images by free.in.th images by free.in.th
Group Blog
 
All blogs
 

ตอบฉันสิ .. คอมพิวเตอร์ที่รัก

ฉันมีโทรศัพท์มือถือสองเครื่อง คงเหมือนกับใครอีกหลายๆคน
ที่มีเบอร์ในครอบครองมากกว่าหนึ่ง

สมัยนี้มีคนพกโทรศัพท์มากกว่าหนึ่งเครื่อง ดูเป็นเรื่องธรรมดาและปกติ
เพราะเบอร์ฟรีมีแจกเยอะแยะ แทบจะยัดใส่มือกันแล้ว

แต่ลองถามดูว่า ใครจำเบอร์โทรศัพท์ของคนที่ติดต่อด้วยได้ทุกคนบ้าง
ฉันเชื่อแน่ว่า ไม่มี

ไม่มีใครจำเบอร์ใคร เพราะสมัยนี้เขาใช้ความจำในโทรศัพท์มาจำแทนเรา จะโทรหาใคร ก็หาจากชื่อที่เมมโมรี่เอาไว้ในเครื่อง

..

สมัยนี้ นอกจากโทรศัพท์หนึงเครื่องจะใส่ซิมได้สองเบอร์ อเนกประสงค์เสียจริงแล้ว ยังใช้ทำอะไรได้อีกสารพัด ดูทีวีก็ได้ ฟังเพลงก็ได้ ดูหนังก็ได้ อีกหน่อยน่าจะใช้ไปซื้อกับข้าวแทนเราได้ ( อันนี้แค่กัดจิก แต่
มันอาจเป็นจริงในศตวรรษหน้าก็ได้ ใครจะรู้นะคะ )

มือถือแบบ multi function กลายเป็นมือไม้รวมทั้งสมองของคนเราไปแล้ว

ไม่ต้องจำอะไร ให้มือถือจำแทน

ความสะดวกสบายเหล่านี้ ทำให้คนเราสบายขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ ในเมื่อ
เราไม่ต้องเผื่อสมองไว้จำเบอร์ใคร เราน่าจะมีเวลาที่จะพูดคุยหรือใช้เวลาด้วยกันได้มากขึ้นสิคะ

แต่มันไม่จริงหรอก เพราะเมื่อมือถือที่ทำอะไรหลายอย่างมาช่วยเราทำนั่นทำนี่ เราก็ไม่เคยหันไปมองอีกเลยว่า คนรอบข้างเขาทำอะไรบ้าง
ดอกไม้ใบหญ้าสวยอย่างไรบ้าง เราไม่ได้หันไปทักทายคนรอบข้างด้วยเรื่องสุขเรื่องทุกข์ แต่ตรงกันข้าม เราพูดกันน้อยลงด้วยซ้ำ หรือหากเราจะพูดคุยกัน เรื่องที่จะคุยกลับไม่ใช่เรื่องของ ความรู้สึก ของอีกฝ่ายว่า สบายดีหรือ เป็นอย่างไรบ้างแล้ว

คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ ไอโฟน ไอพอต เอ็มพีสามสี่ห้าหก
คือผลผลิตของคนที่ช่วยทุ่นแรงและอำนวยความสะดวก แต่มันได้แย่งเวลาอันรื่นรมย์ แย่งดวงตาที่จะมองเห็นต้นไม้ใบหญ้า แย่งเวลาที่เราจะได้ทักทายกันด้วยความรู้สึกที่ออกมาจากใจ

ปฏิเสธได้ไหมคะว่าไม่มีเวลาเงยหน้ามองฟ้า ว่าพระจันทร์คืนนี้สวยอย่างไร เพราะเวลาที่หมดไป สายตาที่จับจ้องมันกลับไปอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ กับหูฟังที่ยัดใส่หูตลอดเวลา ฟังเพลงที่ว่าเพราะที่สุด
แต่ไม่เคยฟังเสียงหรือพูดคุยกับตัวเองเลย

..

ในรถไฟฟ้าใต้ดิน หากวัดปริมาณคนสิบคน แปดในสิบมีหูฟังติดอยู่
สายตาของพวกเขาจับจ้องไปที่โทรศัพท์มือถือ เกมที่อยู่ในนั้นดึงดูดความสนใจและช่วยพวกเขา 'ฆ่าเวลา'

เราใช้เทคโนโลยีฆ่าเวลา

แล้วเคยคิดไหมว่า เทคโนโลยีได้ฆ่าเรา ให้ตายจากความมีชีวิตชีวา
ทีละน้อย โดยที่เราไม่รู้ตัวเลย

..

คนสองคนนั้นยืนใกล้ๆกัน พวกเขามีหูฟังของตัวเอง สายตาจับจ้องไปที่โทรศัพท์ในมือ พวกเขายิ้มให้โทรศัพท์

เมื่อคนสองคนเดินออกจากสถานีรถไฟใต้ดิน ต่างแยกย้ายกันไปคนละทาง

พวกเขาไม่รู้จักกัน แต่ทำไมพวกเขาทำทุกอย่างเหมือนกันเลย

ฉันเองก็สงสัย

คุณละคะ ... สงสัยหรือเปล่า ???




 

Create Date : 01 กันยายน 2552    
Last Update : 1 กันยายน 2552 23:08:45 น.
Counter : 411 Pageviews.  

โลกส่วนตัว และ สมุดบันทึกในใจ

วันนี้ได้รับ fw mail มาฉบับหนึ่ง เขาพูดเรื่องวันเกิดกับดวงความรักค่ะ
ชอบดูดวงหรือชอบอ่านอะไรแบบนี้กันไหมคะ

ฉันไม่เคยไปดูดวงเลย แต่ฉันเชื่อว่าคนเราทุกคนมีดวงแน่ๆ
ที่คิดอย่างนั้น เพราะฉันเคยสงสัยว่าทำไมคนเราเกิดมาไม่เท่ากัน และบางทีไม่ตั้งใจอยากจะเป็นอย่างนี้แต่ทำไมมันถึงเป็น แล้วอะไรล่ะกำหนดให้คนเรามีหรือเป็นในสิ่งที่ต่างกัน

แต่การดูดวง ต้องถามว่าไปดูเพื่ออะไร

ปกติแล้ว ฉันจะไม่คุ้นเคยกับการทำอะไรแบบนี้นะคะ จึงได้แต่ฟังใครที่เขาไปดูมา มาเล่าให้ฟัง น้องๆของฉันก็ชอบไปดูกัน บางคนที่ไม่มีแฟนสักที เขาก็อยากไปดูเรื่องคู่

วันหนึ่งน้องมาเล่าให้ฟังขำๆว่า ไปดูหมอแถวอนุสาวรีย์ชัย เค้าว่ากันว่าแม่นมาก มีคนไปดูแล้วมาเล่าให้ฟัง น้องบอกว่า ไหนว่าแม่นนักหนาแต่ถ้าทายแบบนี้แล้วละก็เห็นทีจะเชื่อไม่ได้

คือแกเป็นทอมจ๋าขนาดนั้น หมอดูบอกว่า แกจะได้แต่งงาน ประมาณมีดวงเนื้อคู่เป็นผู้ชายผิวสองสี อะไรอย่างนั้น จะได้แต่งงานแน่ๆ น้องก็เอ๋อสิคะ ตัวเองแต่งตัวออกจะแมน ดูภายนอกก็เหมือนผู้ชาย เอ้า แบบนี้ดีกว่า ดูก็รู้ว่า เขาเป็นทอม แล้วมาบอกว่าจะมีเนื้อคู่เป็นผู้ชาย จะได้แต่งงาน ไม่เพียงเท่านั้น ยังทายอะไรแบบพิลึกๆ

น้องตั้งข้อสังเกตว่า หมอมั่วหรือเปล่า หมอไม่รู้หรือว่าแกเป็นทอม หมอทายอะไรแบบนี้ได้ไง

(กรี๊ดดดดด )

เสียอารมณ์นิดหน่อยค่ะ คือนอกจากจะไม่รู้ในสิ่งที่อยากรู้แล้วยังเสียเงินฟรี ทีนี้ไปดูมาแล้ว ก็ทำอะไรไม่ได้แล้วล่ะ สิ่งที่ได้ดูมานั้น เราก็ต้องใช้วิจารณญาณตัดสินเอาเองว่าเราจะเชื่อไหม และปล่อยให้คำพูดของใครก็ไม่รู้ มาชี้นำเรา มามีอิทธิพลต่อเราขนาดไหน

ตัวฉันเองไม่เคยไปดูหมอไหนๆเลย ไม่ใช่เพราะไม่เชื่อ แต่ฉันไม่คุ้นเคยกับการทำอะไรแบบนี้ ฉันเองก็เชื่อว่า ในเมื่อชีวิตมีดวงกำกับ บางอย่างก็ต้องถูกจัดไว้ให้เราแล้ว ในเมื่อมีบางสิ่งถูกจัดให้เราแล้ว เราจะไปฝืนมันได้อย่างไร สิ่งทีเราทำได้ คือการนำหลักธรรมะเข้ามาใช้ในชีวิตประจำวัน ทำดีไว้ก่อน อย่าเบียดเบียนใคร ยึดความสุขใจเป็นที่ตั้ง ทำความดีให้มากๆ

นี่คือเกราะป้องกันที่ฉันเชื่อว่ามันจริงและมันใช่

ก็ว่ากันไปนะคะ ฉันได้แต่บอกน้องว่า วันหลังก็ไม่ต้องไปดูแล้วไง คนเราอยู่ที่ศรัทธาและความเชื่อด้วย อยู่ที่การทำตัวด้วย อยากมีแฟนให้ตายแต่ไม่ดูแลตัวเองให้ดี ปิดตัวเอง หรือว่า เลือกมาก มันก็เป็น
สาเหตุของการหาแฟนยากได้ทั้งนั้น

เมื่อไหร่ที่พร้อมมันก็มาเองแหละ จัดสิ่งแวดล้อมรอบตัวเราและในตัวเราให้เอื้อต่อโอกาสใหม่ๆ ให้จักรวาลจัดสรรไป วันหนึ่งคนๆนั้นก็จะมา

..

ใน fw mail เขียนเรื่อง ดวงวันเกิดกับความรัก ฉันลองอ่านของตัวเองแล้ว ติดใจอยู่ประโยคหนึ่งค่ะ

แต่แม้ว่าจะมีใจชอบใครคนวันจันทร์จะไม่เปิดเผยทุกอย่างแก่คนรักเนื่องจากเป็นคนมีโลกส่วนตัว ชอบเก็บบางเรื่องราวไว้กับตัวเองเหมือนกับที่เป็นคนชอบอิสระและรักสนุกไม่น้อยเลยทีเดียว

นี่ไง เขาบอกว่าคนวันจันทร์เป็นคนที่มีโลกส่วนตัว และชอบอิสระ ต๊าย ทำไมมันใช่อย่างนี้ล่ะค่ะ ประโยคนี้ชัดเจนมาก

คือนอกจากฉันจะเป็นคนวันจันทร์แล้ว ฉันยังเป็นคนราศีธนู ซึ่งดวงทุกสำนักทายเหมือนหมดว่าคนธนูนั้นไม่ชอบอยู่นิ่งๆ

มิน่าล่ะ ฉันจึงอยู่นิ่งไม่ค่อยได้เลย แถมยังมีโลกส่วนตัวไว้มากมาย ทั้งในรูปของสมุดบันทึกเป็นเล่มๆ หรือสมุดบันทึกในใจ ที่ใครก็มาล้วงไม่ได้

คือคำว่าโลกส่วนตัวนี่ อธิบายหรือให้คำจำกัดความยากนิดนึงนะคะ คนที่มีโลกส่วนตัวสูง มักจะไม่ชอบเปิดเผยเรื่องบางเรื่องแก่ใคร คล้ายๆกับว่าเป็นคนที่ ‘ปิดตัวเอง’ และเข้าถึงยาก

ฉันคิดว่าคนทุกคนมีโลกส่วนตัวทั้งนั้น โลกที่เราจะคิดหรือฝันหรือจัดการอะไรกับมันก็ได้ บางทีมันอาจจะเต็มไปด้วยเรื่องราวนานาที่เราเต็มใจให้มันเป็นความลับอยู่กับตัวเรา โดยไม่ต้องการให้ใครมาวุ่นวายหรือวอแวกับพื้นที่ในใจ

คนที่มีโลกส่วนตัวสูงมักจะชอบเก็บความรู้สึก พอใจอยู่ในโลกของตัวเอง บางคนก็เลยมองว่าคนที่มีโลกส่วนตัวสูงเป็นคน ‘หยิ่ง’ ซะอย่างนั้น

อาจเพราะบางทีบางเรื่องก็เกินกว่าความเข้าใจของคนอื่นกระมังคะ หรือบางเรื่องก็ไม่น่าจะต้องให้คนอื่นรับทราบ แต่การเก็บมันไว้กับตัวก็เป็นความสบายใจกว่า เพราะเรามีวิธีจัดการกับมัน อาจจะแค่นิ่งๆคิด
นั่งคิดนอนคิดนั่นนี่ไปเรื่อย ไม่ได้ปล่อยให้มันออกมาอยู่ข้างนอก ไม่ได้อยากให้ใครมารับรู้แล้วตัดสินอะไร

มันสบายใจดีค่ะ

แต่การมีโลกส่วนตัวที่มากเกินไป อาจจะไม่ดีนักสำหรับคนที่รักกันแต่ไม่เข้าใจกัน คงต้องหา balance ระหว่างความพอใจที่จะอยู่ในโลกส่วนตัวของเราให้มันมีจุดสมดุล ไม่อย่างนั้นอาจจะได้อยู่คนเดียว เพราะคงมีคนไม่น้อยที่ไม่เข้าใจว่า ในเมื่ออยากมีความสุขอยู่ในโลกส่วนตัวแล้ว

เธอจะมีฉันเป็นแฟนทำไม

เพราะคำว่าโลกส่วนตัว เหมือนกำแพงกั้นคนสองคน ยิ่งกำแพงสูงเท่าไหร่ ถึงขั้นต้องตะกายคุยก็เห็นที่จะแย่แล้ว

ระวังตัวด้วยนะคะ !!




 

Create Date : 01 กันยายน 2552    
Last Update : 1 กันยายน 2552 21:37:02 น.
Counter : 612 Pageviews.  

สิบหกปี .. เรียนรู้ .. ร่วงโรย .. จากลา

อีกสี่เดือนจะหมดปีแล้ว !

วันนี้ฉันได้ยินน้องบ่น ว่าปีนี้ผ่านไปช้าจัง ไม่เหมือนปีก่อนที่รู้สึกว่าผ่านไปเร็วมาก วันก่อน ฉันได้ยินพี่อีกคนบ่น ว่าปีหน้าจะไปทำงานเมืองนอกแล้ว อาจจะอยู่ทำงานที่นี่ถึงแค่สิ้นปี เพราะเบื่อเต็มที

หนึ่งปีสำหรับคุณละคะ เร็ว หรือ ช้า

ฉันลองนับปีที่ตัวเองเริ่มทำงานดู มันคือกลางเดือนกรกฏาคมปี 36
ปีนี้นับเป็นปีที่ 16 ของการทำงาน ( นานน่าดูเลย ) ฉันทำงานมาสิบหกปีแล้วหรือนี่ จากวัยละอ่อนที่จบปริญญาตรี ทำงานมาเรื่อยๆ แล้วก็กลับไปเรียนอีกจนจบปริญญาโท แล้วก็กลับมาทำงานอีก

เส้นทางชีวิตของฉันไม่เปลี่ยนไปเท่าไหร่เลย

คือยังทำงานในระบบ ยังเป็นมนุษย์เงินเดือน มีวันเงิน(เดือน) ออก และมีวันเงินหมด 55

สิบหกปีของการทำงาน นานนะคะ เชื่อไหมคะว่า เป็นสิบหกปีที่น้ำตาตกในไม่รู้กี่ครั้ง ลิ้มรสชาติความเจ็บปวด เจอกับแรงเสียดทาน ต้องท่องคาช่างมันและอดทนไม่รู้กี่หน

ความเบื่อหน่ายย่อมเกิดขึ้นได้กับบางจังหวะชีวิตการทำงานค่ะ ถามว่าสิบหกปีนี้อยู่มาอย่างไร ก็คงเป็นเรื่องปกติที่จะต้องประคองตัวเองให้ผ่านจุดที่ยากไปให้ได้ ในขณะเดียวกัน ก็ดูแลตัวเองให้ได้มากขึ้นตามวัย

การที่ตัวเองไม่เป็นภาระของใคร นั่นเป็นสิ่งที่ดีที่สุด และวิเศษอย่างยิ่ง
ทุกครั้งที่เกิดปัญหาอะไรขึ้น ฉันจึงรู้สึกดีเสมอว่า ฉันได้สร้างภูมิคุ้มกันที่แข็งแกร่งให้ชีวิต จนแข็งแรงพอที่จะผ่านปัญหาต่างๆได้ด้วยตัวเอง ในขณะเดียวกัน ฉันก็ไม่ได้ยืนอยู่ลำพังเดียวดาย ในวันที่อาจจะล้มแล้วยังลุกขึ้นไม่ได้ แต่เป็นเพราะมือหลายๆมือ ของหลายๆคน
ที่ยื่นเข้ามาฉุดให้ฉันผ่านพ้นมรสุมของชีวิตบางช่วงมาได้ แม้บางคราวจะทุลักทุเลอยู่บ้าง

ลำพังตัวฉันคนเดียว อาจจะไม่สามารถผ่านเรื่องยากได้ด้วยตัวเองเสมอไป

ด้วยเหตุนี้ ในสิบหกปีที่ผ่านมา ฉันจึงมีทั้งครู เพื่อน มิตร และศัตรู มีทั้งคนรัก และคนชัง

ในวันที่น่าเบื่อหน่ายที่สุด ฉันก็ยังมี ‘ตัวเอง’ คอยปลอบใจ

สิบหกปีในการทำงาน ฉันรู้แล้วว่าชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ

..

หากย้อนไปถึงสิบหกปีของการทำงาน ชีวิตฉันเดินขึ้นบันไดไปเรื่อยๆ ซึ่งบางคนอาจจะมองว่านี่คือความก้าวหน้า ฉันมีบ้าน มีรถ มีงาน มีชีวิตที่เหมือนจะสุขเต็มประดา

ซึ่งมันก็ถูกแล้ว ( แล้วไง ?? )

หากการเดินมาไกลถึง 16 ปี จะเพื่อตำแหน่ง ลาภยศ หรือเพื่อเงิน มันก็ใช่แล้วค่ะ

แต่สิบหกปีของการทำงาน ก็สอนสัจธรรมให้ฉันตั้งมากมาย และมันทำให้ฉันรู้ลึกซึ้งจริงๆค่ะว่า

อะไรก็ตามที่อยู่กับเราวันนี้ มันก็แค่ของนอกกาย
จริงๆแล้วชีวิตของเราว่างเปล่า กลวงโบ๋ ไม่มีอะไรที่จีรังยั่งยืนและเป็นของเราจริงๆ

ตำแหน่งแห่งที่ที่เขาใส่ไว้ให้เรา วันหนึ่งหากเราไม่อยู่ตรงนี้ เราก็เอาติดตัวไปไม่ได้

แต่สิ่งที่เป็นของเราจริงๆ และเราควรจะทำให้มันดีที่สุด คือเวลา ณ ปัจจุบัน ความสุขของเรา ณ ปัจจุบันต่างหาก

..

หากงานตรงหน้าทำให้เราเกิดความรู้สึกเบื่อหน่าย ไม่อยากจะทำเลย หันไปทางไหนก็เฮ้อ.. หาความสุขไม่ได้ ชีวิตการทำงานมีแต่เสือ สิงห์ กระทิง แรด ไม่สวยเหมือนชีวิตนักศึกษา

ก็เพราะนี่ล่ะค่ะคือชีวิตจริง

ฉันบอกแล้วว่า ในสิบหกปีที่ผ่านมา ฉันจึงมีทั้งครู เพื่อน มิตร และศัตรู มีทั้งคนรัก และคนชัง

และฉันก็เชื่อว่าคนทุกคนมีคนแวดล้อมที่ประกอบด้วยคนประเภทเหล่านี้ แต่ขอให้เชื่อเถอะว่า แม้แต่ศัตรูของเรา เขาก็คือครูของเรา ความผิดพลาดทั้งหมดก็คือครูของเรา และแม้แต่การมีคนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ ก็เป็นเรื่องธรรมดา จะหาความสมบูรณ์แบบทั้งร้อย หรือทำให้ตัวเราไม่มีรอยด่างอะไรเลยนั้น มันคงจะประหลาด

สิบหกปีของฉัน ฉันรู้แล้วว่า หัวโขนที่หนักหนาสร้างความลำบากใจอะไรให้แก่ฉันบ้าง

ฉันรู้แล้วว่า เมื่อเราโต โลกของเราย่อมไม่หวานเหมือนตอนเด็กๆ ฉันรู้แล้วว่าการถูกแทงข้างหลังนั้นเป็นยังไง ฉันรู้แล้วว่า การที่ต้องไปตามน้ำ มันง่ายกว่าการทวนน้ำ ฉันรู้แล้วว่า การเอาตัวรอดโดยการเหยียบย่ำคนอื่นของคนบางคนนั้นเป็นเรื่องสามัญธรรมดา

แต่ว่าฉันจะมีหลักอยู่ข้อหนึ่ง นั่นคือ ฉันจะไม่เหยียบใคร ไม่ย่ำใคร ไม่เอาตัวรอดบนความเดือดร้อนของคนอื่น ไม่เบียดเบียนใครเพื่อให้ตัวเองสูงกว่าคนอื่น

และการเห็นรอยยิ้มของลูกน้องคือความสุข

สิบหกปีได้ให้อะไรแก่ฉันมากกว่าเรื่องเงินค่ะ

ความสุขทางใจประเมินค่าเป็นตัวเงินไม่ได้ บางทีกำไรบางอย่างก็อาจจะสวนทางกับการดำเนินธุรกิจ

แต่คุณค่าของมันยิ่งใหญ่กว่า

ฉันเชื่อเช่นนั้น..




 

Create Date : 31 สิงหาคม 2552    
Last Update : 31 สิงหาคม 2552 21:12:53 น.
Counter : 415 Pageviews.  

ฝนที่ตกทางนี้ จะไปถึงทางโน้นไหมนะ...

ฉันนอนเขียนบล็อกบนที่นอน ท่ามกลางเสียงฝนหล่นกระทบหลังคาบ้าน นอนฟังเสียงฝนบนที่นอนนุ่มๆ อะไรจะดีปานนี้คะ

รู้กันดีว่าฉันไม่ชอบฤดูฝน แต่จะว่าไม่ชอบเอาเสียเลยมันก็คงไม่ได้
เพียงแต่ชอบน้อยกว่าหน้าไหนๆ อย่างไรก็ตาม เวลาฝนตก
หากไม่ได้ออกไปข้างนอกแล้วต้องติดฝน ฉันก็รู้สึกว่าการนอนฟังเสียงฝน เป็นช่วงเวลาที่ดีมากช่วงหนึ่ง

ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าบนที่นอนนุ่มๆ กับผ้านวมผืนโต มันจะชวนให้อุ่นแค่ไหนในยามฝนตก

มีความเชื่อกันว่า หน้าฝนไม่ใช่ฤดูกาลท่องเที่ยว แต่ฉันก็ไปเที่ยว
หน้าฝนมาแล้ว เมื่อกลับมา มักจะได้ยินคำถามว่า ฝนตกไหม เที่ยวได้หรือเปล่า หรือต้องนอนหมกอยู่แต่ในห้องพัก

คำตอบคือเปล่าเลย สบายดี ฝนเป็นใจให้ฉันเที่ยวได้แบบสบายใจด้วย
หรือถึงจะเปียก ก็คงเป็นการเปียกอย่างเต็มใจ เพราะรู้อยู่แล้วว่าอยากไปเที่ยวหน้าฝน ก็ต้องได้เปียกกันบ้างให้สมกับเป็นฤดูกาลที่ต้องเปียกปอน

ถึงอย่างนั้นก็เถอะค่ะ ฉันว่าการเปียกฝนในที่ที่น่าจะเปียก ก็ไม่เลวนัก
เข้าทำนองว่า หากเปียกฝนกับคนรู้ใจ ( เหมือนในหนังหรือมิวสิควีดีโอ) ก็คงจะโรแมนติคไม่หยอกเหมือนกัน

อูย อยากจะเปียกวันละหลายๆรอบเลย

..

เปิดปฏิทินนับไปนับมา ปลายฝนต้นหนาวจะมาแล้วใชไหมนี่

เดือนกันยายนทั้งเดือน เลยไปถึงตุลาคมอีกครึ่งเดือน ยังอยู่ในช่วงฤดูฝน จากนั้นเมื่อเลยกลางเดือนตุลาคมไป ช่วงเวลาที่สวยที่สุดของปี (ในความรู้สึกของหลายๆคน) ก็จะมาถึงแล้ว

ปลายฝนต้นหนาว ฟังเพราะอะไรอย่างนี้นะคะ

ปลายสัปดาห์ก่อนที่อยู่ปาย มอเตอร์ไซค์คันเก่งพาฉันลัดเลาะผ่าน
ท้องทุ่งเขียวขจี ท่ามกลางสีเขียวของนาข้าวระหว่างทาง เป็นภาพที่ไม่ได้เห็นบ่อยนักสำหรับคนเมือง

ต้นข้าวเรียงเป็นระเบียบอยู่ในนาข้าว ปลูกลดหลั่นไปตามแปลงสูงต่ำ
สีเขียวของมันทำให้หัวใจที่ร้อนรนกลายเป็นนิ่งสงบ เงยหน้ามองขึ้นไป
สีฟ้าของฟ้าห่มคลุมผืนฟ้าทั้งผืน ลมเย็นโบกสบัด ฟ้าหลังฝนสวยสงบและฉ่ำชื่น

อีกไม่นาน นาข้าวคงพร้อมเก็บเกี่ยว ท้องทุ่งเขียวขจีจะแปรเปลี่ยน
เป็นสีเหลืองทองสุกใส ผันไปตามฤดูกาลที่หมุนเวียน

คนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าทุ่งนาเขียวๆ ทำหน้าตื่นๆ กับภาพตรงหน้า
ดั้นด้นมาหลายร้อยกิโล เพื่อมาพบว่า ดีจังที่ฝนตก ตกลงมาเถอะ
เพราะมันเหมาะสมแล้วกับวิถีชีวิตที่เกิดขึ้น ตกลงมาเยอะๆก็ได้
เพราะมันจะหมายถึงความอุดมสมบูรณ์ของผลผลิต ความอุดมสมบูรณ์
ของท้องที่ และของฤดูกาล

มีคนเคยบอกว่า นาข้าวที่สวยที่สุดอยู่ที่แม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่โน่น
มันเป็นขั้นบันไดสวยเชียวแหละ ฉันไม่เถียง เพราะจากภาพที่เคยผ่านตา มันก็สวยจรืงๆ

แต่กับภาพตรงหน้า คือภาพที่สัมผัสได้จริง และมันสวยแล้วในความรู้สึกของฉัน สวยอย่างที่ธรรมชาติสร้างให้เกิดขึ้น สวยโดยไม่ต้องปรุงแต่งอะไรเลย

คนเมืองยืนมองภาพตรงหน้านิ่งๆ ขณะบอกตัวเองว่าต้องพยายามซึมซับภาพตรงหน้าให้มากที่สุด ขณะสายตาที่ลอดมองหลังเลนส์พยายามจะบันทึกภาพ นิ้วขยับลงบนชัตเตอร์รัวเร็ว

บอกกับตัวเองว่าดีใจที่ได้มา แมฝนจะตกลงมาก็ช่างหัวมัน
อยู่ใต้ฟ้าจะกลัวฝนทำไมเล่า

แค่นั้นเอง

..

บัดนี้นาข้าวสีเขียวปรากฏชัดอยู่บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ ขณะที่เสียงฝนจากด้านนอกค่อยๆซาลงไปแล้ว

นาทีที่ฝนตกที่นั่น กับนาทีที่ฝนตกที่นี่ ไม่เหมือนกันเลย

และฉันคิดถึงฝนที่นั่นจริงๆ

ฝนที่ตกทางนี้ จะไปถึงทางโน้นไหมนะ

ฉันอยากรู้...




 

Create Date : 30 สิงหาคม 2552    
Last Update : 31 สิงหาคม 2552 7:34:11 น.
Counter : 585 Pageviews.  

cleaning day ...แต่ความหลังยังไม่ไปไหน...

กลับจากไปเที่ยว ฉันก็เลยทำให้เมื่อวานนี้เป็น cleaning day ค่ะ
เลยได้รื้อข้าวของสารพัดที่ชอบหวงเอาไว้มาทิ้งทีหลัง ออกมาได้ตั้งเยอะแน่ะ

แล้วก็สังเกตได้ว่าตัวเองช่างชอบเก็บของประเภท ตั๋วสารพัดชนิดเอาไว้
เช่น ตั๋วรถไฟ boarding past ตั๋วเข้าอุทยานแห่งชาติ ตั๋วหนัง
ตั๋วเข้าไปชมที่นั่นที่นี่ ตั๋วรถทัวร์ ตั๋วสารพัดตั๋ว นอกจากนั้นยังมีบิล
ใบเสร็จจากร้านนั่นร้านนี่ ถุงกระดาษน่ารัก ของที่ระลึกนั่นนี่ โอย สารพัดจะเก็บ

ถามว่าเก็บไว้ทำไม

ก็คงเป็นนิสัยของตัวเองน่ะค่ะ จะชอบเก็บ วันดีคืนดี ก็งัดออกมาดู แล้วก็ยิ้มไปกับมัน ทำให้ย้อนกลับไปคิดถึงช่วงเวลานั้นๆ มีความสุข
ดีออกค่ะ

ของเหล่านี้เหมือนของหวานของชีวิตน่ะค่ะ ทำให้มีความสุข
เวลาที่ได้นั่งละเลียด แล้วก็นึกถึงความหลังผ่านกระดาษแผ่นเล็กๆตรงหน้า จริงๆแล้วของเหล่านี้มันอาจจะไม่มีค่าอะไรก็ได้ถ้าเราไม่ได้ให้ค่ากับมัน เพราะมันก็เป็นแค่ 'เศษกระดาษ' แผ่นหนึ่งเท่านั้นเอง

ความทรงจำเล็กๆระหว่างทางเหล่านี้ บอกให้รู้ว่าเคยมีความสุขที่ไหน
อย่างไร กับใคร ความสุขที่ไม่อาจหวนมาอีกแล้ว แต่ความทรงจำ
ก็ยังทำหน้าที่บันทึกความสุขนั้นเอาไว้

เพื่อนึกถึงในวันหนึ่งที่เราอยากนึกจะย้อนเวลากลับไป...

วัน cleaning day ที่ฉันรื้อข้าวของ จึงพบว่าตัวเองสะสมของเหล่านี้
เอาไว้มากมายจริงๆค่ะ

แน่นอนว่า ฉันไม่อาจตัดใจทิ้งอะไรเลย ดังนั้น ทุกอย่างที่เป็น
ความทรงจำจากต่างสถานที่ มันจึงยังอยู่เสมอ

รอวันที่จะกลับมาเปิดดู แล้วก็ยิ้มไปด้วยกัน

อีกครั้งและอีกครั้ง

...

เมื่อวานเลยรื้อแผ่นซีดีเก่าๆออกมาฟังด้วย
เป็นแผ่นรวมเพลงของวิยะดา โกมารกุล ณ นคร เพลงของเธอเพราะๆ
ทั้งนั้นค่ะ

มีอยู่เพลงหนึ่ง ที่ฟังแล้วต้องตั้งใจฟัง และคิดตามไปด้วย
เมื่อวานฟังแล้ว เลยคิดว่า ตัวเองเคยเป็นแบบเพลงนี้ไหม

ฉันว่าเพลงนี้เศร้ามาก และรู้สึกว่าจะเคยเขียนบล็อกเก่าๆ เกี่ยวกับ
ความรู้สึกที่ได้ฟังเพลงนี้ไว้

เมื่อวานนี้ก็เช่นกันค่ะ ฟังทีไรก็อดคิดอะไรไปไกลไม่ได้ทุกครั้งเลย
กลับมาฟังอีกสักทีนะคะ



การที่เรารักใครสักคนหนึ่ง เพื่อให้เขาหันมารักเราบ้าง
เราจะต้องยอมถึงขนาดนั้นไหม

บางทีเหตุผลของคนๆหนึ่ง เราก็ไม่ควรไปตัดสินใช่ไหมคะ เพราะ
เราย่อมไม่เข้าใจในส่วนลึกของเขา ว่าทำไมต้องทำแบบนั้น
ทำไมต้องยอมขนาดนั้น

การเสียสละตัวเองเพื่อความรักที่ยิ่งใหญ่ บางคนอาจจะมองว่า
นี่คือรักแท้ แต่บางคนอาจจะมองว่า นี่คือความไม่รักตัวเองของคนๆหนึ่ง

แต่เพราะความรักมันไม่มีเหตุผลไง มันถึงอธิบายไม่ได้ และไม่ควร
ตัดสิน ว่าสิ่งที่เราทำ เขาทำ เธอทำ มันผิดหรือมันถูก มันใช่หรือไม่ใช่

เกิดมาในชีวิตหนึ่ง หากได้พบรักแท้ถือว่าโชคดี หรือแม้แต่การได้รัก
ใครสักคนอย่างเต็มหัวใจ ( แม้ไม่ได้รักตอบ ) ก็น่าจะเป็นเรื่องดีเหมือนกัน

เพราะชีวิตย่อมไม่เปล่าดายเกินไป เมื่อเราได้เรียนรู้ว่า ความรักทำให้
หัวใจของเราละเมียดละไมและอ่อนโยน ยามเมื่อเรารักใครสักคน
และหากจะยอมทำทุกอย่างเพื่อให้เขาหันมามองบ้าง เพื่อให้เขาเห็น
ความรักของเรามีตัวตน แม้หัวใจหรือร่างกายจะแตกดับไป

ไม้ขีดไฟก้านนั้นก็คงมีความสุขแล้ว

ฉันเองก็เคยเป็นอย่างไม่ขีดไฟก้านน้อยนี้ค่ะ ส่วนดอกทานตะวัน
จะหันมามองหรือไม่นั้น เราคงไปบังคับเขาไม่ได้หรอกนะคะ
ขนาดใจเรายังบังคับให้มันเป็นอย่างที่ต้องการไม่ได้ทั้งหมดเลย

ฉันเองก็ไม่รู้ว่าดอกทานตะวันเหล่านั้นจะเป็นอย่างไรแล้ว
ในวันที่ไร้เงาของไม้ขีดไฟก้านน้อย หวังว่าดอกทานตะวันจะยัง
แกร่งกล้าท้าตะวัน และมีความสุขกับชีวิตดีอยู่

เหมือนที่ไม้ขีดไฟก้านน้อยพยายามจะมีความสุขกับชีวิตให้ได้ทุกวัน

เช่นเดียวกัน !!




 

Create Date : 30 สิงหาคม 2552    
Last Update : 30 สิงหาคม 2552 14:12:21 น.
Counter : 545 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  94  95  96  97  98  99  100  101  102  103  104  105  106  107  108  109  110  111  112  113  114  115  116  117  118  119  120  121  122  123  124  125  126  127  128  129  130  131  132  133  134  135  136  137  138  139  140  141  142  143  144  145  146  147  148  149  150  151  152  153  154  155  156  157  158  159  160  161  162  163  164  165  166  167  168  169  170  171  172  173  174  175  176  177  178  

bewae1001
Location :
สมุทรปราการ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




***************
// อย่ารอให้ป่วยก่อนแล้วจึงคิดนะคะ

นวภัทร ( บี )
นักเขียนอิสระ และ ที่ปรึกษาแผนประกันชีวิตและการเงิน
โทรศัพท์มือถือ 089-1459977

ความรู้อื่นๆ :
ผ่านการอบรม basic skilsl in counselling psychology กับอาจารย์พงศ์ปกรณ์ พิชิตฉัตรธนา @ ชมรมจิตวิทยาสมาธิ

ขอฝากเว็บไซต์ของอาจารย์พงศ์ปกรณ์ค่ะ http://www.medihealing.com

EMail ของผู้เขียน : Mybusy2004@yahoo.com
Facebook ของผู้เขียน : Parawee Nasaree

สำนักพิมพ์สะพานจัดพิมพ์นิยายหญิงรักหญิงของฉัน ( ดวงดาวดอกไม้ 2 เล่มจบ และนิยายขนาดสั้น ดอกไม้กับดอกไม้ ( ปกหนังสือด้านบน ) สั่งซื้อได้ที่นี่ค่ะ คลิกเลย!!

จำนวนบล็อก ณ ขณะนี้ 1147 บล็อกค่ะ
เริ่มเขียน 6 กันยายน 2548 บล็อกเก่าๆค้นได้จากกรุ๊ปบล็อกผู้หญิงสีรุ้งปี 53 นะคะ

ยินดีแบ่งปันความรู้และสิ่งที่มีประโยชน์ผ่านข้อเขียนในบล็อกนี้ และหากต้องการนำไปใช้ต่อหรือลงเผยแพร่้ในที่ใดก็ตาม กรุณาแจ้งก่อนนำไปใช้ที่ email ด้านบน ขอบคุณค่ะ





Parawee Nasaree

Create Your Badge

New Comments
Friends' blogs
[Add bewae1001's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend


 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.