ว

ไม่มีงานหนังสือทำมือที่ท่าพระอาทิตย์ ไม่มีโปสการ์ดทำมือให้เขียนและส่งถึงใคร

facebook Hi5 blog email twitter คือสิ่งที่เราใช้ทดแทนใช่ไหม
และไม่จำเป็นว่าคนที่เข้ามาอ่าน มาดูรูป จะเป็นคนที่เรารู้จักเสมอไป ไม่มีใครรู้จักใครจริงหรอกค่ะ โลกกว้างขึ้น ผู้คนที่อยู่ในชีวิตเรามากขึ้น แต่การ keep in touch ของเราก็เปลี่ยนไปด้วย

มันง่าย มันใกล้ มันเร็ว แต่มันใกล้ชิดกันจริงหรือ

เราเห็นหน้า เรารู้ว่าเขาคิดอะไร แต่นั่นคือความเป็นจริง ที่แท้จริงหรือ

มันก็คือการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยใช่ไหมคะ เราจำเป็นต้องร่วมสมัยไปกับโลกที่เปลี่ยน การปรับตัวของหลายสิ่งต้องเกิดขึ้น มีบางสิ่งดับสูญ มีบางสิ่งเกิดใหม่ทดแทน เราต้องทั้งยอมรับและอยู่กับมันอย่างมีสติรู้เท่าทัน

โปสการ์ดเก่าที่เราเคยเขียน เป็นของขวัญของยุคสมัยโน้น เวลาที่เดินช้า ก็เป็นของขวัญของยุคสมัยโน้น

ไม่มีอะไรคงอยู่ตลอดไปจริงๆ

ไม่น่าแปลกใจเลย

...

ฉันทิ้งอะไรหลายอย่างเหล่านั้นไปแล้ว ในวันที่ฉันเลือกที่จะจัดระเบียบข้าวของในห้องเสียใหม่ คงเหลือเพียงบางชิ้น บางสิ่งเท่านั้นที่มันถูกเก็บเอาไว้เหมือนเดิม

ในบรรดาของเหล่านั้น มีโปสการ์ดหลายใบที่ผ่านตา มีบางชื่อที่ฉันเองก็จำไม่ได้ ว่ามันผ่านมาได้อย่างไร ฉันเขียนถึงคนที่ไม่เคยรู้จักกันลึกซึ้ง ไม่แม้กระทั่งเคยเห็นหน้าด้วยซ้ำ ไม่อาจให้นิยามในความสัมพันธ์ได้ด้วยซ้ำไป

มันเป็นเรื่องของยุคสมัยจริงๆค่ะ

หรือบางที ... แท้จริงแล้วมันฉาบฉวย เพราะมันไม่ใช่ของจริงหรอก มันคือกระแส มันคือแฟชั่น

ผ่านมาและผ่านไปเท่านั้นเอง...




 

Create Date : 15 เมษายน 2553    
Last Update : 15 เมษายน 2553 21:22:51 น.
Counter : 486 Pageviews.  

น้ำใจ.. หายไปไหนแล้ว

เมื่อวานเจอควันหลงสงกรานต์ที่อยุธยา

จริงๆตั้งใจจะไปตลาดน้ำคลองสระบัวค่ะ แต่คาดผิดว่าเขาจะเล่นน้ำสงกรานต์ไม่รุนแรงหรือเยอะแยะมากมาย ปรากฏว่าไม่ใช่ เพราะเขาเล่นกันเป็นล่ำเป็นสัน จริงจังมากๆ

อากาศเป็นใจให้คนอยากโดนสาดน้ำ เพราะมันร้อนจริงๆค่ะ

ถ้าคุณเคยไปอยุธยา หรือเคยรับรู้ข้อมูลมาบ้างคงทราบว่า ที่อยุธยานั้นมีวัดมากมาย และเป็นจุดหมายของคนที่ชอบไปไหว้พระ วัดใหญ่ๆหลายวัดคนเต็มดังคาด

คนเต็มวัดยังไม่เท่าไหร่ แต่ไปไม่ถึงวัดทั้งๆที่อยู่ตรงนั้นนี่สิ โอย.. แย่กว่ามากค่ะ

ฉันสังเกตว่า คนเล่นสงกรานต์กันหนาแน่น แต่วิถีของการเล่นนั้น เปลี่ยนไปมาก จริงๆถ้าจะบอกว่าเปลี่ยนน่ะ มันเปลี่ยนตั้งนานแล้ว แต่ที่เปลี่ยนไปมากกว่านั้น คือ คนเดี๋ยวนี้ไม่แยแสความเดือดร้อนของผู้อื่นแล้วน่ะสิคะ

และหากฉันจะพูดว่า คนไทยไม่มีน้ำใจต่อกัน(เหมือนเมื่อก่อนแล้ว) เห็นแก่ตัวมากขึ้นด้วย คงไม่ใช่เรื่องผิดแต่อย่างใดเลย

อะไรๆก็ล้ำสมัย เทคโนโลยีทำให้คนเราไปไกลกว่าแต่ก่อน แต่ความเสื่อมทางด้านจิตใจกลับมากขึ้น สวนทางกันอย่างน่าใจหาย

เมื่อวานนี้ ภาพที่ฉันเห็นไม่ได้ทำให้รู้สึกเย็นฉ่ำไปด้วยเลย

ที่เห็นคือคนเล่นน้ำ ซึ่งเป็นภาพที่เราชินตานั่นแหละค่ะ รถกระบะบรรทุกคนจำนวนมาก มีถังบ้าง โอ่งบ้าง บรรจุน้ำไว้เต็ม ส่วนข้างทางก็ตั้งจุดเล่นน้ำกันตามอำเภอใจ ส่วนใหญ่ก็ตั้งหน้าบ้านตัวเอง บางจุดเปิดเพลงดังมากๆ เต้นกัน แล้วไม่ได้เต้นบริเวณที่ปลอดภัยนะคะ เขาไม่สนว่ากำลังเต้นบนถนน รถราที่แล่นผ่าน หากเป็นรถที่บรรทุกคนมาเล่นน้ำเหมือนกัน เขาจะจอดเลย ส่วนรถที่ตามหลังต้องทำใจ หยุดรอ
คันที่หนึ่งผ่านไป คันที่สองก็หยุดอีก เป็นอย่างนี้เรื่อยๆ

ถนนทุกเส้นไม่มีการจัดระเบียบ นึกอยากหยุดตรงไหนก็หยุด อยากปิดถนนตรงไหนก็ปิด ปิดแล้วก็เล่นกันกลางถนน ไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจมา
ดูแลรักษาความเรียบร้อย ทั้งๆที่ทางการไม่ได้มีการปิดถนน เหมือนในกรุงเทพบางเส้น

ผลของการปิดถนนตามอำเภอใจของผู้เล่น ทำให้คนที่ไม่ได้อยากจะเล่นน้ำ แต่มีจุดประสงค์จะไปไหว้พระตามวัดต่างๆ ได้รับผลกระทบไปด้วย อย่างฉันเองก็ต้องหลบ หาทางเลี่ยงไปตามถนนเส้นต่างๆ ทั้งๆที่ทำใจแล้วว่าจะต้องเจอแบบนี้แน่ๆ แต่ก็ไม่คิดว่า เขาจะเล่นกันอย่างไม่เกรงใจใครเช่นนี้

ฉันเข้าใจ ว่านี่คือเทศกาล
ฉันเข้าใจ ว่าเราว่าเขาไม่ได้
แต่ทีฉันไม่เข้าใจ คือทำไมคนส่วนใหญ่จึงพากันเล่นแบบไม่มีระเบียบวินัยแบบนั้น

ถ้าปิดถนนสักเส้นสองเส้นให้เล่นกัน จะดีกว่าไหม แทนที่จะทำให้กระทบไปทั้งเมืองเลย

เข้าใจค่ะ ว่าทุกคนร้อน อยากเล่นน้ำ เข้าใจค่ะ ว่าต้องใจเย็นให้มากๆ
เมื่อวานก็ใจเย็น แต่พอเห็นเขาเล่นกันอย่างนั้นก็อดรู้สึกไม่ได้จริงๆนะคะ

นั่นมันถนน โอ้... ไม่กลัวอะไรเลย

หรือวัฒนธรรมการปิดถนนเป็นวัฒนธรรมใหม่ของคนไทยไปแล้ว เป็นวัฒนธรรมระดับชาติ ที่บ่งบอกถึงการขาดจิตสำนึกสาธารณะมากขึ้นทุกที

ไม่ว่าคนทำจะทำไปทั้งรู้ตัวหรือไม่รู้

และเสียงของคนเล็กๆอย่างฉันอาจไม่ได้ดังพอ สิ่งที่คิดมันคงจะลอยลมไปไม่ถึงไหน แต่อย่างน้อยก็ขอบันทึกไว้ ว่ายุคนี้สมัยนี้ มันเป็นอย่างนี้ค่ะ

คุณอาจจะค่อนในใจว่า สงสัยฉันจะเกิดผิดยุค

ถ้าอยากเล่นน้ำอย่างเรียบร้อย คงต้องกลับไปอยู่ในยุคก่อน เพราะยุคนี้สมัยนี้ เขาเล่นกันแบบตามอำเภอใจ เล่นแบบรวดเร็ว (และรุนแรง) เล่นแบบถึงเนื้อถึงตัวและถึงไหนถึงกัน

ถ้าฉันมัวบ่นเป็นยายแก่แบบนี้ ก็เห็นว่าจะหลงยุคจริงๆ ไม่เข้าใจสภาพสังคม ไม่เข้าใจความเปลี่ยนแปลง

แค่เสียดายค่ะ ว่าทำไมเราจึงไม่นึกทบทวนกันเลย ทำไมเราจึงปล่อยปละละเลยให้สังคมของเรา เด็กๆของเรา ลูกหลานของเราเปลี่ยนตามเทคโนโลยีโดยไม่รั้งรอ เปลี่ยนจิตใจที่เคยเอื่อเฟื้อ เป็นความเห็นแก่ตัว ลืมคำว่าน้ำใจซึ่งเป็นสิ่งสวยงามที่คนไทยเคยได้รับการชื่นชมเสมอ

น้ำใจ ไม่รู้มันอยู่ที่ไหน.. ไม่รู้มันหายไปไหน มันจึงเหือดแห้งไปหมดแล้ว

คิดถึงเหลือเกินค่ะ...




 

Create Date : 15 เมษายน 2553    
Last Update : 15 เมษายน 2553 13:14:11 น.
Counter : 458 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  94  95  96  97  98  99  100  101  102  103  104  105  106  107  108  109  110  111  112  113  114  115  116  117  118  119  120  121  122  123  124  125  126  127  128  129  130  131  132  133  134  135  136  137  138  139  140  141  142  143  144  145  146  147  148  149  150  151  152  153  154  155  156  157  158  159  160  161  162  163  164  165  166  167  168  169  170  171  172  173  174  175  176  177  178  

bewae1001
Location :
สมุทรปราการ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




***************
// อย่ารอให้ป่วยก่อนแล้วจึงคิดนะคะ

นวภัทร ( บี )
นักเขียนอิสระ และ ที่ปรึกษาแผนประกันชีวิตและการเงิน
โทรศัพท์มือถือ 089-1459977

ความรู้อื่นๆ :
ผ่านการอบรม basic skilsl in counselling psychology กับอาจารย์พงศ์ปกรณ์ พิชิตฉัตรธนา @ ชมรมจิตวิทยาสมาธิ

ขอฝากเว็บไซต์ของอาจารย์พงศ์ปกรณ์ค่ะ http://www.medihealing.com

EMail ของผู้เขียน : Mybusy2004@yahoo.com
Facebook ของผู้เขียน : Parawee Nasaree

สำนักพิมพ์สะพานจัดพิมพ์นิยายหญิงรักหญิงของฉัน ( ดวงดาวดอกไม้ 2 เล่มจบ และนิยายขนาดสั้น ดอกไม้กับดอกไม้ ( ปกหนังสือด้านบน ) สั่งซื้อได้ที่นี่ค่ะ คลิกเลย!!

จำนวนบล็อก ณ ขณะนี้ 1147 บล็อกค่ะ
เริ่มเขียน 6 กันยายน 2548 บล็อกเก่าๆค้นได้จากกรุ๊ปบล็อกผู้หญิงสีรุ้งปี 53 นะคะ

ยินดีแบ่งปันความรู้และสิ่งที่มีประโยชน์ผ่านข้อเขียนในบล็อกนี้ และหากต้องการนำไปใช้ต่อหรือลงเผยแพร่้ในที่ใดก็ตาม กรุณาแจ้งก่อนนำไปใช้ที่ email ด้านบน ขอบคุณค่ะ





Parawee Nasaree

Create Your Badge

New Comments
Friends' blogs
[Add bewae1001's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend


 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.